Chapter 9 : March
Got A Pet
เอลลี่น่าจะอยากได้สัตว์เลี้ยงเพิ่มมานานแล้ว วันแรกของเดือนนี้โฮสต์มัม เอลลี่ และฉันจึงขับรถไปบ้านคนรู้จักคนหนึ่งที่มีลูกหมาพิทบูลพึ่งคลอดหลายตัวและกำลังหาเจ้าของใหม่ ระหว่างทางโฮสต์ก็เล่าให้ฟังว่าหมาพันธุ์พิทบูลจริงๆแล้วไม่ได้โหดร้ายเหมือนที่คนคิดแต่เพราะมีการจับสุนัขชนิดนี้ไปสู้กันเพื่อการพนันบ่อยๆ หมาพวกนี้เลยมักถูกทารุณเพื่อให้มีนิสัยดุร้าย แม่ของลูกหมาที่เรากำลังจะไปรับมาเลี้ยงก็เข้าข่ายกรณีนั้นแต่เจ้าของคนปัจจุบันช่วยมาได้ น่าสงสารมากๆเลย
พอเราไปถึงเจ้าของก็มาต้อนรับที่ห้องนั่งเล่นและปล่อยให้ลูกหมาตัวน้อยๆวิ่งเข้ามาเล่นด้วย ฉันว่ามันน่ารักมากเลย มีตัวนึงว่าเข้ามาดึงเชือกรองเท้าของเอลลี่เล่น มันดูเหมือนจะซนมากๆ แต่เอลลี่เห็นอย่างงั้นก็อุ้มมันขึ้นมาแล้วบอกว่า “This is the one เอาตัวนี้แหละ”
เรานั่งรถไปร้านขายของสัตว์เลี้ยงต่อเพื่อซื้ออาหารลูกสุนัขและปลอกคอใหม่ ฉันเดินเล่นไปมาระหว่างรอและไปเจอกับโซนขายปลากัดที่ขายในกล่องพลาสติกกลมๆขนาดเท่ามือ ฉันประหลาดใจมากที่เขาขายปลากันอย่างนี้ พอเห็นปลากัดสวยๆก็อดไปขอโฮสต์มัมซื้อบ้าง ถึงจะรู้ว่าฉันเอากลับไทยไม่ได้ก็เถอะ ตอนแรกโฮสต์ก็ไม่อยากให้ฉันซื้อแต่พอฉันตื้อเป็นครั้งที่สองเขาเลยยอมแถมซื้อให้บอกว่าเป็นของขวัญด้วย แต่ฉันต้องรับผิดชอบดูแลมันเอง
ปลากัดที่ฉันเลือกมีสีฟ้าและเหลืองทำให้ฉันนึกถึงละครเพลงที่ฉันซ้อมแสดงอยู่ในช่วงนั้น (ฉันติดใจเรื่องนี้มากดูออกสินะ) ฉันจึงตั้งชื่อมันว่า อดัม เหมือนตัวละครเจ้าชายอสูรในเรื่อง ฉันซื้อโหลปลาทรงสี่เหลื่ยมมาเลี้ยงมันบนโต๊ะอ่านหนังสือข้างเตียงนอนและดูแลมันอย่างดีจนกระทั้งจบปี มีครั้งนึงที่ฉันให้แมวเข้ามาเล่นในห้องแล้วมันหิวน้ำเลยเข้าไปเลียน้ำจากตู้ปลาน้อยๆของฉัน ทำเอาฉันตกใจแทบไล่มันไปไม่ทันเลย พอถึงเวลาที่ฉันต้องบอกลามันฉันก็ตัดสินใจฝากมันไว้กับเพื่อนที่น่าจะดูแลมันได้ดีและสนิทกับฉันสุดคือลอร่านั่นเอง เธอเคยเลี้ยงปลากัดอยู่แล้วฉันเลยไม่ห่วงอะไรมาก
My American Birthday
เพราะวันเกิดฉันไม่ได้อยู่ในช่วงที่ฉันยังเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในอเมริกา ฉันจึงเสียดายมากที่จะไม่ได้ฉลองวันเกิดที่นี่เหมือนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นๆ โฮสต์ของฉันจึงเสนอว่าให้เราเลือกวันเกิดปลอมให้หนึ่งวันคือวันที่ 3 เดือน 3 นี้
