เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
You’re all I see [Jongin x Kyungsoo]Nuynyaloners
My mind is full of you.





  • Chapter 10



    Title: My mind is full of you.
    Pairing: EXO
    Rated: PG
    Genre: Romantic
    Hastag: #รักแห่งไคซู
    #fictober #Fictober2017







    To.D

    I like you for matching my slow footsteps.

    I like how you shorten the distance between us.


    - K.





    “พี่คยองซู…รู้จักพ่อครัวของร้านนี้ด้วยเหรอครับ?”

    “อือ รู้จักกันตอนพี่ท่องเที่ยวอยู่ในญี่ปุ่น แถวๆ เมืองอินุยามะ พี่ไปกินข้าวที่ร้านคุณพ่อคุณเคนตะบ่อยๆ น่ะ ทุกวันที่ไปกินก็เจอเขาฝึกทำอาหารอยู่ในร้านเป็นประจำ คุณเคนตะเพิ่งจะมาเปิดสาขาร้านอาหารในเกาหลีได้ไม่ถึงปีเอง” คยองซูเขยิบเข้าไปใกล้ๆ เพื่อที่จะกระซิบคุยกับรุ่นน้องที่นั่งข้างๆ โดยใบหน้าหวานเกือบจะชิดติดกับใบหูของไคอยู่แล้ว ทำให้ลมหายใจอุ่นร้อนของพี่คยองซูกระทบกับใบหูของเขาโดยตรง


    นี่เป็นครั้งแรกที่เขา…ได้ยินเสียงที่ทั้งทุ้มนุ่มและไพเราะจากริมฝีปากรูปหัวใจในระยะประชิด
    เป็นเสียงที่ไพเราะยิ่งกว่าทุกสำเนียงเสียงดนตรีบนโลก

    และนี่…เป็นอีกครั้งที่หัวใจของเขาเต้นแรงแทบจะหลุดออกมาจากอกข้างซ้าย
    อ่า…เมื่อไหร่จะเคยชินซะทีนะ



    กลิ่นหอมของเครื่องเทศนานาชนิดที่ถูกบดและผสมกันจนกลายเป็นผงกะหรี่ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของน้ำแกงกะหรี่ที่มีสีออกไปทางน้ำตาลและดูเข้มข้นนั้นกำลังเดือดปุดๆ อยู่ในหม้อสแตนเลสขนาดใหญ่ กลิ่นหอมๆ ของเนื้อหมูและเนื้อไก่ที่กำลังถูกทอดให้สุกอยู่ในน้ำมันสีเหลืองทอง กลิ่นหอมของเมล็ดข้าวกลมๆ ที่หุงสุกอยู่ภายในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า กลิ่นหอมเหล่านี้อบอวลอยู่ในร้านที่ตกแต่งให้คงกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นในแบบสไตล์เซน (Zen) ที่ทั้งเรียบง่ายและอบอุ่นด้วยไม้สีอ่อนในคราวเดียวกัน นอกจากนั้นยังมีโมเดลกล้องถ่ายรูปเก่าๆ หลายๆ ตัวตั้งอยู่ตามช่องไม้รูปสี่เหลี่ยมด้วย

    ภายในร้านอาหารแบบครอบครัวที่อบอุ่นแห่งนี้ยังมีลูกค้าอยู่แค่ 2 คน คือ คยองซูและไค อาจเป็นเพราะว่ายังคงเป็นเวลาเปิดร้านได้ไม่นานเท่าไหร่นัก ทั้งร้านจึงมีแค่เสียงการทำอาหารของพ่อครัวซึ่งกลายมาเป็นเสียงประกอบฉากเท่านั้น

    ไคไม่แปลกใจในสิ่งที่แบคฮยอนแนะนำแก่เขาเลย ซึ่งเจ้าตัวพูดแนะนำตอนที่เรียนอยู่ในห้องโดยให้เขาลองพาพี่คยองซูมาทานอาหารที่ร้านนี้ดู เพราะว่าในระหว่างที่พวกเขากำลังรออาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะนั้น รุ่นพี่ตัวเล็กมองสำรวจไปทั่วๆ ร้าน เมื่อเจ้าตัวสำรวจจนพอใจก็หยิบพวกขวดเครื่องปรุงขึ้นมาดู ท่าทางพินิจพิจารณาอย่างตั้งใจและมองขวดโชยุแบบ Saishikomi อย่างไม่ละสายตานั้นทำให้รุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ อดที่จะยิ้มตามไม่ได้


    ก็ดวงตาที่จ้องสิ่งของอย่างตั้งใจแบบนั้นน่ะ…เหมือนเด็กน้อยเวลาที่ตั้งใจทำการบ้านยังไงยังงั้น


