เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Films speak for mepuroii
อะไรซ่อนอยู่ในความมืด : สำรวจซีรีส์ "Dark" กับศาสนา ตำนาน และกาลเวลา

  • Dark คือซีรีส์สัญชาติเยอรมันเรื่องแรกจาก Netflix เรื่องย่อมีอยู่ว่า เด็กเริ่มหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยภายในเมืองแห่งหนึ่ง ทุกคนต่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือใครเป็นคนทำ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้กลับไปเหมือนเหตุการณ์เมื่อ 33 ปีก่อน แต่คำถามไม่ใช่ว่าพวกเขาหายไป "ที่ไหน" แต่เป็นหายไป "เมื่อไร" ต่างหาก

    ซีรีส์นี้เป็นเรื่องที่ดูครั้งเดียวไม่มีทางเก็บหมดแน่นอน นอกจากตัวละครจะเยอะแยะยั้วเยี้ยจนต้องสร้างแผนผังครอบครัวแล้ว ยังต้องใช้ความสามารถปลุกสมองปลาทองขึ้นมาจำหน้าคนล้านแปดอีก แต่ดูจบแล้วบอกเลยว่ามันไม่เหมือนที่คิดแน่นอนและมันไม่ใช่ Stranger Things หรือ IT อย่างที่หลายคนเข้าใจ

    เอาเป็นว่ามันมีอีกหลายคำถามที่ยังไม่ได้ตอบและอีกหลายคำตอบที่ยังไม่เข้าใจ วันนี้เราจะไม่คาดเดาอะไรที่ไม่แน่นอน แต่จะมาขุดคุ้ยสิ่งที่เห็นในซีซั่นนี้ให้กระจ่างขึ้น



    *****************************************



    *****************************************



    ศาสนา

    โนอาห์เป็นตัวละครที่มีปริศนาซุกซ่อนอยู่มากมาย เขาสวมชุดนักบวชแต่ดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อในพระเจ้า แผ่นหลังของเขาสักลายที่ดูเหมือนแผ่นจารึกที่มีตัวอักษรภาษาละตินเขียนอยู่ เขาพกสมุดที่มีรูปสามเหลี่ยมซ้อนสามเหลี่ยมเชื่อมโยงกันและเราเห็นมันอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะบนแผ่นเหล็กในถ้ำ บนหนังสือการย้อนเวลา หรือบนกระดาษที่ถูกแปะเอาไว้ในห้องโรงแรมหมายเลข 8 

    สิ่งเหล่านี้คืออะไรและมันบอกอะไรกับเราบ้าง

    ลายสักบนหลังของโนอาห์คือ "คัมภีร์มรกต" หรือ "The Emerald Tablet" คัมภีร์ที่ยึดถือใน Hermeticism ซึ่งเป็นศาสนาหรือปรัชญาของเฮอร์เมส ทริสเมกิสตุส (Hermes Trismegistus) เป็นศาสนาที่เชื่อใน prisca theologia หรือศาสดาเพียงหนึ่งเดียว แม้ว่าจะเป็นเอกเทวนิยม แต่ Hermeticism เองก็เชื่อในสิ่งอื่นด้วย เช่น เทวดาและจักรวาล 

    Hermeticism เป็นที่รู้จักกันจากปรัชญา "As Above, So Below." แปลได้ว่า “สิ่งที่อยู่เบื้องล่างย่อมเหมือนสิ่งที่อยู่เบื้องบน” ซึ่งเป็นคำที่ดึงมาจากคัมภีร์มรกตบรรทัดที่กล่าวไว้ว่า 


    "That which is Below corresponds to that which is Above, and that which is Above 

    corresponds to that which is Below, to accomplish the miracle of the One Thing."

    "สิ่งที่อยู่เบื้องล่างย่อมเหมือนสิ่งที่อยู่เบื้องบนและสิ่งที่อยู่เบื้องบนย่อมเหมือนสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง

    เพื่อสร้างอัศจรรย์ของความเป็นหนึ่งเดียว"


    ประโยคนี้สามารถถอดใจความได้ว่าการกระทำระดับจุลภาคมีผลเชื่อมโยงกันกับการกระทำระดับมหภาค ในทางกลับกัน การกระทำระดับมหภาคก็มีผลเชื่อมโยงถึงระดับจุลภาคด้วย



