เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Going to One Wedding Brings on AnotherTippuri~ii*
Chapter 1
  • Chapter 1 
    I’ve been hanging out here waiting for something to start

     

     

     

     

     

    ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นมาจากการที่บิลโบส่งข้อความผิด

     

     

     

     

     

    มันเป็นยามบ่ายของวันธรรมดาวันหนึ่ง เสียงของรถราและผู้คนด้านนอกถูกกั้นไว้ด้วยกำแพงกระจก…ความเงียบที่เข้ากันกับการตกแต่งสีขาวสะอ้านและเฟอร์นิเจอร์สไตล์อ่อนหวานเป็นอย่างยิ่ง เสียงเดียวที่มีในร้านคือท่วงทำนองอันอ่อนหวานของเปียโน…บิลโบดื่มด่ำกับเสียงเพลงไปพร้อมๆ กับที่ไล่เช็ครายชื่อบนแผ่นกระดาษเบื้องหน้าตนไปด้วย เพราะในฐานะที่เขาเป็นญาติคนสนิทที่สุดของผู้เป็นเจ้าสาวอย่างพริมุล่า…ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งได้ตกปากรับคำว่าตนจะติดตามไปไหนต่อไหนกับเธอและก็จะช่วยจัดการรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้อีกด้วย

     

     

     

     

     

    ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขามานั่งรออยู่ในสตูดิโอชุดเจ้าสาวอยู่เช่นนี้…แว่วเสียงชายกระโปรงสวบสาบมาจากด้านในห้องลอง ตามมาด้วยเสียงไม่มั่นใจของหญิงสาว

     

     

     

     

     

    “บิลโบ…ฉันว่าไม่น่ามีโบว์ตรงเอวเลย มันแปลกๆ…”

     

     

     

     

     

    เขาทำเสียงจุ๊ๆ ราวกับเธอกังวลไม่เข้าเรื่อง “ก็เดินออกมาให้ฉันดูซะทีสิ ฉันจะได้ช่วยตัดสินได้”

     

     

     

     

     

    พริมุล่าถอนหายใจเฮ้ออย่างทุกข์ใจแล้วร้องบอกว่าขอเธอลองอีกชุดก่อนนะ ซึ่งบิลโบก็ส่งเสียงฮึมฮัมตอบรับ…ความใจเย็นส่วนตัวทำให้เขาไม่รู้สึกหงุดหงิดที่ต้องคอยเลยสักนิด และอีกอย่าง…ชายหนุ่มก็มีงานให้ทำระหว่างรอด้วย

     

     

     

     

     

    “ยังมีคนไม่ได้ตอบรับบัตรเชิญอีกหกคนนะ” บิลโบมองชื่อที่ตนยังไม่ได้ติ๊กในรายชื่อแขกทั้งหมด “นี่ฉันว่าจะโทรไปเตือนพวกเขาแล้ว ก็คงดูถามจิกแหละนะ…แต่ถ้าไม่คอนเฟิร์มชัดๆ มันก็จัดผังโต๊ะไม่ได้สักที โอเคมั้ยพริมุล่า?”

     

     

     

     

     

    “ก็จริงของเธอ…” เสียงคุณเจ้าสาวฟังดูลำบากใจแต่ก็เห็นด้วย ก่อนจะเสนอการเจอกันครึ่งทาง “เอางี้ดีไหม…ส่งเป็นข้อความไปแทนก็แล้วกัน ถ้าไม่ตอบภายในวันนี้ก็ถือว่าไม่มา”

     

     

     

     

     

    บิลโบตอบตกลงแล้วก็เริ่มต้นพิมพ์ข้อความ เขาแจกแจงสั้นๆ ว่าจะมีงานแต่งงานในวันใดและที่ไหน ก่อนจะคัดลอกข้อความนี้ส่งไปทั้งหกหมายเลขของแขกผู้ยังไม่ได้ตอบรับคำเชิญ

     

     

     

     

     

    มีเพียงหนึ่งหมายเลขเท่านั้นที่ตอบกลับมาอย่างทันที

     

     

     

     

     

    ‘นั่นใครน่ะ?’

     

     

     

     

     

    บิลโบขมวดคิ้วใส่ประโยคนี้ งงๆ เล็กน้อยแต่ก็พิมพ์ตอบไปโดยดี ‘บิลโบ แบ็กกินส์ ญาติของพริมุล่าไง’

     

     

     

     

     

    ไม่ถึงนาทีเท่านั้น อีกฝ่ายก็ส่งข้อความกลับมาใหม่

     

     

     

     

     

    ‘คุณส่งข้อความมาผิดเบอร์แล้วล่ะ แต่ยังไงผมกับครอบครัวก็จะไปนะ’

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งรีบเช็คเบอร์ปลายทางทันที ก่อนจะพบว่าตนพิมพ์เลขพลาดไปจริงๆ เสียด้วย เขาจึงอุทานพึมพำอย่างหงุดหงิดกับตัวเอง รีบพิมพ์ตอบไปอย่างรวดเร็ว

     

     

     

     

     

    ‘ขอโทษจริงๆ นะครับ ผมดูไม่ดีเอง คำเชิญนั่นผมส่งผิดนะครับ’

     

     

     

     

     

    บทสนทนาควรจบแค่ตรงนี้ แต่ปลายทางกลับยังตอบกลับมาอีก

     

     

     

     

     

    ‘พวกเราก็ยังจะไปอยู่ดีแหละ’

     

     

     

     

     

    บิลโบขมวดคิ้วและขยับจะเตรียมสบถฟึดฟัดแล้ว คิดว่าตนควรจะโทรไปคุยกับเจ้ามนุษย์ปลายสายนี่ให้รู้เรื่อง…แต่ก็เป็นนาทีนั้นพอดีที่พริมุล่าก้าวออกมาจากห้องลองในชุดแต่งงานอีกชุดที่เธอเลือกเผื่อไว้ และเพราะเขาต้องหันไปสนใจกับรายละเอียดของจีบผ้า ริบบิ้น และลูกไม้มากมายหลายลาย…ทำให้สุดท้าย บิลโบก็ลืมบทสนทนาทางข้อความอันพิลึกพิลั่นนี้ไปเสียสนิท

     

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    “แกแน่ใจเหรอว่าเรารู้จักคนพวกนี้น่ะ??”

     

     

     

     

     

    ธอริน โอเคนชีลด์ถามหลานชายคนเล็กอย่างจับผิดเป็นรอบที่สิบกว่าๆ ตอนที่ก้าวมาถึงหน้าโบสถ์…เพราะเขาค่อนข้างมั่นใจตั้งแต่นาทีแรกที่ได้ฟังแล้วว่าตนไม่เคยมีญาตินามสกุลทุคหรือแบ็กกินส์เลย แต่คิลีก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ามีคำเชิญไปงานแต่งงานมาจากสองตระกูลที่ว่านี่จริงๆ

     

     

     

     

     

    “แล้วผมก็บอกเขาไปแล้วด้วยว่าเราจะไป” หลานชายแจกแจง “เราจะเบี้ยวได้ไงล่ะฮะลุงธอริน เจ้าบ่าวเจ้าสาวเสียใจตายเลย”

     

     

     

     

     

    ธอรินไม่ค่อยอยากจะเชื่อใจรอยยิ้มกริ่มของไอ้ลูกหมาตัวแสบของบ้านเลย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการไม่โผล่ไปงานมงคลทั้งๆ ที่ตกลงรับคำเชิญไปแล้วนั้นมันเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมากจริงๆ…นั่นจึงทำให้สุดท้าย เขาจึงวงวันที่ไว้บนปฏิทิน บอกน้องสาว หลานชายทั้งสอง และเพื่อนสนิทอย่างดวาลินว่าทุกคนจะต้องไปร่วมภารกิจงานแต่งงานในอาทิตย์หน้า แล้วก็จัดการไปเตรียมสูทสีน้ำเงินเข้ม ไทหูกระต่าย และเชิ้ตสีฟ้าอ่อนของตัวเองเอาไว้ให้เรียบร้อย

     

     

     

     

     

    “แน่สิฮะ ก็เขาเชิญพวกเรามาจริงๆ” คิลีกระซิบ หนุ่มน้อยดูหล่อเหลาด้วยชุดสูทสีน้ำเงินสด แต่ก็ยังดูน่ารักน่าหยิกด้วยรอยยิ้มกว้างจนแก้มแดง “รอแป็บนึงนะฮะ…ขอผมหาบัตรเชิญก่อน…”