    ไม่รู้ว่าเจ้ารุ่นพี่ตัวเล็กหยิบขวดโชยุขึ้นมาดูด้วยท่าทางแบบไหน หยดโชยุน้อยๆ ที่ยังคงค้างอยู่ที่ปลายรูขวดเล็กๆ ถึงได้ย้ายตำแหน่งมาอยู่ที่ข้างแก้มด้านขวาของเจ้าตัวได้ แล้วกลายเป็นไฝดวงเล็กๆ เหนือมุมปาก

    แต่ในขณะที่ไคกำลังใช้มือข้างนึงในการเท้าคางกับพื้นโต๊ะไม้สีอ่อนเพื่อมองพี่คยองซูอย่างเพลินๆ มองไปก็ยิ้มไปนั้น จู่ๆ ใบหน้าที่ดูหล่อเข้มและน่ารักในคราวเดียวก็เปลี่ยนโฟกัสจากขวดโชยุมาโฟกัสที่หนุ่มรุ่นน้องแทน ดวงตาของเพนกวินฉายแววความงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้คิดสงสัยอะไรมาก เพราะว่า…

    “พี่หยิบขวดโชยุขึ้นมาดูยังไงครับเนี่ย ดูสิ พี่มีไฝที่แก้มด้วยอะ ฮ่าๆ” หมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ออกเสียงหัวเราะน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู

    “…”

    คราวนี้ การกระทำมักไปไวกว่าความคิดมากกว่าทุกครั้ง ไคใช้นิ้วหัวแม่โป้งค่อยๆ ไล่ปาดรอยหยดซอสโชยุที่ยังคงค้างอยู่เหนือมุมปากของพี่คยองซู เพราะเขากลัวว่าสารเคมีในซอสสีน้ำตาลเข้มค่อนไปทางสีดำนั้นจะทำปฎิกิริยากับผิวเนียนละเอียดจนอาจจะทำให้คนตัวเล็กกว่าเกิดอาการระคายเคืองได้

    สัมผัสนุ่มหยุ่นจากแก้มขาวๆ ราวกับขนมดังโงะแล่นผ่านปลายหัวแม่โป้ง สัมผัสที่ทั้งนุ่มและเนียนในคราวเดียว เป็นสัมผัสที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนและเป็นสัมผัสที่เขายากที่จะห้ามใจเสียเหลือเกิน ไม่เคยรู้สึกว่าการข่มใจไม่ให้ใช้ริมฝีปากของเขาไปสัมผัสกับแก้มเนียนนุ่มนั้นจะยากเย็นขนาดนี้ แถมหัวใจยังเต้นรัวแบบบ้าคลั่งมากๆ ราวกับว่าเขากำลังถูกคนน่ารักที่นั่งข้างๆ ใช้ความน่ารักล้วงเข้าไปผ่านหน้าอกและจับหัวใจขนาดเท่ากำปั้นของเขามาเขย่าๆ เหมือนกำลังจะสั่นกระดิ่งน้อยๆ สีทองในวันคริสต์มาสยังไงยังงั้น


    ฮ่า…ต่อให้เป็นโรคหัวใจวายแล้วผมจะละลายหายไป หรือต่อให้ผมต้องปีนขึ้นมาจากหลุมรักเพื่อที่จะได้เห็นความน่ารักแบบนี้ แล้วก็ถูกเจ้าของรอยยิ้มรูปหัวใจจะแกล้งแกะมือผมที่เกาะขอบปากหลุมออกอีกกี่ครั้ง…
    ผมก็ยอม



    เมื่อรุ่นน้องคิดว่าบนผิวแก้มขาวเนียนของรุ่นพี่นั้นสะอาดปราศจากรอยหยดซอสโชยุแล้ว เจ้าตัวก็ทำความสะอาดนิ้วหัวแม่โป้งตัวเองด้วยการใช้ริมฝีปากหยักหนาดูดและเลียรอยซอสโชยุจนรู้สึกถึงรสชาติเค็มและหวานเล็กน้อยที่ปลายลิ้น ถึงจะทำความสะอาดเรียวนิ้วของตัวเอง แต่ดวงตาประกายท้องทะเลยามราตรีนั้นแทนที่จะมองการกระทำของตัวเองแต่กลับยังคงวางจุดโฟกัสไปที่ใบหน้าของคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ แทน การกระทำของไคตั้งแต่ต้นจนจบเมื่อสักครู่นี้เรียกรอยเลือดฝาดสีชมพูให้ปรากฏอยู่บนแก้มของคยองซูได้เป็นอย่างดี

