เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แรมต่ำThanyapat Peungkham
ไต้หวันไปคนเดียว(ทำไม)

  •           ทริปนี้เป็นทริปที่หลังจากพวกเราเพิ่งเรียนจบปอโทมาหมาดๆ ความรู้ยังครุกกรุ่นอยู่ในเส้นเลือด เราก็เริ่มออกเดินทางโดยเลือกไต้หวันเป็นเป้าหมายเพื่อเฉลิมฉลองให้กับความเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องราวที่ผ่านมา แต่ใครจะรู้ ว่าเราจะไปเจอเรื่องที่เหนื่อยมากกว่า.... 

             การนัดเพื่อ 10 คนไปต่างประเทศสำหรับบางกลุ่มเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับกลุ่มนี้พอแค่ชวนทุกคนก็ตกลงกันอย่างฉับไว ไม่ต้องให้ถึงขั้นหงายการ์ด ดราม่าบิ้วอารมณ์เพื่อนว่าเป็นทริปครั้งสุดท้ายแห่งการจากลาแต่อย่างไร สุดท้ายก็เกิดเป็นทริปที่ไปเที่ยวกับเพื่อนสนิทคิดซื่อๆ อยู่ด้วยกันตลอด 5 วัน 4 คืน แม้แต่ตอนนอนยังนอนรวมกัน ราวกับเป็นอวัยะที่ 33 ของร่างกาย...



              ด้วยความกังวลและความพร้อมมาก  วันออกเดินเราจึงนัดกันเดินทางไปสนามบินก่อนเวลาหลายชั่วโมง เพื่อไปนั่งรอเวลาเครื่องออกตามที่สายการบิน Nok Scoot แจ้งว่า จะบินตอนเวลา 02.00 น.  แต่เมื่อเวลานัดหมายใกล้มาถึง ข่าวที่เราได้รับรู้ก็คือไฟล์ทโดนเลื่อนออกเป็นขึ้นเครื่องตอนตีสาม

    .....ได้แต่อุทาน(ในใจ)ว่า เอาแล้ววว มันเล่นพวกเราแล้วไง

    ....
    ไม่ได้เตรียมใจไว้เลยวะ
    ....


    ขณะที่เรานั่งรอเวลา เพื่อนบางคนทนไม่ไหวก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเบาะที่สนามบินไป

    นอกจากนั่งมองเพื่อน(นั่ง)หลับอย่างสงบ และรู้สึกดีใจไปกับเพื่อนที่หลับได้ท่ามความวุ่นวายของทั้งเสียงทีวี และเสียงประกาศของสนามบิน เสียงเพื่อนตะโกนคุยกันไปมา แต่แม่งหลับได้ นับถือใจ



    วันแรกก็เหมือนมาเข้าค่ายแล้วครับผม

    ......

    • ศิลปะอยู่รอบตัว


         ทันทีที่ถึงไต้หวัน สัมผัสแรกที่รับรู้คือ ศิลปะอยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าะจะไปไหน ก็รู้สึกได้ถึงศิลปะอุ่นๆ ตามไปกับเราทุกที่ อาจจะเพราะ ไต้หวันไม่ได้มีวัฒนธรรมของตัวเอง เขาเลยพยายามจะสร้างศิลปะให้เป็นเอกลักษณ์ของเขา เพราะเขาคงเชื่อเหมือนกับอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่บอกไว้ว่า “ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น” และคงอยากสร้างอะไรที่ยั่งยืนให้อยู่กับคนไต้หวันตลอดไปบ้าง ซึ่งมันก็คงเป็นจริงแบบที่อาจารย์แกพูด 