     

     

     

     

     

    แต่แทนที่จะหยิบซองอะไรสักซองออกมาจากกระเป๋า สิ่งที่คิลีหยิบออกมากลับเป็นแค่โทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวเองเท่านั้น ธอรินใช้เวลาที่หลานชายเลื่อนหน้าจอง่วนในการหันไปมองครอบครัวของตน…ดีสผู้เกล้าผมสีดำสนิทของตัวเองเป็นมวยต่ำอยู่ในเดรสยาวสีม่วงคราม เธอกำลังใช้มือเกลี่ยๆ ให้เสื้อสูทของฟิลีหายยับ…เจ้าหลานชายคนโตของเขายังคงมาดสบายๆ แต่ก็หล่อกริบทุกองศาแม้จะสวมแค่สูทดำกับเชิ้ตขาวธรรมดา ส่วนดวาลินนั้นก็ทำให้ธอรินทึ่งจนเข้าขั้นอึ้ง…เพราะเขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเพื่อนซี้ไปขุดเนคไทไหมสีน้ำเงินเข้มทอลายดอกไม้สีแดงเลือดหมูเส้นนี้มาจากไหนเพื่อใส่คู่กับสูทเทาของเจ้าตัว

     

     

     

     

     

    แต่ให้ตายเถอะ…พวกเราดูจะคนกลุ่มเดียวในงานเลยว่ะที่ใส่สีเข้มกันมา… 

     

     

     

     

     

    “ขอบัตรเชิญด้วยครับ”

     

     

     

     

     

    ชายในสูทสีครีมที่ยืนอยู่ตรงประตูโบสถ์กล่าวอย่างเป็นมิตร แต่ก็แอบๆ มองธอรินและคณะด้วยสายตางงๆ ปนสงสัย ทำให้ชายหนุ่มแอบสบถในใจใส่ไอ้หลานชายคนเล็ก และก็สบถใส่ตัวเองด้วยอีกชุดโทษฐานที่บ้าพอจะเชื่อคิลี…ทุกคนในโบสถ์นั้นต่างก็เป็นกลุ่มคนตัวเล็กๆ ที่หน้าตาเป็นมิตรในชุดเสื้อผ้าสีสดใส จะอ้างทางพันธุกรรมหรือทางรสนิยมก็ได้ว่าไม่มีทางแน่นอนที่จะเกี่ยวดองกับผู้คนบ้านดูรินที่ทั้งตัวสูง หน้าตาคมกริบ และเลือกสวมชุดสีเข้มแบบจัดเต็มมาขนาดนี้

     

     

     

     

     

    ชายในสูทสีครีมกล่าวประโยคเดิมอย่างสุภาพ ทำให้คิลีรีบยกมือขอเวลาอีกนิดแล้วเลิกเลื่อนหน้าจอ…หนุ่มน้อยกดโทรออกหาใครสักคน แล้วก็เริ่มบทสนทนาเมื่อสัญญาณต่อถึงปลายสาย

     

     

     

     

     

    “บิลโบ แบ็กกินส์ ญาติของพริมุล่าใช่มั้ยฮะ? พวกผมมาถึงหน้างานแล้วล่ะ”

     

     

     

     

     

    แว่วเสียงอุทานและพูดรัวเร็วอย่างตกใจมาจากปลายสาย แต่คิลีดูจะไม่ทุกข์ไม่ร้อนเลย “ก็ผมบอกแล้วไงว่าพวกเราจะมาอยู่ดี…แต่นี่เราไม่มีบัตรเชิญเข้างานน่ะ”

     

     

     

     

     

    หนุ่มน้อยยืนใกล้ธอรินมากพอที่เขาจะได้ยินคนปลายสายบอกว่าตนจะไปเดี๋ยวนี้ แล้วในไม่กี่นาทีต่อมา…ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งคนหนึ่งก็เดินกึ่งวิ่งอย่างกระหืดกระหอบมาจากในโบสถ์ ดวงตาโตสีน้ำตาลเจือเขียวเข้มนั่นมีแววสิ้นหวังปนอยากจะร้องไห้ยามที่มองเห็นคณะบ้านดูริน

     

     

     

     

     