    ภาพถ่ายที่มีชีวิตและเคลื่อนไหว ภาพถ่ายที่มีจุด Foreground คือคนตัวเล็กที่โตกว่าเขาแค่ 1 ปีที่กำลังทำสีหน้าน่ารัก ดวงตากลมโตเบิกกว้างเล็กน้อยบ่งบอกถึงอารมณ์ตกใจกับการถูกสกินชิพจากอีกฝ่ายด้วยนิ้วหัวแม่โป้ง ริมฝีปากรูปหัวใจเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง และพวงแก้มสีลูกท้อ เป็นภาพที่ถูกรัวชัตเตอร์ครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านเลนส์จากดวงตาคมสวยของคนที่มีอายุอ่อนกว่า

    ภาพถ่ายที่เกิดขึ้น ณ ห้วงเวลานี้ ภาพถ่ายที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นแบบครอบครัวของร้านอาหารญี่ปุ่น ภาพถ่ายที่มีแค่ไคเท่านั้นที่ได้เห็นและเขาเองก็บันทึกมันเอาไว้ที่สมองและบันทึกความรู้สึกใส่ลงเข้าไปในหัวใจของเขา ถึงภาพถ่ายนี้จะไม่ได้กลายสภาพเป็นไฟล์ .JPEG หรือถูกอัดรูปออกมาเป็นภาพถ่ายจริงๆ และถึงแม้ว่าในอนาคตข้างหน้าอาจจะไม่มีพี่คยองซูเป็นหนึ่งในจุด Foreground ของเขาแล้วก็ตาม...

    แต่ภาพถ่ายแบบ Limited edition ที่มีพี่คยองซูเป็นจุดรวมสายตาอยู่ข้างในนี้…จะประทับและติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผมไปตลอดชีวิต



    นี่เป็นอีกครั้งที่คยองซูเกิดอาการสมองไม่สามารถประมวลผลได้ทันท่วงที เหมือนกับระบบปฎิบัติการ Android ในโทรศัพท์มือถือที่จู่ๆ ก็หยุดชะงักไปเสียดื้อๆ ซึ่งถ้าเป็นชานยอลหรือแบคฮยอนมาสกินชิพแบบนี้กับเขา ทั้งสองคนนั้นน่าจะโดนเขาเหวี่ยงหมัดหรือไม่ก็ถูกตบหัวไปแล้ว แต่นี้…ไม่ใช่ว่ารุ่นพี่ตัวเล็กจะไม่กล้าทำร้ายร่างกาย(?) รุ่นน้องหรอกนะ..ถ้านับตามอายุและลำดับความอาวุโสแล้วถ้าคิดจะทำก็ย่อมได้ แต่เขาก็แค่รู้สึกว่ายังไม่อยากให้คนผิวแทนสัมผัสและรับรู้ข้อเสียของเขาในตอนนี้ ถึงแม้ว่าไคจะเห็นภาพที่เขาแจกขนมตุ้บตั้บให้ไอ้ชานยอลกินไปแล้วก็ตาม

    รุ่นพี่อย่างคยองซูไม่พูดหรือส่งปฎิกิริยาทางร่างกายตอบกลับรุ่นน้อง เขาได้แต่ทำทีทำท่าทำเป็นเสมองไปทางอื่น มองห้องครัวยกระดับที่มีแค่กระจกกั้นตรงหน้าบ้าง มองไปทางส่วนอื่นของร้านบ้าง และสุดท้ายก็กลับมามองเหล่าบรรดาขวดเครื่องปรุงสำหรับเพิ่มรสชาติของอาหารเหมือนก่อนที่ไคจะใช้นิ้วหัวแม่โป้งป้ายเช็ดรอยหยดซอสโชยุ แต่ถึงอย่างนั้น..คยองซูก็ยังไม่หายเขินและใบหน้ายังคงร้อนผ่าวอยู่ดี


    “คัตซึคะเร ได้แล้วครับ” พ่อครัวซึ่งเป็นเจ้าของร้านได้ยื่นถาดอาหารสีดำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากมาให้คยองซูก่อนเป็นคนแรก ซึ่งในนั้นมีชามปากบานขนาดพอดีสำหรับอาหารจานเดียวและถ้วยเล็กสำหรับใส่ซุปมิโสะ ซึ่งทั้งคู่ทำจากเมลามีนและมีสีดำแดง

    “ขอบคุณครับ” คยองซูยื่นมือไปรับด้วยท่าทีที่นอบน้อมตามแบบฉบับคนที่ถูกอบรมเรื่องมารยาทจากครอบครัวมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งไหนของความสัมพันธ์ แต่เรื่องมารยาททางสังคมเป็นเรื่องที่คุณพ่อและคุณแม่ของเขาพร่ำสอนและย้ำเตือนเสมอว่าให้ต้องให้ความสำคัญ