    • ทำอะไรจืดๆเค็มๆคือ ไต้หวันแท้


           "ให้เลือกผักก่อน 4 อย่าง และเลือกเนื้อสัตว์ได้อีก 1 อย่าง" นี่คือสิ่งที่เราแปลได้ หลังจากยืนทำภาษากายอยู่นาน อาหารมื้อแรกที่ไต้หวัน เราเลือกเข้าร้านที่เป็นเหมือนร้านข้าวราดแกง เพราะดูทรงจากอาหารที่โชว์ตระหง่าหน้าร้านแล้วน่าจะเป็นของคนท้องถิ่น ซึ่งการที่มาเที่ยวไต้หวันทั้งที เราต้องมากินอาหารที่ได้เรียนรู้วิถีชีวิตเขา ไม่ใช่กินตามรีวิวแล้วเจอแต่คนไทย! (ในแววตามีความมุ่งมั่นอยู่ในระดับหนึ่ง) ด้วยอุดมการณ์ดังกล่าว เราเลยดุ่มๆเข้าไปที่ร้านอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก อีกทั้งอาหารที่โชว์อยู่หน้าร้านก็เย้ายวนใจเหลือเกิน แต่เราก็เจออุปสรรคในการเลือกอาหาร นั่นก็คือ ภาษา!!  
             ใจก็อยากจะถามว่าที่อยู่ในถาด มันคืออะไรบ้าง แต่จุดนั้น ฟังภาษาจีนก็ไม่ออก และถ้าจะเลือกอาหารแปลกๆไม่มีในไทย  ก็กลัวจะเอาชีวิตไม่รอด เอาวะ!! อุดมการณ์แม่งกินไม่ได้ เทมันทิ้งหน้าร้านเนี้ยแหละ จากนั้นก็ชี้เมนูที่คิดว่ากินง่ายที่สุดมา  แม่ค้าก็รีบขายเหลือกเกิน ยังชี้ไม่ทันถูกถาดเลย ก็รีบตักให้อย่างว่องไว  สุดท้ายอาหารก็มาอยู่อย่างแออัดบนจานของเราในราคาเป็นมิตรกับผู้ซื้อ …ดูเผินๆเหมือนอาหารใส่บาตร มีความปนเปอยู่ในระดับหนึ่ง ตอนนั้นในหัวรู้สึกว่าเหมือนอาหารพระ สงสัยตอนนั้นได้คะแนนแกตความเชื่อมโยงทะลุ 300 
            


    • ไต้หวันขึ้นชื่อลือชา(นม)

                 

                       นี่ไม่ใช่เรื่องราวดราม่าเรียกน้ำลายแต่อย่างไร แต่เราไปไต้หวันทั้งที เราก็ได้พิชิตชานมไข่มุกที่เขาเล่าลือว่ามันอร่อยจริงมาแล้ว ซึ่งพอน้ำชาคำแรกเข้าปาก ก็รับรู้รสชาติได้เลยว่ามันไม่เหมือนชานมหวานหอมที่บ้านเราเคยกิน แต่จงตัดคำว่า หวาน ออกไป และหลงเหลือคำว่าหอมอยู่ นั่นแหละชาไต้หวัน

            แต่มันก็ไม่ได้หอมจนประทับใจไม่รู้ลืมขนาดนั้น ถือได้ว่าอยู่ในเกณ์ท๊อปฟอร์ม คือชิมแล้วก็เออ ไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้ต้องอยากมาซ้ำ 

            ที่น่าแปลกใจคือ อ้าว ราคาชานมใกล้เคียงราคาน้ำเปล่า ตอนหยิบน้ำหน้าตู้ก็ชะงักแบบนึง ใครแม่งให้ตั้งกลยุทธ์แบบนี้กัน หลังจากใช้ตรรกะที่หลงเหลืออันน้อยนิด ประมวลผลแล้ว แม่งงง ก็ต้องซื้อชานมดีกว่าสิวะ เพราะแบบนี้แหละ ต่อให้เราเดินเยอะจนแทบอยากจะคลานลงพื้น น้ำหนักก็ไม่มีทางลด ไม่กระดิกเพียงเสี้ยวเข็ม เหตุมันมาจากชานมไข่มุก แหล่งแคลอรี่ ให้พลังงานชั้นดี ทริปนี้ไม่โกงกัน ไม่ขาดทุนเรื่องน้ำหนักแน่นอน