วันก่อนหน้านี้ที่โรงเรียนเพื่อนๆร้องเพลง Happy Birthday ให้ฉันในคาบคอรัสหลังจากลอร่าเดินไปบอกครูสอน มันเป็นธรรมเนียมของคาบคอรัสที่จะร้องเพลงให้สมาชิกในคลาสทกชุกสันเกิด ฉันรู้สึกซาบซึ้งสุดๆไปเลย
พอถึงวันจริงโฮสต์จัดดินเนอร์เล็กๆและฉันกับเอลลี่ชวนเพื่อนบางคนมาบ้าน พวกเขาให้ของขวัญน่ารักๆและเราเล่นเกมกันหลังกินอาหาร ส่วนที่ฉันประทับใจที่สุดคือการร้องเพลง Happy Birthday ที่แตกต่างและแสนพิเศษของครอบครัวโฮสต์ เพราะถึงแม้ทั้งครอบครัวจะมีความสามารถด้านดนตรีและเสียงเพราะสุดๆ แต่ทุกวันเกิดของคนในครอบครัวพวกเขาจะพยายามร้องเพลงให้ห่วยแตกและตลกที่สุดจนฉันต้องหัวเราะตาม
17 Seconds of Silence
ในช่วงที่ฉันไปแลกเปลี่ยนมีข่าวการกราดยิงที่โรงเรียนต่างๆเยอะขึ้น ทุกคนดูจะกลัวเหตุการอย่างนั้นมาก บางครั้งนักเรียนในห้องก็ทำท่าทีตกใจและพูดคุยกันด้วยความกังวลเมื่อเห็นคนแปลกหน้าเดินเข้ามาใกล้โรงเรียนนอกหน้าต่างเวลาเรียนอยู่ ตอนซ้อมlockdownของโรงเรียนก็มักมีการพูดถึงข่าวพวกนี้ ฉันจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่เมื่อมีข่าวกราดยิงที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง มีนักเรียนและครูเสียชีวิตในครั้งนี้รวม 17 คน เป็นเรื่องน่าเศร้าซึ่งทำให้โรงเรียนทั่วประเทศออกมาทำความเคารพและจดจำพวกเขาด้วยการยืนนิ่งเงียบ 17 วินาที พวกครูขอให้นักเรียนทุกคนใจดีกับทุกคนที่เจอเพราะคนที่มากราดยิงพวกนี้มักเป็นวัยรุ่นด้วยกันเองหรือมีความเครียดมากจึงตัดสินใจทำอย่างนี้ ฉันเห็นทุกคนทำดีต่อกันมากขึ้นและข้อความโพสต์อิตที่เขียนข้อความอย่าง “It will be alright ทุกอย่างจะไม่เป็นไร” ในกระจกห้องน้ำ มีบางคนไปร่วมประท้วงห้ามขายปืนในอเมริกา ฉันเป็นคนไม่ค่อยตามข่าวหรือฟังเรื่องทางการเมืองเท่าไหร่แต่ฉันคิดว่าควรพูดถึงเหตุการณ์นี้ไว้ ถึงฉันจะมองว่าอเมริกาเพอร์เฟคทุกอย่างแต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกที่มีอะไรที่สามารถปรับปรุงได้
God Loves You