    ภายในชามปากบานนั้นมีข้าวญี่ปุ่นร้อนๆ ซึ่งหน้าข้างบนข้าวถูกแบ่งพื้นที่ออก 2 ฝั่งเท่าๆกัน ฝั่งนึงราดด้วยน้ำแกงกะหรี่สีน้ำตาลเข้มข้น ส่วนอีกฝั่งนั้นถูกโปะด้วยหมูทอดสีเหลืองทองชิ้นหนาและส่งกลิ่นหอมฉุยไม่แพ้กับน้ำแกงกะหรี่เลย เป็นกลิ่นที่คยองซูคุ้นเคยและยังไม่จางหายไปจากความทรงจำ กลิ่นคัตซึคะเรฝีมือของคุณเคนตะเหมือนกับกลิ่นคัตซึคะเรที่พ่อของคุณเคนตะไม่ผิดเพี้ยน กลิ่นนี้ทำให้คยองซูหวนคิดถึงความทรงจำช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา นั่นถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยใช้เงินเก็บทั้งหมดที่ได้จากการเขียนคอลัมน์ให้กับนิตยสารเพื่อที่จะหนีไปพักใจ หนีไปเพื่อลืมและชำระความรู้สึกแย่ๆ ที่ญี่ปุ่น โดยเขาทิ้งข้อความให้แม่บ้านบอกกับพ่อแม่ของเขาเมื่อท่านเดินทางกลับมาถึงบ้าน เขาส่งไลน์บอกชานยอลและแบคฮยอนว่าจะเที่ยวอยู่ที่ญี่ปุ่นซักพัก พอใกล้เปิดเทอมถึงจะกลับมาโซล

    ที่คยองซูตัดสินใจแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบคนเดียวนั้น เพราะว่า เขาอยากไปในที่ที่ไม่รู้จักกับใครและก็ไม่มีใครรู้จักกับเขา อย่างน้อยๆ การที่พาตัวเองไปพบเจอกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคยและอยู่ในดินแดนที่เงียบสงบแบบนี้มันจะช่วยทำให้เขาเลิกเจ็บปวดและเลิกคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับคนแย่ๆ คนนึงไปบ้าง

    ซึ่งก็ถือว่านี่เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตที่ถูกต้องและได้ผลดี ถึงแม้ว่าการที่ถูกคนแย่ๆ ทำร้ายและลงมือกรีดหัวใจของเขาจนเป็นแผลนั้นจะไม่มีทางรักษาหาย และแน่นอนว่ามันต้องทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ แต่ในตอนนี้เขาคงไม่กลับไปให้ค่าและความหมายกับความทรงจำที่เกี่ยวกับคนแย่ๆ คนนั้นอีกต่อไปแล้ว


    เพราะว่า…ความน่ารัก ความอบอุ่น และความเอาใจใส่คนรอบข้างที่เขาได้รับจากไคนั้น เปรียบเสมือนกับยารักษารอยแผลเป็น เป็นยารักษาแสนวิเศษที่ค่อยๆ ฟื้นฟูและซ่อมแซมหัวใจที่เคยแตกสลายของเขาไปทีละน้อย ทีละน้อย



    "

    ไค…รอพี่ก่อนนะ รอให้ความรู้สึกของพี่ที่มีให้ไคมันชัดเจนและมั่นคงเพียงพอ

    รอให้ความรู้สึกระหว่างเราสองคนนั้นทนอุณหภูมิที่สูงถึง 1300 องศาให้ได้ เหมือนกับเครื่องเคลือบดินเผา

    เมื่อถึงวันนั้น วันที่อากาศดีพอ…วันที่พี่สามารถพูดความรู้สึกออกมาได้เต็มปากว่า ‘พี่รักไค’ อย่างไม่มีข้อแม้และข้อกังวลใดๆ

    พี่เชื่อนะ เชื่อว่าอีกไม่นาน ระยะทางในความรู้สึกของไคและความรู้สึกของพี่จะมาบรรจบแล้วรวมเป็นถนนเส้นใหม่ ถนนที่มีคำว่า ‘เรา’ คำว่า ‘รัก’ และคำที่แทนความรู้สึกทุกๆ ความรู้สึกบนถนนเส้นนี้

    "