    • วันที่ "รถไฟ" เคลื่อนไหว

           
          วันที่รถไฟเคลื่อนไหว..."อย่าหลับ" เพราะรถไฟความเร็วสูงของไต้หวัน นี่มัน "เร็วแบบไม่ให้โอกาสเราแก้ตัวเลยด้วยซ้ำ" แค่เลยหนึ่งป้าย ก็พาจากที่เราจะลงภาคกลางก็ไปภาคใต้ได้เลย ซึ่งเราก็ได้สัมผัสประสบการณ์แบบนั้นมาแล้ว จากการที่เผลอหลับทำให้เราเลยไปที่เมือง เกาสฺยง ตอนใต้ของไต้หวัน  ตอนนี้กลับไปโม้ให้เพื่อนฟังได้แล้ว ว่าเราไปทั่วประเทศไต้หวันมาแล้ว ...โคตรเฟี้ยว


    • สูงวัยในวิถีออร์แกนิก

     

         “ถ้าเราแก่ไป เราอยากอยู่ที่นี่” เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่สงบและออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุอย่างแท้จริง บ้านเมืองที่ไม่มีควันมลพิษ ไม่ต้องฟังเสียงดังของท่อรถยนต์ ชีวิตเรียบง่าย และอยู่กับธรรมชาติ บรรยากาศที่ไต้หวันทำให้เรารู้ัจักคำว่า "เร็วไม่ว่า ช้าให้เป็น" เราแอบคิดว่าคนในบ้านเมืองเขาคงได้เติบโตมาแบบรูปแบบวิถีออร์แกนิก และสามารถ"มีอายุหมื่นปี หมื่นๆปี" ยิ่งกว่าฮ่องเต้ในหนังได้ไม่ยาก   ประเทศนี้ถ้าจะมาแบบฉาบฉวยคงไม่ได้ เพราะหากใครอยากมาเที่ยวแบบตื่นตาตื่นใจ แค่กดเลือกประเทศไต้หวันก็มาผิดทางแล้ว แต่ถ้าหากมาเพื่อเสพธรรมชาติ เสพความสงบ ไต้หวันคงไม่ทำให้ใครเสียใจ และทำหน้าที่ของมันได้ดีซะด้วย ถ้าอยากไปเสพธรรมชาติ แค่ซื้อตั๋วไปนั่งโง่ๆ หายใจทิ้งที่สวนสาธารณะไต้หวันก็คุ้มแล้ว


    • จีนแลนด์ แเดนมหัศจรรย์


            ถึงแม้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ร้านค้าส่วนใหญ่ก็ยังใช้ "ภาษาจีน" ได้แบบไม่แคร์จิตใจนักท่องเที่ยวแม้แต่น้อย ทุกคนพูดเชียร์สินค้ากับเราเป็น "ภาษาจีนกลาง" ต่อให้เราทำหน้างงๆใส่ เขาก็ยังพ่นภาษาจีนแบบต่อเนื่อง ....."เฮ้ย ภาษาจีนไม่ใช้ภาษากลางที่นักท่องเที่ยวต้องรู้นะเว้ย" ประโยคที่เราตะโกนใส่แม่ค้า (อยู่ในใจ)

              แต่ประทับใจคำว่า "ขอบคุณ" ในภาษาจีนที่ออกเสียงว่า "เซี่ยะ เซี่ยะ" ....รักใครก็ให้พูด "เซี่ยะ         เซี่ยะ" แบบละมุน  แต่ถ้ารักใครมากกก (กัดฟัน) "เชี่ย เชี่ย" ก็จะหนักแน่นรุนแรงกันหน่อยๆ คนจีนคงไม่รู้สึกอะไร แต่คนไทยแบบเรา สนุกกับเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ก็เอา


    • เรารู้จักกันผ่าน'แผ่นเสียง'

