ถึงจะได้ยินมาตลอดว่าผู้หญิงกับฟุตบอลไม่น่าจะเป็นอะไรที่ไปด้วยกันได้ดีนัก แต่ในฐานะที่ตอนเด็กๆ ก็เคยผ่านประสบการณ์บ้าบอลมาก่อน (จำได้ว่าเคยอ่านหนังสือพิมพ์ สตาร์ซอคเก้อร์ ทุกวัน จนเวลาที่เอาออกมากองชั่งกิโลฯ ขายหน้าบ้าน แล้วคนแถวนั้นคิดว่าที่บ้านมีลูกชายอีกคน)
จำไม่ได้ว่าช่วงวัยนั้นทำไมถึงเริ่มดูฟุตบอล และดูจริงจังขนาดที่สามารถเข้ากลุ่มกับเพื่อนผู้ชายที่บ้าบอลอยู่ได้ตั้งหลายต่อหลายปี (คอยทำหน้าที่อ่านข้อมูลแล้วก็ทำนายผลบอลล่วงหน้า) และจำได้ว่าตอนเด็กเราเองก็เคยฝันอยากเป็นนักข่าวกีฬาสายฟุตบอลยุโรป (คือไม่สนใจกีฬาอื่นในโลก) คิดว่าถ้าการดูบอลได้เป็นส่วนหนึ่งของอาชีพการงานนี่มันกำไรชีวิตชัดๆ แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่ชอบมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ใช่ จนถึงวันหนึ่งเรากับการดูบอลก็ค่อยๆ ห่างกันไป
จนถึงตอนนี้ ความห่างเหินอยู่ในระดับที่ไม่อาจเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนบอลทีมไหนได้อีกแล้ว (แต่จริงๆ ยังมีนะ)
ถึงแม้ Ball You Need Is Love จะเป็นเรื่องราวของการไปเยือนอังกฤษเพื่อดูฟุตบอลและทัวร์สนามบอลใหญ่ๆ ถึงสี่สนาม (และแวะไปเช็กอินเล่นๆ อีกสองสนาม) แต่มันก็ไม่น่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นหนังสือท่องเที่ยวหรือหนังสือกีฬาได้ เพราะที่จริงแล้วหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือของคนที่มีความรัก ความชอบ และคลั่งไคล้ในอะไรสักอย่าง แล้วมันก็มากพอที่จะผลักดันให้คนคนนั้นกล้าเดินออกจากโลกของตัวเอง เพื่อไปให้ถึงพื้นที่ที่ตัวเองหลงใหล
ตั๊ก เป็นสาวนักวาดและนักฝัน เราเจอตั๊กครั้งแรกที่งานหนังสือ ตั๊กมาซื้อหนังสือที่บูธ (หรือเปล่าก็จำไม่ได้) แต่หลังจากนั้นไม่นาน ตั๊กก็ส่งต้นฉบับพร้อมเนม (สตอรี่บอร์ด) มาให้เราลองอ่าน
มันเป็นงานที่เรียกว่าคิดและทำมาพร้อมแล้วเกิน 50% ถ้าเราตอบตกลงตั๊กก็พร้อมจะทำงานต่อไปทันที ซึ่งดูจากรูปการณ์และปริมาณงานที่เหลือ หนทางสบายอยู่แค่เอื้อม แต่สโลแกนเด็กลิเวอร์พูลเขาบอกไว้ว่า “You’ll never สบาย alone.”—คุณไม่มีวันสบายคนเดียว (ไม่ใช่!) เราก็เลยตกลงกับตั๊กว่า มาเริ่มต้นทำใหม่กันหมดเลยเถอะ!
ตอนนั้นคิดอยู่ว่าน้องจะยอมเหรอ ทำมาตั้งขนาดนี้แล้ว อยู่ๆ มาบอกให้เริ่มใหม่หมด สารพัดจะคิดกังวลไปว่าถ้าน้องไม่รักเราจริง น้องคงจะทิ้งเราไป (อะไร...) แต่พอคุยกันแล้วตั๊กกลับยินดีที่จะปรับแก้งานสารพัด นอกจากไม่บ่นไม่ด่าแล้ว ยังมุ่งมั่นทำเต็มที่ จนบางทีเราแอบเกรงใจที่ทำให้ตั๊กกลายเป็นคนที่ได้เริ่มต้นทำงานล่าช้ากว่าคนอื่น และเหลือเวลาอันน้อยนิดเอาไว้ให้บีบคั้นเล่น
สำหรับตั๊กแล้วการทำหนังสือก็คงเหมือน Theater of Dreams ของแฟนแมนยู เหมือนการได้ไปเยือนสนามแอนฟีลด์ของสาวกลิเวอร์พูล และก็อาจจะเหมือนการได้ดูลอนดอนดาร์บี้แมตช์ของกองเชียร์ทีมอาร์เซนอล
ว่ากันว่า ถ้าได้ทำอะไรด้วยใจที่รักแล้ว มันจะมีขุมพลังที่เราซุกซ่อนไว้ใช้ยามฉุกเฉินค่อยๆ ปรากฏออกมาเรื่อยๆ
เราว่าตั๊กทำหนังสือเล่มนี้ด้วยพลังงานเหล่านั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in