Chapter 3 : September
Beginning of friendships
ที่โรงเรียนก็เริ่มเหมือนเดิมทุกวัน ฉันเข้าเรียน ทำงานที่ครูสั่งในคาบ คุยกับเพื่อนแต่ละคลาส เดินเปลี่ยนวิชาทุกชั่วโมง ไปพักเที่ยงกับโนล่าและอีธาน เข้าเรียนอีก เจอลอร่ากับเฮลลี่ตอนเรียนคอรัส ฉันเริ่มจำชื่อคนได้มากขึ้นและมีเพื่อนใหม่มากขึ้นด้วย มันมักเริ่มจะการที่ฉันไปทักพวกเขาก่อนเช่นการชมโน่นชมนี่ที่เขาใส่ การมาอยู่ที่นี่ทำให้ฉันฝึกความการแสดงออกมากขึ้น ฉันเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนกล้าแสดงออกบ้างแล้วนะ แต่พอมาอยู่ที่นี่แล้วฉันได้รู้ว่าเมื่อเทียบกับคนอเมริกาหรือเพื่อนแลกเปลี่ยนคนอื่นๆที่กล้าจะพูดอะไรตรงๆ กล้าเล่นใหญ่ตลอดเวลาแล้ว ฉันเป็นคนขี้อายสุดๆไปเลย มีบางครั้งที่ฉันท้อเหมือนกัน ฉันเคยส่งข้อความไปคุยกับเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันบ้าง นักเรียนแลกเปลี่ยนจากไทยบางคนก็มีปัญหาในการหาเพื่อนหรือหาเรื่องคุยกับคนในคลาส การมาแลกเปลี่ยนคนเดียวแบบนี้ทำให้ฉันต้องฝึกเข้าสังคม ฝึกการสนทนาภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่แค่ไว้ฝึกแต่ไว้สื่อสาร ถึงจะเขินหรืออะไรก็ตามก็ต้องพยายามที่สุดไม่งั้นก็คงต้องอยู่คนเดียวเหงาๆไปทั้งปี เสียดายตายเลย จริงๆต้องขอบคุณเพื่อนๆแลกเปลี่ยนตอนนั้นมากที่ให้กำลังใจจนฉันกล้าคุยกับคนอื่นมากขึ้น
เพื่อนคนแรกที่ชวนฉันไปเที่ยวบ้านคือลอร่า ตอนแรกฉันประหลาดใจแต่ก็ดีใจมาก ที่ไทยฉันเรียนในเมืองเพื่อนแต่ละคนก็บ้านไกลกันมากแทบไม่เคยไปเที่ยวบ้านกัน แต่ด้วยความที่ที่นี่ทุกคนอยู่ในเมืองเล็กๆการไปหาเพื่อนที่บ้านจึงเป็นเรื่องธรรมดา ฉันก็ตอบตกลงไป แล้วเราจะนัดกันอีกที ลอร่าเป็นผู้หญิงตัวสูงที่ขี้อายพอๆกับฉัน เราชอบแมวและชอบการอ่านหนังสือเหมือนกันเลยเข้ากันได้ การเป็นเพื่อนกับลอร่าก็ทำให้ฉันรู้จักเพื่อนในคาบคอรัสที่สนิทกับเธอคนอื่นๆอีกด้วย ตอนนั้นฉันยังไม่รู้หรอกว่าเพื่อนกลุ่มนี้จะกลายมาเป็นเพื่อนที่ฉันสนิทและรักที่สุดในปีนี้เลย
นอกจากเพื่อนที่โรงเรียนฉันก็ได้เจอเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศต่างๆ ฉันได้แวะไปเยี่ยมลูคัสหนุ่มอิตาลีที่มีลิเอซองเป็นโฮสต์มัมของฉันเอง (Liaison คือคนที่คอยติดต่อดูแลนักเรียนแลกเปลี่ยนอีกคนที่ไม่ใช่โฮสต์ ถ้านักเรียนมีปัญหากับโฮสต์ก็มักคุยผ่าน liaison ก่อนเพื่อกันการทะเลาะกัน) ฉันเองก็มีลิเอซองชื่อ เทรซี่ เป็นลิเอซองเดียวกับไมค์ก้าจากเยอรมันนี แต่ฉันไม่ค่อยมีปัญหาอะไรจึงแทบไม่ได้ติดต่อกันเลย ในวันนั้นโฮสต์มัมของฉันขับรถไปบ้านโฮสต์ของลูคัสเพื่อดูความเรียบร้อย พวกเขาสบายดีและลูคัสดูสนิทกับโฮสต์มาก ที่โรงเรียนเขาก็ได้เข้าทีมฟุตบอลเรียบร้อยแล้ว ฉันรู้สึกอิจฉาเขานิดๆที่ดูชีวิตดี เขาเล่าให้ฉันฟังด้วยว่าเพื่อนเขาเป็นคนขับรถไปรับส่งเองจากบ้าน เพื่อนฉันยังไม่มีคนขับรถเป็นเลย น่าจะเป็นเพราะฉันเลือกเรียน Sophomore (มัธยมศึกษาปีที่ 4) แต่ลูคัสเลือกเรียน Senior (มัธยมศึกษาปีที่ 6) เลย ตอนเลือกเรียนฉันก็กลัวว่ามันจะเรียนยาก แต่เอาเถอะ ถือเป็นปีที่ฉันไม่ต้องเครียดเรื่องเรียนเลยปีนึง
ฉันได้เจอนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นที่การปฐมนิเทศที่จะมีประมาณทุกเดือน แต่นอกจากนั้นก็มีนัดเจอกันบ้างถ้าบ้านอยู่ใกล้กันพอ ตอนนั้นโบสถ์ของฉันจัดกิจกรรมพาเด็กๆไปสวนสนุกใกล้ๆ ฉันจึงชวนคาร่าที่บ้านอยู่ใกล้ ฉันเป็นคนกลัวความสูงและอะไรเร็วๆจึงเล่นสวนสนุกไม่เต็มที่เท่าไหร่ แต่มันก็เป็นโอกาสให้ฉันได้สนิทกับคาร่ามากขึ้นและออกไปทำอะไรใหม่ๆ ตอนแรกๆการชวนเพื่อนออกไปเที่ยวด้วยกันหรือแค่ชวนคุยบางเรื่องยังยากมากสำหรับฉันแต่ฉันก็พยายามกดความรู้สึกกลัวลงทุกครั้ง และพอทำไปเรื่อยๆก็ค่อยๆชินกับมั
Beach trip
นี่เป็นอีกทริปนึงที่โฮสต์พาเที่ยว ซึ่งฉันจำรายละเอียดจากทริปนี้ได้น้อยมาก แต่ในขณะเดียวกันฉันกลับจำได้แต่ความรู้สึกประทับใจในช่วงนั้น ภาพความทรงจำเป็นช็อตๆเหมือนรูปในอัลบั้มที่มีพื้นที่จำกัด บางทีฉันก็เผลอคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่ภาพจากฝันที่ห่างไกล แต่จากหลักฐานในไดอารี่แล้วเหมือนฉันจะไม่ได้เพ้อไปเอง
ครอบครัวโฮสต์ของฉันมีเพื่อนอยู่ที่รัฐ Virginia เราเดินทางไปพักบ้านเขาก่อนออกเดินทางไปทะเลหนึ่งวัน ฉันได้ทำความรู้จักแอบบี้ ลูกสาวของครอบครัวและเป็นเพื่อนวัยเด็กของเอลลี่ด้วย และน้องชายของเธอชื่อเบน เบนเป็นเด็กออทิสติก เป็นครั้งแรกๆที่ฉันได้เจอคนที่เป็นโรคนี้ฉันจึงไม่แน่ใจว่าควรทำตัวยังไง แต่คนรอบตัวฉันว่าไม่จะเป็นเอลลี่หรือโฮสต์ก็ไม่ลังเลที่จะคุยกับเขาเหมือนอีกคนในครอบครัว พวกเขาไม่ตามใจเบนเหมือนเขาเป็นคนพิเศษ แต่ก็ใจเย็นกับเขาเวลาที่เขาใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจอะไร เพราะจริงๆเขาเป็นเพื่อนอีกคนนึงที่มีปัญหาทางการพัฒนาเท่านั้น เราแค่ใช้ความเข้าใจและปฏิบัติกับคนแบบปกติก็พอ ส่วนพ่อแม่ของเบนฉันจำไม่ค่อยได้ รู้แค่ว่าพวกเขาใจดีมากๆ เขาซื้อของฝากให้ก่อนกลับไทยด้วย
