เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
You’re all I see [Jongin x Kyungsoo]Nuynyaloners
SF THE EVE [II]





  • *ขอแนะนำ ควรเปิดเพลง The Eve – EXO ระหว่างอ่านไปด้วยนะคะ*






    ————————


    Ηε is ready to die a thousand times better to have to suffer from sight of lover when he does bad…
    เขาพร้อมที่จะตายเป็นพันครั้ง ดีกว่าที่จะต้องทนทรมานจากสายตาคนรักในยามที่เขาทำไม่ดี


    No one to abandon or make the person he loves to be disappointed in the times of danger. At that time, the most timid person will become the hero is equivalent to the bravest…
    ไม่มีใครที่จะทอดทิ้งหรือทำให้คนที่เขารักต้องผิดหวังในยามอันตราย ในยามนั้นเอง คนที่ขี้ขลาดที่สุดก็จะกลายเป็นวีรบุรุษเทียบเท่ากับคนที่กล้าหาญที่สุด


    Even though the Gods will extol the virtues of love, But God was praised and provided value to the love that people have towards those he loved most, because those are the only love to a sublime and noble…
    แม้ว่า เทพเจ้าจะสรรเสริญคุณธรรมของความรัก แต่เทพเจ้าก็ยกย่องและให้คุณค่าแก่ความรักที่คนรักมีต่อผู้ที่เขารักมากที่สุด เพราะว่าผู้ที่มีความรักเท่านั้นที่จะเป็นผู้ประเสริฐและสูงส่ง



    - Phaedrus in Symposium –


    ————————








    เมื่อเพลิงแห่งตัณหา ราคะ และความกระหายซึ่งนำพาให้เกิดความปรารถนาที่อยากจะครอบครองและจรดรอยจุมพิตทั่วเรือนร่างของอีกฝ่ายนั้นได้มอดไหม้ลง ท้องนภาในยามนี้กลายเป็นสีนิลกาฬแผ่กว้างจนเต็มอาณาเขตที่สุดจะบรรยายได้ว่ามันจะสิ้นสุดที่เขตแดนไหนบนโลกมนุษย์และบนโอลิมปิอัส ความสวยงามของสีนิลกาฬยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีกเมื่อมีแสงระยิบระยับสว่างไสวจากดวงดาวประจำตัวของเทพเจ้าองค์ต่างๆ


    กิจกรรมที่เร่าร้อนดั่งราวกับว่าเทพเจ้าแห่งเตาฟืนมาสุมไฟใส่ เพลิงนั้นแผดเผาและหลอมละลายจนร่างกำยำได้สัดส่วนสวยงามไม่มีที่ติกับเรือนร่างขาวเนียนละเอียดนั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว


    เทพเจ้าแห่งสงครามไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า เรือนร่างที่นุ่มนวลและมีเนื้อแน่นน่าขยำทุกการไล้สัมผัสขนาดนี้ จะถูกปกปิดภายใต้อาภรณ์ผ้าไหมเนื้ออย่างมิดชิดหรือยามแต่งองค์ทรงเครื่องในชุดเกราะออกศึกโดยเจ้าของ อาจเป็นเพราะว่าเทพแห่งปัญญานั้นถือเพศพรหมจรรย์ตามคำร่ำลือจากบรรดาเหล่าเทวาและเทวีบนโอลิมปิอัสก็เป็นได้


    เรือนร่างที่ถ้าไม่ลองทำจิตใจให้หาญกล้า เสี่ยงก้าวข้ามเส้นบางๆ ที่เรียกว่าเพศพรหมจรรย์เพื่อลิ้มลองรสชาติที่ทั้งหอมหวลและหวานละมุนราวกับกลิ่นดอกไอริสในทุ่งอีลิเชียนที่ลอยมาตามลมเช่นนี้ เทพเจ้าผู้มีนัยน์ตาสีอำพันก็คงจะไม่มีล่วงรู้เป็นแน่