    “หวัดดีฮะบิลโบ แบ็กกินส์” คิลียิ้มกว้างให้ “…บอกแล้วใช่มั้ยว่าพวกผมจะมาจริงๆ”

     

     

     

     

     

    ธอรินมองอีกฝ่ายอยู่ห่างๆ อย่างเงียบๆ…มองปราดเดียวก็รู้ว่าบิลโบ แบ็กกินส์กำลังอยู่ถูกที่ถูกเวลาด้วยเสื้อสูทสีไวน์เข้ากันนักกับเสื้อกั๊กสีเขียวมะกอกและไทผ้าไหมสีเหลืองทอง และก็เพราะว่าเจ้าตัวเองนั้นก็เป็นชายหนุ่มตัวเล็กๆ ที่หน้าตาเป็นมิตรเหมือนคนอื่นๆ ในงานนี้

     

     

     

     

     

    จะต่างกันก็อยู่แค่นิดเดียว…ธอรินไม่ได้รู้สึกว่าใครในงานดูน่ารักดีอย่างที่รู้สึกกับบิลโบ แบ็กกินส์เลย

     

     

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    บิลโบ แบ็กกินส์เลือกไม่ถูกว่าจะร้องไห้หรือกระทืบเท้าโวยวายดีตอนที่เห็นกลุ่มคนแปลกหน้ายืนรอกันอยู่ตรงหน้าโบสถ์

     

     

     

     

     

    ความทรงจำเรื่องข้อความพิลึกพิลั่นเมื่อสัปดาห์ก่อนหวนกลับมาอย่างชัดเจนตอนที่มีเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามาหา…เขาแทบสบถออกมาเสียแล้วก่อนกดรับ บรรยากาศของวันแต่งงานที่ทุกสิ่งทุกอย่างต่างพร้อมใจกันผิดพลาดทำให้บิลโบรู้สึกอยากจะบ้าตายพอแล้ว…แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสวรรค์ยังคงมีอะไรแสบๆ เตรียมไว้รอเขาอยู่อีกเยอะ

     

                   

     

     

     

    บิลโบค่อนข้างมั่นใจว่าเด็กหนุ่มผมน้ำตาลคือคนเดียวที่รู้ว่าทั้งกลุ่มเป็นแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ…นั่นจึงทำให้เขาไม่อาจทำตัวเสียมารยาทได้ลง ชายหนุ่มเลยแค่หรี่ตามองเจ้าจอมยุ่งนั่นอย่างดุๆ แล้วก็เชิญให้ทุกคนเข้ามาในโบสถ์

                   

     

     

     

     

    “ไม่เป็นไรแฮมฟาสต์” เขาพูดกับเพื่อนบ้านผู้รับหน้าที่ตรวจบัตรเชิญพร้อมยิ้มให้ “นี่คือแขกของผมเองน่ะ ไม่ต้องดูบัตรเชิญหรอก”

                   

     

     

     

     

    แต่ก็นับว่ากลุ่มแขกแปลกหน้ากลุ่มนี้มาช่วยสถานการณ์ได้ไม่มากก็น้อย เพราะทีแรกนั้น…บิลโบจะต้องนั่งม้านั่งแถวเดียวกับบ้านแซควิลล์-แบ็กกินส์ แต่พอมีเรื่องวุ่นวายแบบนี้เกิดขึ้น…เขาก็เลยมีข้ออ้างในการย้ายทั้งตระกูลนั่นให้ไปนั่งแถวหลังสุด แล้วผายมือบอกให้เหล่าผู้คนหน้าตาคมกริบพวกนี้นั่งลงข้างตนแทน

                   

     

     

     

     

    การจัดการนี้ถูกใช้อีกครั้งตอนที่พวกเขาย้ายมาสู่งานเลี้ยงตรงสนามหญ้าหลังบ้านพริมุล่า เพราะบิลโบรู้ดีว่าตนต้องเป็นคนรับผิดชอบความผิดพลาดนี้…และเขาก็รู้สึกว่าการเผชิญกับกลุ่มคนแปลกหน้าหน้าดุก็ยังดีกว่าต้องมาทนฟังยัยโลเบเลียโม้สารพัดเรื่องของตัวเอง

                   

     

     

     

     

    บิลโบเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบของโต๊ะลงเมื่อสุนทรพจน์ของเจ้าบ่าวเจ้าสาวและผู้ใหญ่ในงานจบลง ตอนนี้บรรยากาศของงานเลี้ยงเริ่มถูกโอบคลุมด้วยบทสนทนาและเสียงช้อนส้อมกระทบจานแล้ว

     

     

     

     

     

    “เอ่อ…สวัสดีครับ…” แล้วก็ตระหนักได้เอาในนาทีนั้นว่าตนไม่รู้ชื่อใครสักคนเลย “เอ่อ…”

     

     

     

     

     

    “สวัสดีค่ะ ฉันดีสนะคะ” หญิงผมดำในเดรสสีม่วงครามสวยสง่าเข้าใจสถานการณ์ทันที เธอเริ่มแนะนำทุกคนในโต๊ะเรียงไปเรื่อยๆ “สองคนนั้นนั่นลูกๆ ของฉันเองค่ะ…ฟิลีกับคิลี” หนุ่มน้อยผมทองและผมน้ำตาลโบกมือพร้อมยิ้มกว้างให้บิลโบมาจากอีกด้านโต๊ะ “แล้วนั่นดวาลินค่ะ เป็นญาติของพวกเรา” หนุ่มตัวโตหน้าดุส่งเสียงฮื่อสั้นๆ เป็นการตอบรับ ความน่ากลัวที่ไม่มากอย่างที่ควรด้วยเนคไทสีบาดใจนั่น

     

     

     

     

     

    “ส่วนนี่คือธอรินค่ะ” ดีสพยักเพยิดไปทางสมาชิกคนสุดท้ายของโต๊ะที่นั่งอยู่ข้างบิลโบ “พี่ชายฉันเอง”

     

     

     

     

     

    นี่เป็นครั้งแรกที่บิลโบได้มีโอกาสมองคนข้างตัวดีๆ อย่างที่อยากทำตั้งแต่แรก…ธอรินเป็นชายตัวสูงที่มีเส้นผมสีดำตัดสั้นกับหน้าตาหล่อคมคาย สีหน้าเรียบนิ่งจนเข้าขั้นดุนั้นยิ่งถูกเน้นชัดเจนด้วยหนวดเคราครึ้มๆ นั่น…ดวงตาสีฟ้าอมเทาอาจดูเย็นชา แต่ทำไมก็ไม่รู้…บิลโบกลับจินตนาการภาพมันทอดแววอ่อนโยนได้อย่างไม่ยากเย็น และนั่นเองที่ทำให้เขายิ้มละไมออกมา

     

     

     

     

     

    หลังจากนั้น คิลีก็ยอมสารภาพว่าตนแค่อยากเข้าร่วมงานแต่งงานสักงานเลยโมเมจนพาตัวเองและทุกคนมาจนถึงจุดนี้…คำสารภาพที่ทำให้ดีสหยิกแก้มกลมๆ สีแดงของหนุ่มน้อยจนเจ้าตัวร้องโอดโอยแล้วกล่าวขอโทษบิลโบ แต่เขาก็ตอบไปว่าไม่เป็นไรพร้อมเสียงหัวเราะ…เพราะแค่จากเวลานิดเดียวที่ได้เห็น บิลโบก็เอ็นดูทั้งฟิลีและคิลีไปแล้วเรียบร้อย สองหนุ่มดูเป็นตัวป่วนในชุดสูทที่หล่อน่าหยิกทั้งคู่ ยากนักที่จะถือโกรธได้นานๆ

     

     

     

     

     

    และมื้ออาหารระหว่างนั้นก็เป็นการพูดคุยสัพเพเหระทั่วๆ ไป…บิลโบบอกเมื่อถูกถามว่าตนเป็นนักวาดรูปผู้รับงานอิสระ และก็ได้รู้ว่าดีสคือศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ ฟิลีกับคิลีกำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ส่วนดวาลินนั้นเป็นนักเขียนผู้เซ็นสัญญาอยู่กับสำนักพิมพ์ที่ธอรินเป็นเจ้าของ

     