วันรุ่งขึ้นพวกเราพร้อมเดินทางไปที่รัฐ Outer Banks, North Carolina เพื่อพักที่บ้านพักริมทะเล (Beach house) ที่โฮสต์จองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ฉันชอบที่นั่นมากเพราะบ้านทั้งใหญ่สะอาดและน่าอยู่แต่ก็ดูอบอุ่น ให้ความรู้สึกสบายๆคุ้นเคย เหมาะกับการอยู่กันเป็นครอบครัว มีบอร์ดเกมและหนังสือเก่าๆวางให้อ่านได้ แต่เราต้องเอาพวกแชมพูสบู่และอาหารมาเอง บ้านหลังนี้อยู่ติดกับทะเล เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงเลย วันแรกหลังจากเราเอาข้าวของทั้งหมดลงจากรถและจัดเข้าบ้านแล้ว เราค่อยไปเดินเล่นที่ชายหาดกัน สีของท้องฟ้าสะท้อนลงบนน้ำทะเลเป็นประกราย ลมเย็นๆพัดไม่ร้อนเหมือนชายหาดไทยแต่ถ้าจะลงน้ำตอนนั้นก็คงหนาวอยู่ พอกลับมาก็สั่งพิซซ่ามากิน นั่งเล่นบอร์ดเกมกัน ฉันชอบเวลาเล่นบอร์ดเกมกับครอบครัวมาก มันทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นและสนุกสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เสียงหัวเราะและพูดคุยดังจากบ้านดังเป็นระยะพร้อมเสียงฮัมเบาๆสม่ำเสมอของคลื่นทะเล
ฉันนอนห้องเดียวกับเอลลี่และแอบบี้ ฉันตื่นเต้นมากที่ได้นอนเตียงสองชั้น ในห้องมีเตียงสองชั้นสองอัน นอนได้สี่คน แต่เรามากันไม่เยอะเลยไม่แออัด มีห้องว่างด้วยซ้ำแต่ฉันไม่อยากนอนคนเดียว ฉันชอบนั่งบนเตียงแล้วอ่านหนังสือและฟังเสียงทะเลไปเรื่อยๆ บางทีฉันก็ลืมไปว่ามันไม่ใช่ชีวิตจริง เราพักที่บ้านหลังนี้ประมาณ 1 สัปดาห์และในเวลาว่างๆที่เราไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน เราก็ดูหนังด้วยกันในห้องนั้น ฉันได้ดูละครเพลงเรื่อง Les Miserable เป็นครั้งแรกและชอบมันมากๆถึงจะไม่เข้าใจเนื้อเพลงที่ร้องณ ตอนนั้นเพราะฟังไม่ทันแต่อารมณ์ในเสียงของตัวละครสื่อความรู้สึกได้ดีมาก หลังจากนั้นฉันก็เริ่มสนใจละครเพลงมากขึ้น สมัยก่อนฉันไม่รู้จักละครเพลงด้วยซ้ำ แต่ณ ปัจจุบันนี้ฉันสามารถร้องเพลงจากหนังเรื่องนี้ได้แล้ว และยังชื่นชอบอีกหลายเรื่อง อีกเรื่องที่เราดูกันในห้องนอนนั้นคือซีรี่ย์เรื่อง The Walking Dead มันเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดหลังจากโรคซอมบี้ระบาด ตอนแรกฉันก็กลัวๆ แต่ไปๆมาๆก็ติดและตั้งใจดูกับเอลลี่กับแอบบี้ พอกลับบ้านฉันก็ยังติดมันงอมแงมจนมารู้ว่าตัวละครโปรดตายเลยเลิกดู