วันหนึ่งฉันได้กินอาหารเย็นกับครอบครัวลอร่าหลังไปเที่ยวบ้านเธอ ด้วยความที่พ่อของเธอเป็นบาทหลวงของโบสถ์ใกล้ๆฉันจึงได้พูดคุยเรื่องศาสนาและถามคำถามข่องใจ จริงๆลอร่าได้ให้ไบเบิ้ลฉันมาเล่มนึงเพราะเห็นฉันสนใจแต่ฉันก็อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ฉันก็เอาความรู้เดิมๆเกี่ยวกับศาสนาคริสต์มาตั้งคำถามเนี่ยแหละ แต่ก็ยังไม่เชื่อเต็มร้อยอยู่ดี ยิ่งฉันเป็นคนที่เชื่อเรื่องทางวิทยาศาสตร์มากกว่าศาสนาพุทธของตัวเองแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
แต่พอพ่อของลอร่าถามฉันกลับมาคำนึงว่า “Do you know god loves you? คุณรู้ไหมว่าพระเจ้ารักคุณ” ฉันกลับเงียบไปก่อนจะพยักหน้า “Yes, I know.” ฉันไม่ได้ตอบอย่างนั้นเพื่อทำให้เขาพอใจ แต่เพราะถึงแม้ฉันจะรู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลบ้างแต่ฉันกลับรู้สึกว่าพระเจ้าคงรักฉันมากๆถ้าพระเจ้ามีจริง ฉันถึงได้มีชีวิตอยู่ตอนนั้นและมีโอกาสเจอพวกเขา และในตอนนั้นฉันรู้สึกพอใจกับคำตอบของตัวเองมาก
ฉันกลับไปคิดถึงคำถามของฉันหลายครั้งหลังกลับมาไทย ฉันยังคงไม่มีศาสนาที่เชื่อสนิท บางทีการที่ฉันตั้งคำถามกับศาสนานี้มากในตอนนั้น อาจเป็นเพราะฉันอยากเชื่อเหลือเกินว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในโลกนี้ที่คอยเฝ้าดูเราอยู่ และชีวิตของเราไม่ใช่แค่เรื่องราวที่บังเอิญมาบรรจบเป็นอย่างปัจจุบันนี้อย่างไร้เหตุผล
Morning Announcement Songkran
ฉันต้องพรีเซ้นต์เรื่องวันสงกรานเร็วๆนี้ และฉันก็นึกอะไรออกตอนมี Morning Announcement ตอนเช้า มันคือประกาศตอนเช้านั่นแหละ แต่ละห้องก็จะมีลำโพงและจอทีวีอยู่ มักเป็นเรื่องข่าวสารโรงเรียนหรือกิจกรรมต่างๆ ฉันเลยตัดสินใจเดินไปหาครูสอนคอมพิวเตอร์หลังคาบเรียนเพราะเขาดูแลเรื่องนี้ ฉันต้องรวบรวมความกล้ามากแต่สุดท้ายฉันก็เดินไปถามว่าขอพรีเซ้นต์ผ่าน Announcement ได้ไหม เขาก็บอกว่ามันเป็นไอเดียที่ดีแล้วนัดให้ฉันอัดวิดีโอที่ห้องทำการก่อนวันประกาศจริง และแล้วทุกอย่างก็ไปได้ด้วยดี มันเป็นครั้งแรกที่ฉันลองประชาสัมพันธ์อะไรอย่างนี้
พอถึงวันนัดอันครูไม่ได้ช่วยสอนอะไรฉันเล๊ยนอกจากเอาฉันไปส่งที่ Recording Room ในห้องอัดที่มีคนไม่กี่คนแต่ฉันรู้จักบางคนในนั้นเลยชวนคุยได้บ้าง มีไมค์และกล้องถ่ายเตรียมอยู่พร้อมแล้ว ฉันขอให้คนอื่นที่ต้องอัดวิดีโอประกาศเรื่องอื่นก่อนเลย ฉันเลยได้ซ้อมนิดหน่อยก่อนจะพูดจริง ฉันได้เรียนรู้ว่าของส่วนใหญ่ในวิดีโอโดนตัดต่อเข้าไปซะเยอะรวมถึงโต๊ะรายงานข่าวและเอฟเฟ็กแทบทุกอย่าง ของฉันแค่ขอให้เขาเปลื่อยนพื้นหลังเป็นรูปวันสงกรานให้เข้าธีมก็พอ และแล้วฉันก็เข้าไปพรีเซ้นท์ตามซ้อมจนจบ ฉันคิดว่ามันไปได้ดี