    50%





    “ทำไมพี่ไม่กินล่ะครับ? ถ้าข้าวมันเย็นเดี๋ยวจะกินไม่อร่อยนะครับ” ไคที่ยังคงรอเมนูที่เขาสั่งเอาไว้อย่างเงียบๆ เอ่ยปากถามรุ่นพี่ที่ตอนนี้มีชุดคัตซึคะเรวางอยู่ตรงหน้าแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมหยิบตะเกียบและช้อนขึ้นมาเพื่อลงมือกินซะที


    “อ่า…ก็พี่มากับไคไม่ใช่เหรอ”


    “…”


    “มาด้วยกันก็ต้องกินพร้อมกันสิ…ถึงจะอร่อยนะ :)” คยองซูตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มละมุนราวกับรสชาติของช็อกโกแล็ตและรอยยิ้มรูปหัวใจดวงน้อยเหมือนดังเช่นทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกหิวและอยากลงมือจัดการกินและกลืนคัตซึคะเรลงท้องซะตอนนี้ แต่การที่เรากินข้าวพร้อมๆ กับคนที่อยู่ข้างๆ กันมันมีความสุขมากกว่าที่จะกินก่อนคนเดียวซะอีก


    “อ่า..ครับ”

    “ไค..หิวแล้วเหรอ?”

    “ก็..นิดนึงครับ พอได้กลิ่นอาหารแล้วท้องของผมก็ออกอาการเลย”


    ครอก เสียงท้องร้องที่ยืนยันได้เลยว่าไคหิวข้าวแล้วจริงๆ


    เสียงท้องคำรามเพราะน้ำย่อยเริ่มทำงานที่ออกมาจากส่วนกลางของร่างกายคนผิวแทนนั้นทำให้คยองซูระเบิดเสียงหัวเราะน้อยๆ ออกมา ส่วนรุ่นน้องก็เอามือลูบท้องตัวเอง ลูบไปลูบมา ลูบวนๆ พร้อมกับเริ่มทำปากเบะแบบเด็กน้อยไร้เดียงสาที่กำลังหงุดหงิดและงอแงเพราะว่าคุณแม่ทำอาหารเสร็จไม่ทันใจ

    “โอ๋ๆ รอแป็บนึงนะครับน้องไค เดี๋ยวก็ได้กินแล้วนะ” ‘พี่คยองซู’ ที่ลองสวมบทบาททำตัวเป็นพี่ชายเพื่อปลอบโยนน้องชาย เพราะเจ้าตัวอดที่จะเอ็นดูรุ่นน้องตัวโตซึ่งกำลังทำหน้างอแงไม่ได้ แต่พี่ชายตัวเล็กไม่ได้ปลอบโยนแค่คำพูดปากเปล่าและน้ำเสียงที่ทั้งทุ้มต่ำอ่อนโยนเท่านั้น ทว่า..มือสวยราวกับมือของผู้หญิงแต่กลับแฝงไปด้วยพลังแข็งแกร่งนั้นแทนที่จะจับช้อนทานข้าวอย่างเคย แต่กลับย้ายตำแหน่งไปอยู่ตรงท้ายทอยของรุ่นน้อง มือนิ่มสัมผัสกับไรเส้นผมสีดำสนิทและผิวหนังตรงส่วนหลังคอเบาๆ เพื่อเป็นการบอกว่า ไม่เป็นไรนะ ก่อนที่จะย้ายมือกลับมาจับช้อนเหมือนเดิม


    สัมผัสอุ่นร้อนตรงท้ายทอยยังไม่ทันจางหาย สัมผัสเพื่อปลอบโยนเพียงไม่กี่วินาทีแต่กลับสร้างความรู้สึกดีได้มากมาย สัมผัสที่แสดงและสื่อถึงความเป็นตัวตนของพี่คยองซูออกมา ถึงแม้บุคลิกภายนอกจะดูเป็นคนตรงๆ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกในใจออกมาให้เห็น ดูๆ แล้วคงไม่รู้จักคำว่าอ่อนโยนซะด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้ลองมาอยู่ใกล้ๆ แล้ว ถ้าให้ลองเปรียบเทียบกับฤดูกาล พี่คยองซูคงเป็นเหมือนกับ ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ ที่ทั้งอ่อนโยนและสดชื่น มองเห็นแล้วสบายตาสบายใจ เมื่ออยู่ใกล้ๆ แล้วคงหุบยิ้มไม่ได้หรืออย่างน้อยก็อาจจะเผลออมยิ้มอย่างเงียบๆ


    “คาราอะเกะด้งได้แล้วครับ ทานให้อร่อยนะครับ” พ่อครัวเจ้าของร้านยื่นถาดอาหารซึ่งในนั้นมีข้าวหน้าไก่ทอดที่เพิ่งทำเสร็จร้อนๆ ให้กับคุณลูกค้าที่นั่งรออยู่ตรงที่นั่งแบบเคาน์เตอร์บาร์ติดกับครัวซึ่งมีแค่กระจกใสกั้นเอาไว้เท่านั้น