    แต่ถึงอย่างไร เทพเจ้าแห่งสงครามอย่างข้าได้ทำตามความปรารถนาที่ได้แต่เก็บงำซ่อนเอาไว้ในใจมาเนิ่นนาน…ความปรารถนาที่จะครอบครองร่างกายของเทพเจ้าที่กำลังนิทราอยู่ในอ้อมแขน


    ความปรารถนาสุดท้าย…หัวใจของดีโอเธซัส


    ถึงแม้ว่าความปรารถนานี้จะมีอุปสรรคที่สูงยิ่งกว่าโอลิมปิอัส แต่เทพเจ้าอย่างข้าจะไม่มีวันยอมแพ้
    และต่อให้เทพอัสนีบาตผู้เป็นบิดาจะจับข้าโยนลงไปสู่ทาร์ทารัส ข้านั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อกลับขึ้นมาเจอกับเจ้าให้จงได้…ดวงใจของข้า





    ดีโอเธซัสกำลังนิทราอย่างฝันดีภายในอ้อมกอดที่ทั้งอบอุ่นและแนบแน่น เจ้าตัวนอนอิงซบโดยเอาใบหน้างดงามแนบกับหน้าอกแกร่ง ใบหน้าของเทพแห่งปัญญาในยามเช่นนี้ราวกับเด็กชายที่ซุกซนและดื้อรั้นแบบเงียบๆ ซึ่งหมดสิ้นฤทธิ์ที่จะต่อกรเจ้าตัวจึงหลับไหลลงได้


    ลมหายใจกลิ่นดอกไอริสถูกปล่อยออกมาอย่างสม่ำเสมอตามจังหวะการหายใจเข้า-ออก แสงจันทร์นวลสว่างโดยเทพีไดอานา (Diana - Διανα) เทพีแห่งจันทราได่ส่องกระทบกับใบหน้าและเรือนผมสีไวน์แดงให้เห็นเด่นชัดราวกับว่าใบหน้างามเช่นนี้เป็นดวงดาวอีกดวงที่อยู่บนท้องเวหา แพขนตาเรียงเส้นสวยอยู่บนเปลือกตา ดวงเนตรกลมโตที่ปิดสนิทเพราะกำลังหลับไหล พวงแก้มที่ยังคงถูกแต่งแต้มไปด้วยสีชมพูอ่อนๆ และริมฝีปากรูปหัวใจที่ดูเหมือนว่ากำลังยิ้มน้อยๆ ราวกับว่าหมอนเทพเจ้านี้ทำให้เทวาภายใต้การโอบกอดหลับลงได้อย่างสบายใจ


    ดีโอเธซัสในยามนิทรานั้นหารู้ไม่ว่ามีเทพเจ้าองค์หนึ่งที่ไม่ยอมหลับไหล เอาแต่ใช้ดวงตาสีอำพันไล้มองใบหน้าของเทพเจ้าในอ้อมแขนอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย ครั้นจะเอามือไปสัมผัสกับผิวแก้มนุ่มก็กลัวว่าเจ้าตัวจะตื่นเสียก่อน ถึงจะใช้สัมผัสทางกายผ่านฝ่ามือไม่ได้ แต่แค่นี้ก็มากมายเกินเพียงพอสำหรับเทพเจ้าอย่างไคมาริอัสแล้ว


    อาจถือได้ว่าเป็นความน่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับเทพเจ้าแห่งปัญญา เพราะในวิหารหินอ่อนแห่งนี้มีแสงสว่างไสวและทอประกายสวยงามยิ่งกว่าพลังแห่งเฮลิออสเหลือคณานัป แต่ทว่าสิ่งนี้มีขนาดเล็กกว่าดวงสุริยนมาก -- รอยยิ้มของเทพเจ้าแห่งสงครามนั่นเอง รอยยิ้มที่เฉิดฉายเจิดจ้าและน้อยตนนักที่จะได้เห็น ซึ่งเจ้าของเรือนผมสีควันนั้นมักจะได้คำเยินยอจากบรรดาเหล่าเทพบนโอลิมปิอัสเสมอว่า ‘รอยยิ้ม คือสิ่งที่จะไม่มีวันเกิดขึ้นและหาได้ยากยิ่งจากเทพเจ้าองค์นี้’