    สามเหลี่ยมที่ซ้อนกันเรียกว่า Triquetra ในอดีต ภาพนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมากทางศาสนาและหมายถึงพระตรีเอกภาพในศาสนาคริสต์ (พระบิดา พระบุตร และพระจิต) สัญลักษณ์นี้ยังพบบนค้อน Mjolnir ของธอร์และคล้ายกับสัญลักษณ์ valknut ของโอดินอีกด้วย

    Hermeticism เองก็เชื่อในภูมิปัญญา 3 แขนงแห่งจักรวาล

    1. Alchemy (การเล่นแร่แปรธาตุ) - พันธกิจของดวงอาทิตย์

    การเล่นแร่แปรธาตุนี้ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนตะกั่วเป็นทองเพียงอย่างเดียว แต่ยังสำรวจชีวิตและจิตวิญญาณเพื่อเรียนรู้การเกิด การตาย และการฟื้นคืนชีพผ่านขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่ความสมบูรณ์แบบทางกาย สิ่งเหล่านี้ก็เพื่อบรรลุ Magnum opus ที่แปลว่า งานที่ยิ่งใหญ่ ในภาษาละติน

    2. Astrology (โหราศาสตร์) - พันธกิจของดวงดาว

    เฮอร์เมติคเชื่อว่าการเคลื่อนที่ของจักรวาลอยู่เหนือกฎฟิสิกส์และเป็นนัยยะถึงสติปัญญาทั้งปวงหรือก็คือ "พระเจ้า" นั่นเอง โหราศาสตร์มีอิทธิพลต่อโลกแต่ไม่ได้กำหนดการกระทำของมนุษย์ เราจะมีภูมิปัญญาเมื่อรู้ว่าอะไรคืออิทธิพลต่อโลกและวิธีการจัดการที่จะจัดการกับมัน 

    3. Theurgy (พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์) - พันธกิจของพระเจ้า

    ตามที่ Giovanni Pico della Mirandola เขียนไว้ เวทมนตร์มี 2 แขนง หนึ่งคือ Goëtia มนตร์ดำที่อาศัยความร่วมมือจากจิตวิญญาณชั่วร้าย เช่น ปีศาจ สองคือ Theurgy มนตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่อาศัยความร่วมมือกับจิตวิญญาณที่ดี เช่น เทวดา นางฟ้า พระเจ้า เป็นต้น เฮอร์เมติคมองว่าการเล่นแร่แปรธาตุเป็นกุญแจที่นำไปสู่พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เพื่อติดต่อกับเบื้องบนและนำมาซึ่งจิตวิญญาณแห่งเทพ (Divine Consciousness)

    นอกจาก Triquetra จะหมายถึงการรวมกันเป็นหนึ่งและพลังอันเป็นเอกภาพแล้ว อาจสื่อถึงความเชื่อในภูมิปัญญา 3 แขนงของเฮอร์เมติค เชื่อมโยงไปถึงเลข 33 ปีที่แสดงระยะห่างระหว่างแต่ละยุคก็น่าจะมีความหมายไปในทางเดียวกัน อย่างที่โยนาสตอนโตพูดกับทันน์เฮาส์ในตอน 8 ว่า "มันคืออายุของพระเยซูในตอนที่ศัตรูของพระคริสต์เรืองอำนาจ" หลังจบประโยค ภาพตัดไปที่โนอาห์ยืนอยู่หน้าโบสถ์พอดี เป็นไปได้ไหมว่าศัตรูของพระคริสต์ก็คือโนอาห์นั่นเอง

    ทั้งคัมภีร์มรกตและ triquetra ทำให้อนุมานได้ว่าโนอาห์อาจมีความเชื่อในเฮอร์เมติคและการกระทำของเขาอาจมีจุดประสงค์เพื่อบรรลุความเชื่อแบบเฮอร์เมติค


    Sic Mundus Creatus Est 


    "Sic Mundus Creatus Est" เป็นชื่อตอนที่ 6 ของซีรีส์เรื่อง Dark นอกจากนี้มันยังถูกพูดถึงและโผล่มาให้เห็นบนแผ่นเหล็กในถ้ำอีกหลายต่อหลายครั้ง เรามาขยายความและถอดความประโยคนี้กัน 

    นอกจาก "As Above, So Below." ที่มาจากคัมภีร์มรกตแล้ว "Sic Mundus Creatus Est" ก็อยู่ในบรรทัดหนึ่งของคัมภีร์นี้เช่นกัน ประโยคนี้หมายความว่า "ด้วยวิธีการนี้ โลกจึงถูกสร้างขึ้น"

    Pallus ได้ถอดความคัมภีร์มรกตฉบับเต็มไว้ ดังนี้

    [1] Tis true without lying, certain & most true.