    “ขอบคุณครับ” หลังจากที่ไครับถาดชุดอาหารที่ข้างในนั้นมีชามและถ้วยซุปมิโสะที่เหมือนกับพี่คยองซูจากมือของพ่อครัวแล้ว เขาก็หยิบตะเกียบที่วางรออยู่แล้วขึ้นมาพร้อมกับกลืนน้ำลายเอือกใหญ่เนื่องจากข้าวหน้าไก่ทอดของโปรดของเขานั้นดูน่ากินมาก แถมยังส่งกลิ่นหอมฉุยแข่งกับข้าวหน้าแกงกะหรี่หมูทอดของคนตัวเล็กข้างๆ ด้วย

    “จะทานแล้วนะครับ/จะทานแล้วนะครับ” เจ้าของโทนเสียงแบบ Tenor และเจ้าของโทนเสียงแบบ Baritone พูดแสดงความขอบคุณต่ออาหารขึ้นพร้อมกันเบาๆ โดยที่ทั้งคู่เองก็ไม่ได้นัดกันไว้ ความบังเอิญนี้เองที่ทำให้ทั้งสองคนหันมามองใบหน้าของกันและกันและต่างก็ส่งยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่าย ก่อนที่ต่างคนต่างหันไปกลับไปจัดการอาหารที่มีหน้าตาน่าลิ้มลองชวนน้ำลายสอด้วยการใช้ช้อนและตะเกียบเป็นตัวนำพาอาหารเข้าปากทันที

    มื้ออาหารกลางวันครั้งแรกในความสัมพันธ์กำลังเดินไปอย่างไม่รีบร้อน ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ และอบอุ่นที่ห้อมล้อมห้วงเวลาแห่งความสุขนี้เอาไว้ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ปล่อยให้เวลาในวงโคจรดำเนินไปตามแรงโน้มถ่วงและการหมุนตัวของโลก

    .
    .



    “นี่คือ..อะไรเหรอครับ?” ไคเอ่ยถามคุณเคนตะเจ้าของร้านที่กำลังกดแป้นตัวเลขของเครื่องบันทึกเงิน เพราะเจ้าตัวเกิดความสงสัยกับสิ่งที่เห็น ในขณะเดียวกันนั้นคยองซูกำลังยืนมองกล้องฟิลม์เก่าๆ ตัวนึงด้วยความสนอกสนใจอยู่ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์คิดเงินของร้านมากนัก

    “อ๋อ นี่คือเครื่องรางเพื่อให้ความรักสมหวังน่ะ คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า “ร่มแห่งความรัก” (あいあい傘)” เจ้าของร้านที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มพูดตอบกลับด้วยท่าทีที่ใจดี

    “ร่มแห่งความรัก? เหรอครับ” ไคชำเลืองดูกรอบรูปที่ตั้งอยู่ข้างๆ เครื่องบันทึกเงินอีกครั้ง สิ่งที่อยู่ภายในกรอบรูปคือกระดาษสีชมพูอ่อนที่มีสัญลักษณ์คล้ายๆ กับร่มซึ่งวาดอย่างง่ายๆ ข้างใต้สามเหลี่ยมถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยเส้นตรงเส้นยาว และในส่วนของแต่ละฝั่งนั้นมีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นที่ถูกเขียนอยู่ในลักษณะแนวตั้งด้วย

    “จริงๆ แล้ว ร่มแห่งความรักไม่ถือว่าเป็นเครื่องรางเพื่อความรักสมหวังซะทีเดียวหรอกนะ แต่มันมีที่มาจากความเชื่อของวัยรุ่นหนุ่มสาวในประเทศญี่ปุ่น..”

    “ยังไงเหรอครับ”

    “ในสมัยก่อนคนญี่ปุ่นมีความเชื่อที่ยึดถือกันเอาเองว่า ชายหญิงอยู่ใต้ร่มคันเดียวกันนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอายมาก การที่ชายหญิงจะเดินกางร่มไปด้วยกันเหมือนกับการบอกเป็นนัยๆ ว่าเป็นคู่รักหรือเป็นแฟนกันเลยนะ แต่ในสมัยนี้ความเชื่อกลายมาเป็นเครื่องรางหรือสิ่งที่ใช้แทนคำสารภาพรักกับคนที่เราชอบไปแล้วล่ะ”