Scary Clown
เพราะโฮสต์มัมของฉันกลัวตัวตลกมากๆ โฮสต์บราที่ชื่อแทรินเลยแกล้งด้วยการซื้อตุ๊กตาตัวตลกเก่าๆมาจากร้านมือสองแล้วเอาไปวางไว้ในห้องโฮสต์มัม พอโฮสต์มัมมาเห็นก็กรี๊ดลั่นบ้านและทุกคนก็หัวเราะกันคึกคัก หลังจากนั้นโฮสต์มัมก็เอามันไปซ่อนที่อื่นในบ้าน พอคนอื่นมาเห็นก็ตกใจ มันจึงกลายเป็นเกมใหม่ในบ้านซึ่งคนที่เจอตุ๊กตาแล้วก็จะเอามันไปซ่อนที่อื่นแกล้งให้คนในบ้านตกใจไปเรื่อยๆ ฉันนึกว่าจะรอดแล้วแต่วันนึงฉันก็ต้องตกใจเมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าข้างเตียงแล้วเจอเจ้าตุ๊กตานั่นจ้องฉันอยู่ ฉันเลยเอาไปซ่อนในไมโครเวฟต่อ ตอนนี้เจ้าตุ๊กตาหลอนนี่อยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้
Musical Performance
การแสดงครั้งแรกหลังซ้อมละครเพลงbeauty and the beast มานานหลายเดือนเป็นการแสดงให้เด็กเล็กๆในโรงเรียนเพื่อที่เด็กๆจะได้ชวนผู้ปกครองมาดูในวันต่อไป ฉันว่าเราทำมันได้ดีทีเดียว ครูสอนเราก็เห็นด้วย ฉันกลับไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่าซ้อมมานานแล้ว แต่เพื่อนบางคนถึงกับอ้วกเพราะความกังวลก่อนขึ้นแสดง ฉันก็เข้าใจหรอกนะ
คืนที่สองกลับสนุกขึ้นมากเพราะทุกคนทำใจได้แล้ว ฉันรู้สึกสนุกกับมันมากโดยเฉพาะในเพลง Mob Song ที่ชาวบ้านจะไปบุกปราสาทของอสูร มันเป็นเพลงที่ต้องเดินไปโน่นนี่และทำท่าเยอะมากในขณะที่ต้องร้องเพลงเร็วๆไปด้วย หลังแสดงจบเราลงไปทักทายผู้ชม เทรซี่และไมค์ก้าเข้ามาทักทายฉันและมอบดอกไม้ให้ โฮสต์มัมแด๊ดและแกรมมี่ก็ด้วย เรายืนคุยกับพวกเขาต่ออีกนิดหน่อยก่อนต้องเดินไปรวมตัวนักแสดงหลังจบงาน เราเข้ามากอดกันและให้กำลังกันว่าการแสดงไปได้ด้วยดี มันน่ารักมากๆเลย
การแสดงครั้งสุดท้ายคล้ายๆครั้งที่สองแต่มันก็ทำให้ฉันเสียใจที่จะไม่ได้เจอทุกคนแล้ว พอทุกคนร้องเพลงสุดท้ายดังก้องทั่วหอประชุมฉันเกือบร้องไห้ ทุกคนเข้ามาประสานเสียงพร้อมกัน มันไพเราะมากๆ ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะมีโอกาสได้ร้องเพลงที่ทรงพลังอย่างนี้อีกไหมในชีวิต
“One thing forever true สิ่งนึงที่จริงเสมอ
I love you ฉันรักเธอ”
- Beauty and the Beast (Reprise)