    ด้วยความสัตย์, อันปราศจากมุสา, ที่แน่นอนและเป็นจริงอย่างที่สุด

    [2] That wch is below is like that wch is above & that wch is above is like yt wch is below to do ye miracles of one only thing.
    สิ่งที่อยู่เบื้องล่างย่อมเหมือนสิ่งที่อยู่เบื้องบน และสิ่งที่อยู่เบื้องบนย่อมเหมือนสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง เพื่อสร้างอัศจรรย์ของความเป็นหนึ่งเดียว

    [3] And as all things have been & arose from one by ye mediation of one: so all things have their birth from this one thing by adaptation.
    และเมื่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นและเกิดมาจากความเป็นหนึ่งเดียว มันจึงถือกำเนิดมาจากความเป็นหนึ่งเดียวนี้ด้วยการปรับเปลี่ยน

    [4] The Sun is its father, the moon its mother, the wind hath carried it in its belly, the earth its nourse.
    บิดาคือสุริยะ มารดาคือจันทรา วาตะก่อกำเนิด ธรณีทะนุถนอม

    [5] The father of all perfection in ye whole world is here.
    บิดาของความสมบูรณ์พร้อมในโลกอยู่ที่นี่

    [6] Its force or power is entire if it be converted into earth. 
    พลังอำนาจจะเปี่ยมสมบูรณ์ เมื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพื้นพิภพ

    [7] Seperate thou ye earth from ye fire, ye subtile from the gross sweetly wth great indoustry.
    แยกพิภพจากไฟ แยกความเบาจากความแน่น ด้วยความอบอุ่นและการอุทิศตน

    [8] It ascends from ye earth to ye heaven & again it desends to ye earth and receives ye force of things superior & inferior.
    ความเป็นหนึ่งเดียวอุทัยจากพื้นพิภพสู่สรวงสวรรค์ อัสดงอีกครั้งสู่พื้นพิภพ และได้รับพลังจากสิ่งที่อยู่เบื้องบนและเบื้องล่าง

    [9] By this means you shall have ye glory of ye whole world & thereby all obscurity shall fly from you. Its force is above all force. ffor it vanquishes every subtile thing & penetrates every solid thing.
    เหตุนั้น ท่านจะครอบครองความรุ่งโรจน์ของโลก อุปสรรคจะมลายไปจากท่าน นี่คือพลังแห่งพลังทั้งมวล ซึ่งสามารถพิชิตทุกสิ่งที่บอบบาง และทะลุทะลวงทุกอย่างที่แข็งแกร่ง

    [10] So was ye world created.
    ด้วยวิธีการนี้ โลกจึงถูกสร้างขึ้น

    [11] From this are & do come admirable adaptaions whereof ye means (Or process) is here in this.
    และนำมาสู่การปรับเปลี่ยนที่ยอดเยี่ยมด้วยวิธีการเช่นนี้

    [12] Hence I am called Hermes Trismegist, having the three parts of ye philosophy of ye whole world.
    ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงถูกขนานนามว่า “เฮอร์เมส ทริสเมจิสต์” ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยองค์สามแห่งปรัชญาของโลกทั้งมวล

    [13] That wch I have said of ye operation of ye Sun is accomplished & ended.
    สิ่งที่ข้าได้กล่าวในปฏิบัติการแห่งสุริยะสมบูรณ์แล้ว


    ตำนานอารีแอดเน่และเขาวงกต

    ภาพตำนานอารีแอดเน่และเขาวงกตบนผนังห้องของโยนาสตอนโต
    ในตำนานกรีก อารีแอดเน่คือธิดาของเทพไมนอสแห่งครีต ผู้สร้างเขาวงกตและหลอกล่อหนุ่มสาวมาเป็นบรรณาการให้มิโนทอร์ สิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งวัวที่ถูกขังไว้ใจกลางเขาวงกต อยู่มาวันหนึ่ง เธซีอุสตัดสินใจออกเดินทางมาฆ่ามิโนทอร์เพื่อให้การบรรณาการนี้สิ้นสุดลง อารีแอดเน่ตกหลุมรักเธซีอุสและร่วมมือกับเขาเพื่อกำจัดมิโนทอร์โดยอารีแอดเน่ใช้เส้นด้ายเป็นตัวช่วยในการนำทางเธซีอุสออกมาจากเขาวงกต แต่ทว่าหลังเธซีอุสทำภารกิจสำเร็จ เขากลับทิ้งอารีแอดเน่ไป