วันที่สองเรายังไม่ทำอะไรมาก ขับรถไปซื้ออาหารมาเตรียมจากร้านขายของสะดวกซื้อ Walmart และว่ายน้ำเล่นที่สระว่ายน้ำที่บ้านและดูหนังนิดหน่อย ฉันซื้อ Poptart มากินด้วย มันเป็นขนมชนิดนึงที่ฉันกินเป็นอาหารเช้าบางครั้ง มันเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีไส้หวานๆข้างในและข้างนอกกรอบ ถ้าเอาไปใส่เครื่องทำขนมปังปิ้งก่อนจะอร่อยมาก ฉันรู้จักมันครั้งแรกตอนไปพาเหรดที่บ้านคุณยายโฮสต์แล้วเขามีแจกฟรี (ที่พาเหรดมักมีขนมและของหลายอย่างมาแจกเพื่อโฆษณาหรือเพราะเขาใจดีฉันก็ไม่แน่ใจ) และฉันตกหลุมรักมัน มันเป็นขนมที่ชอบที่สุดจากอเมริกาเลย ฉันจำได้แล้วว่าแม่ของเบนซื้อของฝากอะไรให้ก่อนกลับ จานของยี่ห้อป๊อปทาร์ตเนี่ยแหละ55
วันที่สามเราไปเที่ยวประภาคาร (Light house) กัน เราเดินขึ้นไปตั้ง 440 ก้าวจนถึงชั้นบนสุด มันเป็นครั้งแรกที่ฉันเดินขึ้นประภาคาร ฉันว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นขนาดนัั้น สำหรับคนชอบประวัติศาสตร์มันอาจเป็นขุมทรัพย์แต่สำหรับฉันมันเป็นตึกเรียบๆทรงกระบอกสูงๆที่ถ่ายรูปชั้นบนยากมากเพราะลมแรงตีหน้า สิ่งที่ดึงดูดฉันกลับเป็นร้านขายของฝากตามถนนแถวนั้น ถนนซอยนั้นมีร้านปฏิมากรรมสไตล์ยุโรป ร้านสไตล์วินเทจเรียบเต็มข้างทาง ฉันซื้อหนังสือแนวสืบสวนจากร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ตอนแรกฉันสนใจจะซื้อหนังสือเรื่องผีๆเกี่ยวกับประภาคาร ไม่รู้ทำไมไม่ได้ซื้อมาน่าเสียดายอยู่ ถ้าประภาคารมีผีสิงก็คงน่าเที่ยวมากขึ้นสินะ
วันที่สี่ฉันได้ลองเข้าร้าน Thrift Store แถวนั้นดู ฉันชอบมันมากๆ มันคือร้านขายของเก่า ของมือสอง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ของเล่น หนังสือ ของส่วนใหญ่สภาพดีและได้มาจากคนบริจาค เงินที่ได้จากการขายพวกนี้บางทีก็นำไปให้องค์กรต่างๆแล้วแต่ร้าน ที่อเมริกามีเยอะมาก ไปที่ไหนก็เจอ ฉันชอบเดินเข้าไปดูของเก่าๆดูคลังๆด้วย สุดท้ายฉันได้หนังสือมาเพิ่มอีกสามเล่มและตุ๊กตาแมวตัวหนึ่งซึ่งกลายเป็นตุ๊กตาตัวโปรดที่ฉันนอนกอดไปตลอดทั้งปี ฉันเรียกมันว่า Garlic เพราะสีมันเหมือนกระเทียม วันนั้นเราไปกินเบอเกอร์ร้าน Five Guys กันด้วย ที่นี่อาหารฟาสฟู๊ตเยอะจริงๆแหละ แถมฉันยังเป็นคนชอบอาหารแนวนี้ด้วย อาหารไทยไม่คิดถึงเลย (เพื่อนบางคนคิดถึงอาหารไทยมากกินอะไรไม่ได้จนน้ำหนักลง) ตอนกลับไทยฉันน้ำหนักขึ้นไปหลายโลแหนะ