    แต่เมื่อมีความรักก่อเกิดขึ้นในหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าบนโอลิมปิอัสหรือเป็นมนุษย์เดินดิน รอยยิ้มก็เกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย




    มิอาจรู้ได้ว่าท่ามกลางความเงียบสงัดในยามค่ำคืนเช่นนี้ เวลาได้ดำเนินเดินผ่านไปนานเท่าใด จนกระทั่งเมื่อไคมาริอัสได้มองออกไปยังภายนอกวิหารอีกครั้ง ภาพที่ปรากฎแก่สายตาคือ แสงสีส้มเข้มค่อยๆ คืบคลานกลืนกินอาณาเขตพื้นที่สีนิลกาฬและค่อยๆ ส่องแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ทีละน้อย ทีละน้อย โดยแสงสีส้มนั้นไล่ระดับความเข้มอ่อนจากเส้นขอบฟ้าจนถึงท้องเวหาข้างบนตัดกับปุยเมฆสีขาวที่แผ่กระจายครอบคลุมเต็มผืนท้องนภา



    เทวาตัวน้อยกำลังจะตื่นจากนิทราเสียแล้วสิ


    เจ้าของเรือนอาภรณ์ผ้าไหมสีน้ำเงินท้องมหาสมุทรเริ่มขยับเขยื้อนตัวภายใต้อ้อมแขนแกร่ง เป็นสัญญาณให้เทวาที่กลายเป็นหมอนเทพเจ้าชั่วคราวนั้นต้องแสร้งทำเป็นว่าตัวกำลังหลับไหล ไคมาริอัสจึงรีบปิดเปลือกตาลงก่อนที่ดีโอเธซัสจะลืมตาตื่นเสียก่อน


    ไม่ใช่ว่าเทพเจ้าแห่งสงครามจะไม่พึงปรารถนาที่จะสบสายตากับดวงเนตรสีเทากลมโต แต่เทพบุตรแห่งสมรภูมินั้นอยากจะดูเชิงและท่าทีของเทพเจ้าแห่งปัญญาว่าเจ้าตัวนั้นจะทำอย่างไรเมื่อยังเห็นว่าเขาแกล้งทำเป็นหลับไหลอยู่เช่นนี้


    เปลือกตาสีมุกค่อยๆ เปิดออกและขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ ใบหน้าที่ก่อนหน้าเคยอิงซบกับอกแกร่งเพื่อทดแทนหมอนนั้น ตอนนี้ได้เงยขึ้นมามองเทพเจ้าที่โอบกอดเขาเอาไว้ทั้งคืนบนบัลลังก์หินอ่อน จวบจนถึงเวลานี้อ้อมแขนแกร่งซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นก็ยังไม่ยอมคลายกอดทำราวกับว่าเทพเจ้าแห่งปัญญานั้นจะชิงหนีหายตัวไปเสียอย่างนั้น


    ดีโอเธซัสระบายรอยยิ้มเล็กน้อยด้วยความสุข ความสุขที่เกิดจากการที่ร่างกายของเขาได้อยู่ภายใต้อ้อมกอดของไคมาริอัส เทวาแห่งสงครามที่เทพเจ้าแห่งปัญญานั้นแอบหลงรักมาเนิ่นนาน


    เจ้าของเรือนผมสีไวน์แดงพยายามค่อยๆ ขยับเขยื้อนกายให้หลุดจากวงแขนแกร่งอย่างแผ่วเบาที่สุดเพราะเกรงว่าเจ้าของเรือนผมสีเทานั้นจะตื่นจากนิทราเสียก่อนและเกรงใจที่เจ้าตัวต้องมารับน้ำหนักที่เมื่อเทียบกับชุดเกราะแล้วก็คงจะมีน้ำหนักกว่ามากนัก เมื่อหลุดออกมาได้แล้ว ฝ่ามือน้อยๆ ที่ไร้เครื่องประดับจึงจับแขนของเทพเจ้าที่กำลัง(แสร้ง)หลับไหลให้วางลงข้างๆ ลำตัวของเจ้าของ เมื่อดีโอเธซัสจัดระเบียบร่างกายเรียบร้อยแล้วจึงวางตนให้นั่งลงบนพื้นที่ว่างของบัลลังก์