    “งั้นข้างในกรอบรูปนี้ก็..” จากคำพูดของคุณเจ้าของร้านนั้นทำให้ไคเริ่มเข้าใจที่มาที่ไปของสิ่งที่อยู่ในกรอบรูปมากขึ้น

    “คำสารภาพรักของผมเอง ฝั่งขวาของร่มคือชื่อของผม ส่วนฝั่งซ้ายคือชื่อของภรรยา ที่ชื่อผมอยู่ฝั่งขวาเป็นเพราะว่าผู้ชายต้องเป็นคนที่ถือร่มให้ผู้หญิง” คุณเคนตะหยิบกรอบรูปขึ้นมาและอธิบายแต่ละส่วนที่อยู่ในรูปภาพให้ไคฟัง


    “ถ้าเกิดว่าคุณเขินอายเกินกว่าที่จะสารภาพรักกับคยองซูแบบตรงๆ ได้ละก็.. คุณลองเอาวิธีนี้ไปใช้ก็ได้นะครับ”

    “คุณเจ้าของร้านรู้ว่าผมชอบพี่คยองซูเหรอครับ?” ไคเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่คุณเจ้าของร้านสังเกตและดูออกถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อรุ่นพี่ตัวเล็ก


    “ก็สายตาของคุณมันฟ้องในเวลาที่คุณมองคยองซูน่ะสิ” คุณเคนตะยิ้มบางๆ พร้อมกับส่งเงินทอนคืนให้กับไค ประสบการณ์และเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนั้นเป็นทั้งครูและบทเรียนที่สั่งสอนในการอ่านและการมองคนได้ดีเสมอ


    “อ่า…” ไคนั้นพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เม้มปากจนเป็นเส้นตรงเพื่อพยายามกักเก็บอาการเขินอายเอาไว้ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยและรีบยื่นมือไปรับเงินทอนจากคุณเจ้าของร้าน หลังจากนั้นเจ้าตัวจึงรีบเดินไปหาพี่คยองซูที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก



    “พี่คยองซู กลับกันเถอะครับ” รุ่นน้องตัวโตสะกิดเรียกรุ่นพี่ให้หันมาสนใจเขาด้วยการดึงแขนเสื้อของคนตัวเล็กกว่าเบาๆ คยองซูจึงเลิกสนใจโมเดลกล้องฟิมล์เก่าๆ หันมามองใบหน้าคมคายของคนตัวโตแทน


    หลังจากที่ไคและคยองซูเดินออกจากร้านมาแล้ว ร่างสูงยังคงยึดและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขันด้วยการจับสายกระเป๋าโน๊ตบุ๊คที่แหมะอยู่บนไหล่ของร่างเล็กมาไว้ที่ไหล่กว้างของตัวเอง ทั้งคู่เดินเคียงข้างกัน ไม่มีใครเดินนำหน้าใครและมีจังหวะการก้าวเท้าที่สม่ำเสมอและเกือบจะเป็นจังหวะเท่าๆ กัน

    .
    .



    เวลาประมาณบ่ายสามโมง บนถนนสายเดิมในย่านซอแดมุนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มไม่ต่างจากเมื่อวาน บนท้องถนนทั้งสองฝากนั้นไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่านไปผ่านมา อาจเป็นเพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเลิกงานซึ่งเป็นเวลาที่ผู้คนในวัยทำงานจะเดินทางกลับบ้านเพื่อพักผ่อน
    บรรยากาศระหว่างไคและคยองซูเป็นไปอย่างเงียบๆ เหมือนเช่นเคย มีเพียงเสียงฝีเท้าของคนทั้งคู่เท่านั้นที่เป็นเสียง background ประกอบการก้าวเดินอย่างช้าๆ


    แต่แล้วจู่ๆ ท้องฟ้าที่เคยสดใสมีเมฆขาวๆ ประปราย ในตอนนี้กลับมืดครึ้มและเต็มไปด้วยเมฆก้อนใหญ่หนาทึบ สายลมที่เคยพัดอย่างเอื่อยๆ นั้นกลับเริ่มพัดผ่านตัวพวกเขาแรงขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่นาทีที่ผ่านมานั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าฝนกำลังจะตกในไม่ช้า