วันที่ห้าเราเล่นที่ชายหาด ฉันลืมทากันแดดโดนแดดเผาจนตัวดำ ฉันเริ่มมาเข้าใจว่าคนผิวขาวทำไมยังต้องทากันแดดกันนอกจากกลัวมะเร็ง โฮสต์ตากแดดนานกลับไม่ดำเหมือนฉันแต่แดงเหมือนโดนตบไปทั้งตัว ฉันนั่งขุดหาหอยตัวเล็กๆกับน้องๆและจดจ่อกับงานขุดทรายนี้จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เอลลี่และแอบบี้เดินคุยกันและเล่นกับคลื่นกันเพลิน ฉันเลยปล่อยให้พวกเขามีเวลาส่วนตัวกันบ้าง โฮสต์มัมกับแม่ของแอบบี้นอนตากแดดอ่านหนังสือ เหมือนคนที่นี่อยากให้ผิวแทน ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไม แต่ Beauty Standard หรือความนิยามความสวยงามของทุกที่ก็ต่างกันไป พยายามไปก็เท่านั้นในเมื่อความสวยมันเปลี่ยนรูปร่างไปตามกาลเวลาและสถานที่ ฉันว่าพวกเขาที่ผิวสีซีดๆก็สวยอยู่แล้ว ผิวสำน้ำตาลเนียนและผมนิ่มๆของแอดเดเล่ก็สวยอีกแบบ ส่วนฉันก็ค่อยๆยอมรับรูปลักษณ์ตัวเองมากขึ้นเหมือนกัน ฉันเหม่อมองกลับไปที่โฮสต์แด๊ดที่พยายามเล่นเว้าแต่ลมแรงไม่พอจึงเอาขึ้นไม่ได้แต่ก็ยังพยายามต่อไป เป็นวันที่สนุกมากเลย
วันที่หก เราไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำกับครอบครัว และไปเดิน Window Shopping (การเดินดูร้านขายของโดยไม่ซื้ออะไรเลย) เราได้แวะไปดูร้านขายของเก่า (Antique Shop) ด้วย ของเก่าบางอย่างก็ราคาแพงมากเลย ฉันเห็นกระดานผีถ้วยแก้ว(Ouiji Board) ด้วยแต่ไม่ได้ซื้อมาเพราะโฮสต์มัมกลัว โฮสต์มัมค่อนข้างไม่ชอบเรื่องแนวนี้
วันที่เจ็ดเราไปทัวร์หาม้าป่าซึ่งเป็นกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ดังมากแถวนี้ เรานั่งรถที่คล้ายรถสองแถวและขับไปตามพื้นที่ป่าใกล้ชายหาด ฉันตื่นเต้นกับการนั่งรถสองแถวนี่บนถนนป่าที่ขรุขระมากกว่าพวกม้าซะอีก เราจะกระเด็นออกนอกรถก่อนเจอม้ารึเปล่านะ สุดท้ายเราก็ได้เจอม้าป่าบ้างแต่ต้องเว้นระยะห่างหน่อยเพราะเขาเป็นสัตว์ป่า เราขับไปจนถึงชายหาดและเห็นม้ากลุ่มนึงเดินอยู่จึงเข้าไปถ่ายรูป ฉันชอบบรรยากาศมากๆเลย โฮสต์บอกว่าเกษียณแล้วอยากมาอยู่แถวนี้ ฉันเองก็อยากอยู่ข้างทะเลอย่างนี้เหมือนกัน