    ลมหายใจกลิ่นเปลือกไม้ยามฝนตกนั้นถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นจังหวะและสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าเจ้าของอาภรณ์ผ้าไหมสีดำนั้นกำลังนอนหลับ ดีโอเธซัสจึงถือโอกาสที่ดวงเนตรสีอำพันถูกเปลือกตาปิดเอาไว้นั้นมองใบหน้าที่ทั้งคมคายและหล่อเหลา เจ้าของดวงเนตรสีเทานั้นค่อยๆ ไล้สายตามองเทพเจ้าแห่งสงครามอย่างพินิจพิจารณา นี่เป็นครั้งแรกที่ดีโอเธซัสได้มองใบหน้าของไคมาริอัสอย่างชัดเจนแจ่มชัดปรากฎในมโนภาพ เครื่องหน้าทั้งทรงคิ้วซึ่งรับกับดวงตาที่มีทรงคล้ายกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ทรงจมูกรับกับทรงรูปหน้าและริมฝีปากหยักหนารูปกระจับ และสันกรามที่คมสันเป็นตัวตีกรอบรูปหน้าให้เป็นเอกลักษณ์และดูดีกว่าใครๆ ยิ่งมองก็ยิ่งหลงไหล


    ความหลงไหลของเทพเจ้าแห่งปัญญาที่มีต่อเทพเจ้าแห่งสงครามนั้นดูเหมือนจะเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ จนดีโอเธซัสหักห้ามใจไม่ค่อยจะอยู่ เพราะว่าฝ่ามือนิ่มนวลนั้นลูบและสัมผัสที่ใบหน้าคมคายของไคมาริอัสอย่างแผ่วเบาและนิ่มนวล ตั้งแต่หน้าผาก ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก


    ยังไม่ทันที่เทพแห่งปัญญานั้นจะชักฝ่ามือกลับไป เพราะจู่ๆ เทวาผู้มีเรือนร่างงดงามตามอุดมคติของบุรุษเพศนั้นลืมตาโพลงขึ้นมาราวกับว่าก่อนหน้านี้เจ้าตัวไม่ได้หลับไหล ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าฝ่ามือของดีโอเธซัสเกือบจะเท่าตัวนั้นจับไปที่ข้อมือเล็กและออกแรงชักดึงเข้าหาที่ตัวของไคมาริอัส จนริมฝีปากรูปหัวใจอมชมพูนั้นสัมผัสโดยตรงที่ข้างแก้มของเทพเจ้าที่ออกแรงฉุดดึงเทวาตัวบางให้เข้าหาด้วยแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



    "จะ..เจ้า!" ดีโอเธซัสรีบดันตัวเองออกจากเจ้าของอาภรณ์ผ้าไหมสีดำพร้อมกับสะบัดข้อมือออกจากการจับกุม ส่วนดวงตากลมโตนั้นเบิกโพลงด้วยอารมณ์ตกใจ


    "..." ไคมาริอัสระบายยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและดวงตาสีอำพันนั้นเริ่มฉายแววแห่งความเจ้าเล่ห์


    "แท้จริงแล้ว เจ้านั้นเสแสร้งทำเป็นหลับไหล ใช่หรือไม่?" เทวาแห่งสติปัญญาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเจือไปด้วยความขุ่น แน่ล่ะ ดีโอเธซัสไม่พึงใจที่จะต่อกรกับเทวาที่เขาไม่มีวันคาดเดาได้เลย