    มาร์ธาแสดงเป็นอารีแอดเน่ในงานแสดงโรงเรียน
    เราจะเห็นภาพตำนานอารีแอดเน่บนผนังห้องโรงแรมและเห็นเต็ม ๆ อีกครั้งจากละครเวทีโรงเรียนที่มาร์ธาแสดง ทั้งหมดนี้ล้วนเชื่อมโยงกัน

    ถ้ำในเมืองวินเดนอาจเปรียบได้กับเขาวงกตและเชือกสีแดงที่คอยนำทางใช้ทดแทนด้ายที่พาเธซีอุสไปยังใจกลางของมัน โยนาสเหมือนกับเธซีอุสที่ถูกนำทางเข้าไปในนั้นและเขายังทิ้งมาร์ธาไปเมื่อรู้ความจริงว่าเธอเป็นป้าของตนเหมือนที่เธซีอุสทิ้งอารีแอดเน่ไป (แถมในเรื่องก็ตัดภาพเล่าสลับกันไปมาระหว่างละครเวทีกับโยนาสในถ้ำอีกต่างหาก)

    เชือกแดงที่นำทางไปสู่สัญลักษณ์อุโรโบรอส (Ouroboros) รูปงูไล่กินหางตัวเอง หมายถึง ความไม่สิ้นสุด ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นวงกลมไม่มีจบสิ้นและเรื่องทั้งหมดนี้ก็เช่นกัน

    กาลเวลา

    Dark เล่นกับเรื่องการเดินทางข้ามเวลา แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่พูดถึง paradox หรือปฏิทรรศน์ของการเดินทางข้ามเวลานั่นเอง


    Grandfather Paradox (ปฏิทรรศน์คุณปู่)


    ในซีรีส์พูดถึงเรื่องการฆ่าคนในอดีตเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตหรือถ้าโยนาสกลับไปช่วยมิคเคลแล้วมิคเคลก็จะไม่ได้พบฮันนา ไม่ได้แต่งงานกัน ไม่มีโยนาสเกิดมา เรื่องราววุ่นวายทั้งหลายที่เกิดขึ้น มันก็เกิดจาก Grandfather paradox นี่แหละ

    หลายคนอาจรู้จักปฏิทรรศน์นี้จากหนังหรือซีรีส์หลายเรื่องกันมาแล้ว สมมติถ้าเราเกลียดปู่ของเรามากและสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เราพกปืนคู่ใจไปยิงปู่จนตาย แต่ปรากฏว่าตอนนั้นพ่อกับแม่เรายังไม่เกิด ดังนั้นการฆ่าปู่ส่งผลให้เราไม่มีตัวตนตั้งแต่แรกแล้ว 

    ปู่ตาย > พ่อไม่เกิด > พ่อแม่ไม่ได้แต่งงานกัน > เราไม่เกิด

    แล้วใครจะมายิงปู่ในตอนนี้ได้?

    อีกอย่างที่คล้ายกันก็คือ Hitler's paradox หรือ Hitler's murder paradox สมมติเราเดินทางย้อนเวลากลับไปฆ่าฮิตเลอร์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งนำมาสู่หายนะอันใหญ่หลวงได้สำเร็จ แต่ว่าเมื่อฆ่าฮิตเลอร์สำเร็จแล้ว สงครามโลกไม่เกิด ทุกคนอยู่อย่างมีความสุข เพราะฉะนั้นเราก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ฆ่าฮิตเลอร์ตั้งแต่แรก ก็เลยไม่มีเหตุผลให้ย้อนเวลากลับไปตั้งแต่ต้นแล้ว

    สรุปก็คือ เมื่อเหตุการณ์ในอดีตถูกเปลี่ยนแปลงไปทางใดทางหนึ่ง จะเกิดความขัดแย้งขึ้น คนที่ย้อนเวลากลับไปสามารถทำสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ แต่ไม่สามารถทำสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงอดีตจึงดูเหมือนว่าไม่น่าเป็นไปได้เลย

    ....หรือเปล่า?