วันที่แปดกลับบ้านกัน บอกลาแอบบี้กับเบนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เรานั่งรถเดินทางนานและเมื่อมาถึงบ้านทุกคนก็แยกย้ายจัดกระเป๋าเตรียมตัวนอน แต่ก่อนฉันจะนอนลงบนเตียงก็พบว่าผ้าห่มผืนใหญ่ถูกอะไรบางอย่างข่วนจนเป็นรอยขวางกว้างและนุ่นกระจายออกมาเต็มไปหมด มีขนสัตว์อยู่บนเตียงด้วย ตอนนั้นฉันกลัวมากนึกว่าตัวอะไรมาข่วนเพราะรอยมันใหญ่มากๆ ฉันเลยรีบไปปลุกโฮสต์มัมที่นอนอยู่มาดูด้วย เขาคิดว่าน่าจะเป็นเจ้าสุนัขนิมซี่ขึ้นมานอนเล่นแล้วเผลอข่วนเพราะฉันเปิดประตูข้างไว้ เขาเอาผ้าใหม่มาให้ฉัน คืนนั้นฉันนอนไม่หลับเลยเปิดประตูให้แมวชื่อโดมิโน่เข้ามานอนด้วย บางวันพวกมันก็ชอบเข้ามานั่งพักที่ที่ไม่มีสุนัขกวน แต่แล้วกลางดึกมันก็ปวดฉี่ ร้องเหมียวๆหน้าประตู ทำให้ฉันต้องตื่นมาเปิดประตูให้มันออกไปอีก แต่คืนนั้นฉันยอมให้มันมานอนด้วยถึงจะรู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงจะต้องเปิดประตูให้มันออกไป
Water balloons
วันหนึ่งฉันตื่นพร้อมพบว่ามันเป็นเวลาสายมากแล้ว แต่ไม่เป็นอะไรเพราะวันนั้นเป็นวันหยุด เมื่อคืนฉันนอนดึกเพราะนั่งอ่านเรื่องน่ากลัวๆในเน็ตอยู่ แต่ฉันกลับนอนหลับดีเหมือนคืนก่อนๆ ฉันว่ามันแปลกมาก ฉันเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับมาตลอด แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ฉันก็นอนหลับเป็นตายทุกคืนและเคยหลับในรถด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน อาจเป็นเพราะการเรียนสบายกว่าที่ไทยมาก ไม่มีความเครียดมาทำให้ฉันต้องย้ำคิดตอนดึกๆ หรืออาจเป็นเพราะโฮสต์ให้ฉันกำหนดเวลานอนเอง ทำให้ฉันควบคุมการนอนของตัวเองได้มากขึ้น
เช้านี้ฉันเตรียมแซนวิชกินจากขนมปังในครัว ชีส แฮมและซอสในตู้เย็น เป็นอาหารเช้าที่ทำง่ายและบางครั้งฉันก็ทำเอาไปกินที่โรงเรียนแทนที่จะซื้ออาหารที่เขามีให้ในโรงอาหาร ฉันนั่งทำการบ้านที่เหลือ (เพราะไปเที่ยวมาเลยไปขอการบ้านล่วงหน้ามาทำก่อนจะได้ไม่เหนื่อย) ที่ห้องอาหารซึ่งมีประตูกระจกให้เห็นสวนหลังบ้าน
วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน (แต่ก็เย็นกว่าไทย) ฉันเห็นแอดเดเล่กับไทรินออกไปทำอะไรสักอย่างบนเนินหญ้า พวกเขากำลังเอาสายยางน้ำฉีดใส่ลูกโป่งเล็กๆหลายๆอัน ฉันออกไปดู แอดเดเล่ดูสนุกกับการโยนลูกโป่ง จู่ๆเธอก็วิ่งเข้ามาโยนลูกโป่งน้ำเหล่านั้นใส่ฉันและพ่อของเธอ แม้แต่ไทรินที่ปกติเป็นคนเงียบมากก็หัวเราะเสียงดังและโยนมันกลับ สุดท้ายฉันก็เอาคืนโยนลูกโป่งน้ำเย็นๆใส่แอดเดเล่กับพ่อของเธอบ้าง เราเดินกลับเข้าบ้านโดยเปียกกันทั่วหน้า