    "..." เทพเจ้าแห่งสงครามยังคงเลือกที่จะไม่ตอบทางวาจาเช่นเดิม มีเพียงการอมยิ้มที่เจือไปด้วยความรู้สึกขบขันและการยั่วยวนกวนประสาทด้วยการเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง


    "ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้นะ! ไคมาริอัส"



    เทพเจ้าทั้งสององค์ภายในวิหารหินอ่อนต่างก็ประสานสายตาอย่างไม่ลดละ เทวาแห่งสติปัญญานั้นจดจ้องอีกฝ่ายเพื่อต้องการหาคำตอบ ส่วนเทวาแห่งสมรภูมิรบนั้นจดจ้องอีกฝ่ายเพื่อแสดงคำตอบ ความรู้สึกที่สื่อออกมาผ่านดวงตาสีอำพันนั้นทำให้ใบหน้ารูปไข่เกิดอาการสูบฉีดเลือดมาเลี้ยงที่แก้มมากเกินปกติจนเกิดสีแดงแต่งแต้มบนพวงแก้มอิ่ม – ดีโอเธซัสกำลังขวยเขินอยู่นั่นเอง




    “ข้าก็แค่…อยากให้เจ้ามาจุมพิตที่แก้มของข้าบ้าง” ไคมาริอัสยกนิ้วชี้ขึ้นมาจิ้มที่แก้มของเจ้าตัว


    “อะ--”


    “ถ้าเจ้าไม่ชอบใจ งั้นข้าขอชดใช้ไถ่โทษให้ก็แล้วกัน” ใบหน้าคมคายค่อยๆ คืบเข้ามาใกล้ใบหน้าที่โดดเด่นด้วยนัยน์ตาสีเทา


    “จ จะทำ--”



    ฟอดดด


    “..ไถ่โทษด้วยการจุมพิตที่แก้มนิ่มๆ ของเจ้า เท่านี้เพียงพอที่จะทำให้เจ้าหายขุ่นเคืองข้าได้รึไม่ ดีโอเธซัส”



    เทพเจ้าแห่งสงครามถอนใบหน้าออกมาเนื่องจากเจ้าตัวทำการฝังจมูกลงบนแก้มนิ่มที่มีกลิ่นดอกไอริสเจือจาง น้ำเสียงที่ติดออกไปทางทุ้มต่ำและแหบพร่าที่ถูกเจ้าของใช้เอื้อนเอ่ยท่วงทำนองไพเราะเสนาะหูเสมือนเสียงที่ออกมาจากเครื่องดนตรี ราวกับว่ามีเวทมนตร์หรือพลังวิเศษสะกดให้ถ้อยประโยคที่ไคมาริอัสเอ่ยออกมานั้นยังคงถูกเล่นวนซ้ำๆ และส่งเสียงกึกก้องภายในโสตประสาทของดีโอเธซัส


    นัยน์ตาสีอำพันและนัยน์ตาสีควันสอดประสานกันอีกครั้ง




    “จะ..เจ้า ทำไมถึงได้ทำเช่นนี้” เทพเจ้าแห่งปัญญาเอ่ยถามอย่างตะกุกตะกักและน้ำเสียงที่เริ่มแผ่วเบา


    “เพราะข้าหักห้ามใจไม่อยู่ เมื่อเจ้ามาอยู่ตรงหน้าข้า”


    “ทะ..ที่เจ้าเอ่ยออกมา มะ..มันมีน้ำหนัก มะ..ไม่เพียงพอ--”


    “เพราะดวงตาและริมฝีปากของเจ้า ทำให้ข้าหลงไหล”


    “กะ..ก็ยังไม่เพียงพอ--”


    “เพราะข้ารักเจ้า เหตุผลและความรู้สึกในใจของข้าเพียงพอสำหรับเจ้ารึไม่”