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้เมื่อของหวานและแชมเปญเริ่มถูกเสิร์ฟพร้อมกับที่เพลงป็อปจังหวะร่าเริงดังจากลำโพง…ดีสก็ได้ถูกแฮมฟาสต์พาตัวไปนั่งที่โต๊ะบ้านแกมจีเพื่อคุยเรื่องต้นไม้ใบหญ้าอย่างออกรส ส่วนฟิลีกับคิลีก็โดดลงฟลอร์ไปโชว์ฝีมือโยนจานช้อนส้อมไปมาโดยไม่พลาดให้สาวๆ ได้กรี๊ดกันสนุกสนาน ดวาลินยังคงนั่งจิบแชมเปญอยู่ที่โต๊ะจนกระทั่งตอนที่มีเสียงเล็กๆ ดังขึ้นจากข้างๆ เก้าอี้

     

     

     

     

     

    “คุณลุงคะ” คนพูดคือเด็กหญิงที่ดูตัวเล็กจิ๋วไปถนัดใจเมื่อเทียบกับดวาลิน ผมหลอดสีน้ำตาลอ่อนติดโบว์สีชมพูอ่อนเหมือนสีกระโปรง สาวน้อยต้องแหงนหน้าจนสุดเลยเพื่อให้ตาโตสีฟ้ามองสบกับอีกฝ่ายได้ “มาเต้นรำกับหนูได้มั้ยคะ?”

     

     

     

     

     

    ดวาลินมีสีหน้ายุ่งๆ…แต่บิลโบก็แอบอมยิ้ม เขารู้ดีว่าไม่มีใครปฏิเสธคำขอร้องของหนูน้อยเอมิเลียได้หรอก

     

     

     

     

     

    แล้วเมื่อร่างใหญ่ยักษ์ของดวาลินจูงมือสาวน้อยไปทางฟลอร์เต้นรำ…ก็ไม่มีใครอยู่ที่โต๊ะอีกนอกจากบิลโบกับธอริน ความเงียบทิ้งตัว…แต่ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งก็คิดไม่ตกว่าจะชวนคุยดีไหม เพราะตลอดมื้ออาหารที่ผ่านมา ธอรินมักจะเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด และดูจะชอบใจมากกว่าที่ตัวเองได้นั่งเงียบๆ

     

     

     

     

     

    เลยทำให้บิลโบประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเริ่มบทสนทนา

     

     

     

     

     

    “ต้องขอโทษด้วยนะ…เรื่องวันนี้น่ะ” ธอรินเอ่ยเรียบๆ แต่ก็ถอนหายใจในประโยคหลัง “หลานชายฉันมันงี่เง่า”

     

     

     

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอก” บิลโบส่ายหน้าพร้อมยิ้มให้ พยักเพยิดไปทางสองหนุ่มที่ตอนนี้กำลังตีลังกาโยนจานให้กันไปกันมาอยู่ “มาแล้วก็ทำให้งานคึกคักดี…ฉันอาจจะต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่พวกนายมากันนะ”

     

     

     

     

     

    ธอรินหัวเราะเบาๆ ออกมา เป็นชั่วนาทีสั้นๆ ที่ทำให้บิลโบอุ่นวาบไปทั้งตัวเหมือนได้จิบช็อกโกแล็ตร้อน

     

     

     

     

     

    พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันอีกมากนักเพราะหลังจากนั้นบิลโบก็ถูกตามตัวไปจากโต๊ะ…ในฐานะญาติคนสนิทและบุคคลที่ช่วยประสานงานหลายๆ อย่าง ทั้งเจ้าสาว เพื่อนเจ้าสาว และหลายๆ คนต่างก็ต้องการจะขอบคุณและเต้นรำกับเขา ซึ่งบิลโบก็ร่วมบทสนทนาอย่างถ่อมตัวและก็ตอบรับทุกคำชวน รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่มองภาพพริมุล่ากับเจ้าบ่าวของเธอ

     

     

     

     

     

    แต่งานเลี้ยงที่สนุกสวยงามเพียงใดก็ต้องเลิกรา…ผู้คนเริ่มทยอยกันแวะเวียนมากล่าวลาพร้อมอวยพรส่งท้ายให้คู่บ่าวสาว บิลโบเลยตัดสินใจว่าตนจะรออีกสักหน่อยแล้วค่อยเข้าไปบ้าง เพราะเขาก็กะว่าจะรอจนครอบครัวดูรินบอกว่าจะกลับก่อนแล้วจึงค่อยไปกล่าวลาบ้างอยู่แล้ว