Fahrenheit 451
มีหนังสือเรื่องนึงที่เราเรียนกันในคาบภาษาอังกฤษ ตอนแรกฉันรู้สึกว่ามันยากมากเพราะนอกจากจะต้องเข้าใจเนื้อเรื่องแล้วยังต้องวิเคราะห์ตัวละคร คำพูดและการกระทำต่างๆด้วย แต่พอฉันอ่านจนจบเรื่องและทำรายงานสรุปเสร็จฉันก็พบว่าฉันได้เรียนรู้อะไรจากหนังสือเล่มนี้มากกว่าที่คิด
หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับโลกในอนาคตที่ดูเหมือนจะเพอร์เฟคทุกอย่าง มีเทคโนโลยีที่ทำให้ทุกคนใช้เวลากับทีวีเสพสื่อต่างๆด้วยความง่ายดาย ในโลกนี้มีนักผจญเพลิง(Fireman)ไว้เพื่อจุดไฟเผาหนังสือซึ่งเป็นของต้องห้ามของรัฐทิ้ง คนที่เก็บหนังสือไว้มีโทษผิดกฏหมาย ตัวละครเอกของเรื่องก็คือนักผจญเพลิงคนนึงชื่อมอนแท็ก(Montag) หลายคนในเรื่องไม่เคยตั้งคำถามกับชีวิตที่ทำตามกฏเกณฑ์เหล่านี้ มอนแท็กก็เช่นกัน เขาทำตามหน้าที่เผาบ้านคนที่สะสมหนังสือมาตลอดจนกระทั้งพบกับคลาริส(Clarrise) เธอเป็นเด็กผู้หญิงวัย 17 ปีที่ร่าเริงและขี้สงสัย เธอชวนมอนแท็กตั้งคำถามกับหลายอย่างในตอนต้นเรื่องจนทำให้เขาเริ่มคิดขึ้นเองว่าสิ่งที่เขากำลังทำ โลกของเขาตอนนี้มันถูกต้องหรือไม่ แม้ว่าคลาริสจะถูกรถชนตายและไม่มีบทบาทต่อในเรื่องหลังจากนั้น แต่เธอก็ส่งผลกระทบจุดประกายให้มอนแท็คเปลี่ยนมุมมองไปแล้ว มอนแท็คเริ่มอ่านหนังสือที่เขาควรจะเผาทิ้งทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างที่เคยเป็นสิ่งต้องห้าม เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและเลือกทางเดินของเขาเองแทนสิ่งที่รัฐบาลและสังคมต้องการให้เขาเป็น
การไม่ยอมทำตามคนส่วนมากอาจไม่ใช่สิ่งที่ผิดเสมอไป เรามีสิทธิและอิสรภาพที่จะตั้งคำถามและตัดสินใจให้กับตัวเอง นั่นเป็นบทเรียนที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการเรียนที่อเมริกา ทั้งประวัติศาสตร์อเมริกา หนังสือ ภาพยนตร์ต่างๆ แสดงให้เห็นข้อคิดนี้
ฉันเห็นตัวเองในการเปลี่ยนแปลงของมอนแท็ค จากเดิมที่ฉันไม่เคยสงสัยอะไรและทำตามสิ่งที่สังคมบอกว่าควรมาเสมอ ตอนนี้ฉันเริ่มกล้าที่จะตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่ฉันเจอและเลือกทำสิ่งที่เคยกลัวมากขึ้น
“Are you happy? คุณมีความสุขไหม” Clarisse (Bradbury 10)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in