    ราวกับโลกทั้งโลกบนโอลิมปิอัสนั้นหยุดหมุนหลังจากไคมาริอัสเอ่ยถ้อยคำสารภาพรัก ความรู้สึกมากมายหลากหลายต่างก็ตีกันและผสมปนเปอยู่ในหัวสมองของดีโอเธซัส ในตอนที่เทพเจ้าแห่งสงครามบุกมาหาถึงวิหารอันเป็นที่พักผ่อนส่วนตัวนั้น เทพแห่งปัญญาคิดแค่เพียงว่าเจ้าของเรือนผมสีเทาต้องการจะสั่งสอนประสบการณ์และแค่กระหายร่างกายเขาเท่านั้น


    ดีโอเธซัสไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าหัวใจของไคมาริอัสจะตรงกันกับหัวใจของเขา แค่คำพูดไม่กี่ประโยคจากปากของเทวาแห่งสมรภูมิ คำพูดที่ไม่ยืดยาวแต่คงความหนักแน่นดั่งหินผานั้นเสมือนราวกับเป็นปีกขนนกอันสวยงามที่พร้อมจะพาหัวใจของเทพแห่งปัญญาให้โบยบินและโลดแล่นตามแต่ใจจะปรารถนา



    “อย่ามัวแต่เขินอายอยู่เลย เทวาตัวน้อยของข้า--”


    “…”


    “ความปรารถนาสุดท้ายในชีวิตอมตกาลของข้า มีเพียงสิ่งเดียว…หัวใจของเจ้า”


    “…”


    “ดีโอเธซัส ตัวข้าเองนั้นไม่มีอำนาจหรือพลังวิเศษใดๆ ที่จะบังคับหัวใจของเจ้าได้ แต่ข้าเองก็กระหายใคร่รู้เหลือเกินว่าหัวใจของเจ้าจะตรงกับหัวใจของข้ารึไม่”


    “…”


    “ขอเพียงแค่เจ้าเอ่ยออกมา ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นเช่นไร--” เสียงทุ้มต่ำนั้นยังคงหนักแน่น ถึงแม้ว่าข้างในหัวใจจะเริ่มรู้สั่นไหวเพราะเทพเจ้าแห่งปัญญาไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้สักวาจาเดียว


    แต่ถึงอย่างนั้น ไคมาริอัสยังคงเชื่อมั่นในความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้หลังจากที่ได้โอบกอดและได้ฟังเสียงหัวใจของดีโอเธซัสที่เต้นรัวกระหน่ำก่อนที่เจ้าตัวนั้นจะหลับไหลด้วยความเหนื่อยอ่อน



    ฝ่ามือน้อยทั้งสองข้างของเจ้าของเรือนผมสีไวน์แดงนั้นตะปบและประคองใบหน้าคมคายและหล่อเหลาให้เข้ามาใกล้ๆ ห่างเพียงแค่ไม่ถึงคืบ จนเทพเจ้าทั้งสององค์ต่างก็รับรู้ถึงกลิ่นลมหายใจของกันและกัน ดวงตาสีเทาและดวงตาสีอำพันยังคงสอดประสาน ความรู้สึกที่สื่อออกมาจากดวงตากลมโตของดีโอเธซัสนั้นเป็นคำตอบของทุกๆ อย่างที่หัวใจของไคมาริอัสปรารถนาใคร่รู้


    สัมผัสนุ่มหยุ่นบนริมฝีปากหยักยังคงประทับอยู่อย่างอ้อยอิ่งจนกว่าเจ้าของกลีบปากสีกุหลาบนั้นจะพึงพอใจ สัมผัสที่แผ่วเบา นิ่มนวลและหนักแน่นนั้นทำให้หัวใจของไคมาริอัสเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าแรงคลื่นพิโรธในท้องมหาสมุทร ดีโอเธซัสนั้นค่อยๆ ถอนริมฝีปากรูปหัวใจออกอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อนเอ่ยวาจาที่ตอกย้ำความเชื่อของเทพเจ้าแห่งสงครามว่า หัวใจทั้งสองดวงนั้นมีความรู้สึกที่ต้องตรงกัน



    “ข้ารักเจ้า ไคมาริอัส”








    #รักแห่งไคซู
    on Twitter

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in