     

     

     

     

     

    ที่ฟลอร์เต้นรำแทบจะไม่เหลือคนแล้วตอนที่บิลโบเดินเข้าไปเล่นๆ…แต่เพลงก็ยังคงบรรเลงอยู่ พริมุล่าชอบเพลงของเหล่าวงอินดี้เป็นชีวิตจิตใจ…นั่นจึงทำให้เธอเป็นคนคัดรายชื่อเพลงที่จะใช้เปิดเองทั้งหมด ซึ่งบิลโบก็ไม่ได้รู้จักทุกเพลงหรอก…แต่เขาก็คิดว่ามันร่าเริงและเหมาะกับบรรยากาศงานอันอบอุ่นสดใสแบบนี้นัก

     

     

     

     

     

    เป็นอะไรที่แค่ฟังก็ชวนให้อยากขยับปลายเท้าจริงๆ นะ… 

     

     

     

     

     

    รู้ตัวอีกที บิลโบก็ฮัมเพลงตามแบบตกๆ หล่นๆ แล้วโยกๆ ตัวไปมาเสียแล้ว…เขาจึงสะดุ้งโหยงและหน้าร้อนวาบอย่างอายจัดตอนที่มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากข้างตัว

     

     

     

     

     

    “นายรู้จักเพลงนี้ด้วยเหรอ?” ธอรินเอ่ยถาม เขาไม่ใช่คนชอบฟังเพลงมากมายอะไร แต่ก็รู้สึกได้ว่าเพลงทุกเพลงในงานนี้นั้นแปลกแต่เพราะหมดทั้งสิ้น

     

     

     

     

     

    “อะ อ๋อ…ไม่หรอก” บิลโบส่ายหน้า น้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยอย่างคนไม่ได้ตั้งตัว แต่สุดท้าย สีหน้าตื่นๆ นั่นก็แปรเปลี่ยนรอยยิ้มน้อยๆ…แก้มยังคงแดงอยู่ “แต่มันเป็นเพลงที่ดีนะว่าไหม…แค่ฟังก็อยากจะเต้นตามแล้ว…”

     

     

     

     

     

    คงเพราะรู้แล้วว่าตัวเองโดนเห็นไปแล้ว ชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้งจึงไม่เขินแล้วที่จะโยกๆ ตัวเป็นจังหวะต่อหน้าเขา…กางแขนออกนิดๆ เพื่อขยับไปมาตามจังหวะเพลง ธอรินไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะตนยื่นมือออกไปหรือเพราะอีกฝ่ายยื่นมือเข้ามาหา…แต่เมื่อรู้ตัวอีกที เขาก็กำลังกุมมือและโอบเอวของบิลโบไว้แล้วก็ขยับตัวไปตามเสียงเพลงเสียแล้ว

     

     

     

     

     

    ไม่มีการพูดคุยกัน…ความเงียบเลยทำให้ธอรินได้สังเกตอย่างชัดเจน เขาคิดๆ มาตั้งแต่ตอนถ่ายรูปรวมตรงหน้าโบสถ์แล้วว่าบิลโบ แบ็กกินส์ตัวเล็กกว่าตนมากจริงๆ…แต่ตอนนั้นก็ยังยืนยันอะไรไม่ได้เพราะพวกเขายืนกันอยู่บนขั้นบันได หากในนาทีนี้…ตอนที่ได้โอบร่างของอีกฝ่ายไว้ชิดในวงแขน ธอรินก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าส่วนสูงของพวกเขาต่างกันในระดับที่ตัวเองสามารถวางคางลงบนเรือนผมสีน้ำผึ้งอ่อนนุ่มนี่ได้อย่างสบายๆ ถ้ากอดอีกฝ่าย

     

     

     

     

     

    เฮ้ๆ…คิดอะไรน่ะ… 

             แต่ก็ไม่ใช่แค่ธอรินคนเดียวที่มีความคิดตลกๆ ไร้เหตุผลเช่นนี้…เพราะระหว่างที่ขยับตัวไปตามจังหวะในวงแขนของอีกฝ่าย บิลโบเองก็คิดขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลเหมือนกันว่าถ้าเพลงเพลงนี้ไม่มีวันจบก็คงจะดี                  tbc.
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in