    เมื่ออากาศรอบข้างเปลี่ยนแปลงจนคยองซูรู้สึกได้ เขาจึงปลดสายกระเป๋าที่สะพายเอาไว้ข้างหลังข้างนึง จากนั้นจึงใช้มือรูดซิปเพื่อเปิดและหยิบร่มสีดำแบบพับย่อส่วนได้ขึ้นมา ด้วยนิสัยที่ระมัดระวังและมีความรอบคอบนี้เองเขาจึงพกร่มคันนี้ติดกระเป๋าไว้ตลอด แต่ยังไม่ทันที่คยองซูจะได้กางร่มฝนก็เทลงมาห่าใหญ่ ด้วยความแรงนั้นทำให้เม็ดฝนที่ตกลงมากระทบกับพื้นโลกกระเด็นกระดอนขึ้นมาจนไคต้องฉวยจับมือของรุ่นพี่เอาไว้และพาวิ่งไปหาที่หลบฝนก่อนที่ตามเนื้อตัวของพวกเขาจะเปียกฝนไปมากกว่านี้


    ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องนั้นยืนหลบฝนอยู่ภายใต้ชายคาของร้านมินิมาร์ทแห่งหนึ่ง ไครีบเช็คว่ากระเป๋าโน๊ตบุ๊คของพี่คยองซูเปียกฝนมากขนาดไหน โชคดีที่ส่วนของเนื้อผ้าเปียกแต่ตัวโน๊ตบุ๊คไม่ได้เปียกไปด้วย รุ่นน้องจึงหยิบตัวโน๊ตบุ๊คขนาดพกพายื่นส่งให้รุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ และหยิบร่มสีดำแบบพับเก็บได้ขึ้นมากางตรงทิศทางของลมที่พาเม็ดฝนสาดลงมา ถึงแม้ว่าจะยืนหลบอยู่ภายใต้ชายคาของร้านมินิมาร์ทก็ตาม แต่เพราะความเป็นห่วงกลัวพี่คยองซูจะเปียกฝนและอาจจะไม่สบายขึ้นมาได้ ยิ่งนอนไม่ค่อยเพียงพออยู่แล้วด้วย รุ่นน้องวาดวงแขนและโอบไหล่เล็กของรุ่นพี่เอาไว้ร่างกายของพวกเขาทั้งคู่ยืนชิดติดกันเพื่อให้คนตัวเล็กได้เข้ามาหลบฝนอยู่ภายใต้ร่มสีดำคันนี้ด้วย



    เสียงของสายฝนที่ตกกระทบกับพื้นผิวของโลกนั้นทำให้ไคนึกถึงเรื่อง ‘ร่มแห่งความรัก’ ที่เขาได้สอบถามและพูดคุยกับคุณเคนตะ ใบหน้าคมคายนั้นขมวดคิ้วมุ่นเพราะกำลังไคร่ครวญถึงจุดประสงค์ของเครื่องรางกระดาษนำโชคให้ความรักสมหวัง


    ผมชอบพี่คยองซู

    ถึงผมจะเป็นคนขี้อายมากขนาดไหน แต่เรื่องการสารภาพรักจะมัวแต่เขินอายไม่ได้ ลูกผู้ชายจะต้องกล้าและพูดออกไปตรงๆ สิ!



    “พี่ครับ”


    “…หืม?”


    “พี่คยองซูครับ”


    “อืม มีอะไรจะพูดงั้นเหรอไค?”


    “ผะ..ผม”


    “…”


    “ผมชอบพี่คยองซูครับ!”




    To you … My spring


    Every time I turn to look at you
    I met eyes sparkling
    Oh! , Your eyes
    Even though your eyes are what I like the most,
    But I can’t make eye contact with you
    As you will know how I lost to the eye of you
    You just kept looking at me like that
    You played me, Even if you do this is normal
    In this world, I never give up on anybody
    It is only with you that I crumble easily
    Even if you don’t do anything
    My heart it beats strength overboard


    Since you came into my life
    The whole world was filled with smiles and laughter you
    Is this dream? I’m dreaming, right?
    I like feeling you are beside me, I like this feeling!
    I would call this feeling that anything?
    Why do I feel so good?


    You and me, two handles together tightly
    I want you to hear my voice
    A little bit
    10 minutes
    I just want to stay close to you.






    100%





    Talk Talk

     

    เราหายไปนาน คิดถึงเรามั้ย? แต่เราคิดถึงเธอนะ

    ขอโทษที่มาช้าไปนิดนึง5555 (ไม่นิดแล้ว)

     

    ถ้าอ่านตรงภาษาอังกฤษแล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจเราก็กราบขอโทษคนอ่านล่วงหน้าเพราะภาษาอังกฤษเรากากมากจริงๆ

     

    เรามี fan art มาฝากด้วยแหละ แต่ก็กากอยู่ดี555

     


    ขอให้มีความสุขกับ chapter10 นะคะ

     

    ไปหวีดได้ที่tag #รักแห่งไคซู ไปหวีดให้เราหน่อยเถอะ คนหวีดน้อยมากTT

    รักคนอ่านเสมอนะ จุ้บ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in