           
             เคยมีกระทู้ในพันทิพย์กระทู้นึงบอกว่า "อยากรู้จักนิสัยใครสักคน ให้ดูประเภทหนังสือที่เขาอ่าน เพลงที่เขาฟัง หนังที่เขาดู" บางทีการมาใช้ชีวิตไต้หวัน เที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่ Pantip แนะนำ ไม่ได้แปลว่าเราจะเข้าใจและรู้จักตัวตนของประเทศไต้หวันจริงๆ  ที่จริงร้านซีดี และร้านหนังสือ เราเข้าไปดูแบบฉาบฉวยมาก ดูไม่ต่างจากบ้านเรา แต่ด้วยกำแพงภาษาเราทำได้แค่เสพฟิลลิ่งหนังจากหน้าปก เราเลยได้แต่ฝากคนที่มีโอกาสจะไปเที่ยว และอยากกลับมาเรียนรู้วิถีของไต้หวันได้อีกทาง ลองเลือกหนังท้องถิ่นของเขากลับมาสักเรื่อง ให้สิ่งที่จะได้เรียนรู้ต่อจากนั้น คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ...หนังพาไป

    • ที่ใดมีด้ายแดง ที่นั่นมีรัก


            เชื่อหรือไม่ เพื่อนที่ไปเที่ยวกัน 10 คน มีเพียง 1/10 ที่มีแฟน ที่เหลือ...โสด.. ใช่แล้ว พวกเราคือบุคลากรในแก๊งค์ "โสดไปไหนก็ได้" แน่นอนว่าเราจะไม่โสดอย่างเดียว  แต่เรายังมีความหวังว่าสักวันเราจะไม่โสดอีกต่อไปด้วย เพราะฉะนั้นเราเลยต้องหงายไพ่ใบสุดท้าย คือเดินทางไปขอคู่ที่วัด "วัดหลงซานไทเป" เพื่อขอคู่!! จุดขายของที่นี่ คือ สามารถบอกความต้องความต้องการ สเปคชายหญิงที่เราใฝ่ฝันเอาไว้ให้กับท่านเทพด้วยนะเออ และนำด้ายแดงติดกระเป๋าไว้จะได้พบเนื้อคู่ที่หมายปอง เชรดดด แอฟหาคู่ถึงขั้นอวสารก็คราวนี้


    • มันย่าง ห้าดาว

        
           จังหวะชีวิตที่โคตรรู้สึกดี คือช่วงเวลาที่ยืนแทะมันเผาอยู่หน้าร้านซูเปอร์มาร์เก็ตเนี้ยแหละ เพราะที่ไต้หวัน เรามักจะเห็นในร้านเซเว่นมีโซนขายมันเผา ที่พนักงานเซเว่นต้องคอยมาเติมมันเผาอยู่เรื่อยๆ ที่สำคัญราคายังน่าคบ แถมความอร่อยเหนือราคาอีกด้วย ขณะยืนบิดมันเผาก็จิตนการถึงภาพเซเว่นเมืองไทย ถ้ามีโซนขายมันเผาแบบนี้ก็คงจะดีไม่น้อย 


                                                           ทุกวันคือวันวิ่ง 4x100 ของเรา


    Please Put Down Your Phone                  

      นาทีที่เราเห็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติของไต้หวัน ภาพตรงหน้ามันบังคับให้เราต้องวางมือถือ และดูภาพตรงหน้าจริงๆ ประกอบกับวันที่ไปเราเจอกับฝนตก แต่เรากลับรู้สึกโชคดีที่เห็นธรรมชาติแบบนี้พร้อมกับเห็นเม็ดฝน บรรยากาศเย็นสบาย แม่งโคตรโรแมนติกด้วยเม็ดฝนตกเลยวะ

               
         สุดท้ายแล้ว โคตรรรรรรขอบคุณทุกคนเลย เป็นทริปที่โคตรลงตัว เรามีทั้งฝ่ายพยาบาล ฝ่ายคุมการเงิน ฝ่ายแปลภาษา ฝ่ายไกด์นำเที่ยว ฝ่ายถ่ายรูป ทุกคนมีความเก่งแต่ละด้าน เราชอบความลงตัวของพวก ส่วนเรา ถึงแม้เราจะทำตัวเป็นแพลงต้อน ลอยไปลอยมาแบบไร้ประโยชน์ แต่ทุกคนก็ประครองเรามาได้จนจบทริป 555  เป็นหนึ่งทริปที่ประทับใจมากของชีวิต ..... ไต้หวัน ไปคนเดียว (ทำไม)

    ขอบคุณทุกความทรงจำ.







Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in