หลังจากจบแล้วทุกคนก็เอาการ์ดและของขวัญขึ้นไปเซอไพรส์ครูคุมการแสดงบนเวที พวกเราเเอบเขียนขอบคุณครูก่อนหน้านี้ ฉันรู้สึกขอบคุณครูคนนี้มาก เธอเป็นครูสอนการแสดงที่ใจดีและสอนอะไรสนุกมาก
หลังจากนั้นครูก็ประกาศชื่อนักเรียนซีเนี่ยที่จะเรียนปีนี้ปีสุดท้ายให้มารับช่อดอกไม้และของขวัญเล็กๆจากเธอ ตอนแรกฉันก็ไม่คิดว่าจะได้กับเขาด้วยแต่เธอก็เรียกฉันขึ้นเวทีเป็นคนสุดท้ายพลางอธิบายว่าฉันเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่จะอยู่กับเขาแค่ปีเดียว ฉันยิ้มจนแก้มปริเลยตอนนั้น
หลังจากนั้นเราลงไปรับดอกไม้และคุยกับผู้ชมเหมือนเคย คืนนี้คาร่ามาดูฉันด้วย แล้วโฮสต์ก็ให้ฉันไปถ่ายรูปกับนักแสดงคนอื่นๆ พอทุกคนเริ่มว่างฉันก็เอาจดหมายที่ฉันเขียนขอบคุณเพื่อนสนิท25คนในนั้นไปให้เพื่อนๆ ฉันรู้ว่าฉันไม่น่ามีโอกาสได้แสดงกับพวกเขาอีกฉันเลยอยากบอกทุกอย่างที่อยากบอกให้พวกเขาก่อนต้องจากกัน นิสัยการเขียนจดหมายยของฉันยังคงดำเนินมาถึงตอนนี้
แต่ทุกคนซึมร้องไห้กันในห้องเตรียมการแสดงไม่นานเราก็ออกไปสนามกีฬาข้างนอกที่มืดและหนาวสุดๆกัน ฉันก็งงว่าเราไปทำอะไรกันก่อนเฮลลี่จะหันมาบอกว่าธรรมเนียมของการแสดงละครเพลงโรงเรียนเราอีกอย่างคือเมื่อแสดงเสร็จแล้วจะออกไปวิ่งรอบสนามโดยไม่ใส่เสื้อผ้า เพื่อนบางคนก็ไม่ออกไปกันเพราะเขินแต่สำหรับฉัน พอคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ทำอีกแล้ว ฉันเลยวิ่งออกไปกับเพื่อนด้วยโดยที่แก้ผ้าใส่แค่ชุดชั้นในอย่างเดียว มันไม่น่าอายขนาดนั้นหรอกเพราะมันดึกมากแล้ว ไม่มีคนและมืดสุดๆ แต่มันความหนาวนี่สิ พอกลับมารีบวิ่งเข้าตึกอุ่นๆแทบไม่ทันเลย
Homesick
จริงอยู่ที่ฉันไม่ค่อยโฮมซิกเลยตั้งแต่มา แต่พอถึงเดือนนี้ฉันกลับมีภาพความทรงจำเก่าๆแล่นเข้ามาในหัวเวลาที่ว่างๆบ้าง มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันไม่เคยเห็นค่าเท่าไหร่ เช่นตอนเข้านอนในห้องของฉันที่ไทย ตอนไปเดินห้างใกล้ๆบ้าน มันรู้สึกเหมือนผ่านมานานเหลือเกินและโลกนั้นคือความฝันและความจริงคือชีวิตฉันที่อยู่ที่อเมริกา ฉันยังไม่รู้ว่าหลังจากปีนี้ ฉันจะมองความทรงจำที่อเมริกาเหมือนความฝันเช่นกัน ความฝันที่ฉันไม่มีทางได้กลับไปเจออีก เวลามันผ่านไปเร็วมากจริงๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in