    หลายคนออกมาพูดว่าสามารถทำได้หากมีเอกภพคู่ขนาน (parallel universe) เราสามารถสร้างโลกที่ปู่ตายและเราไม่เกิด แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ เพราะเราได้สร้างเหตุการณ์ใหม่ที่นำไปสู่อีกเส้นโลกหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันแทน แต่นั่นเป็นอีกกรณีหนึ่ง

    Causal Loops 


    "วงวนของเวลามีผลกระทบอย่างมากต่อกฎความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล 
    ตราบใดที่มีรูหนอนอยู่ ก็จะมีวงวนเวลาปิด ข้างในนั้น ทุกอย่างต่างพึ่งพากัน 
    อดีตไม่เพียงแต่ส่งผลต่ออนาคต อนาคตก็ส่งผลต่ออดีตด้วย มันเหมือนคำถามเรื่องไก่กับไข่ 
    เราไม่อาจบอกได้อีกต่อไปว่าสองอย่างนั้นอะไรมาก่อน ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงกัน" 

    - ฮา.เก.ทันน์เฮาส์พูดกับโยนาสตอนโตไว้ในตอน 8

    การกระทำหลายอย่างที่เกิดในเรื่อง Dark วนเวียนอยู่กับ causal loop ซึ่งมักถูกอธิบายด้วย bootstrap paradox

    "ลองพยายามข้ามรั้วโดยการดึงเชือกรองเท้าตัวเองขึ้นสิ" 

    Bootstrap paradox หรือปฏิทรรศน์เชือกรองเท้า สมมติให้ลองพยายามดึงเชือกรองเท้าเพื่อยกตัวเองขึ้นมาจากพื้นและพาข้ามรั้วไป ใคร ๆ ก็จะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ จึงเป็นที่มาของชื่อ "ปฏิทรรศน์เชือกรองเท้า" บ่งบอกถึงการกระทำที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ 

    ปฏิทรรศน์นี้ใช้ได้กับทั้งคน สิ่งของ หรือข้อมูล ยกตัวอย่างเช่น

    ข้อมูล 

    ถ้าเราย้อนเวลากลับไปแล้วเอาทฤษฎีสัมพันธภาพไปบอกไอน์สไตน์ ส่งผลให้ไอน์สไตน์ได้รับความรู้และเขียนทฤษฎีนี้ขึ้นมา จะเกิดคำถามขึ้นว่า ตกลงทฤษฎีสัมพันธภาพมาจากไหนกันแน่? จากเราหรือจากไอน์สไตน์ เราบอกไม่ได้ว่าทฤษฎีนี้มาจากเรา เพราะเราก็เรียนรู้มาจากไอน์สไตน์ แต่เราจะบอกว่ามาจากไอน์สไตน์ได้ยังไง ถ้าเขาไม่ได้มันจากตัวเราที่ย้อนเวลากลับไปบอก

    สิ่งของ 

    ในหนังเรื่อง Somewhere in Time คริสโตเฟอร์ได้รับนาฬิกาจากหญิงแก่เมื่อปี 1972 ซึ่งความจริงแล้วตัวเขาเองเป็นคนให้นาฬิกาเรือนนั้นแก่เธอตอนเด็กในปี 1912 เมื่อครั้งที่เขาย้อนเวลากลับไป หญิงสาวเติบโตมาจนถึงปี 1972 และให้นาฬิกาเรือนนั้นกับเขาในเวลาต่อมา แต่นาฬิกาเรือนนั้นกลับไม่เสื่อมสภาพเลยทั้งที่ผ่านกาลเวลามายาวนาน มันจึงฝ่าฝืนกฎข้อที่ 2 ของเทอร์โมไดนามิกส์ที่อธิบายว่าเอนโทรปี (ตัวแปรที่บอกถึงความไม่เป็นระเบียบของระบบ) จะเพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลา

    คน 

    ยกตัวอย่างที่ล้ำมาก ๆ อย่าง "All You Zombies" ของโรเบิร์ต ไฮน์ไลน์ เรื่องของตัวเอกที่มีภาวะเพศกำกวมแต่เกิดมาเป็นเพศหญิง พอเป็นวัยรุ่นก็ไปผ่าตัดเป็นเพศชาย ทีนี้ตัวเอกของเราในเพศชายย้อนเวลากลับไปทำให้ตัวเองตอนก่อนผ่าตัด (ที่ยังเป็นเพศหญิง) ท้องและให้กำเนิดลูกสาวที่ตอนท้ายเฉลยว่าเป็นตัวเอง ผลก็คือทำให้ตัวเอกของเราเป็นทั้งพ่อและแม่ของตัวเอง 


    ใน Dark ก็มีช่วงเวลาที่คลอเดียเอาพิมพ์เขียวเครื่องเดินทางข้ามเวลากลับไปบอกทันน์เฮาส์ หรือตอนที่โยนาสตอนโตเอาเครื่องไปให้ทันน์เฮาส์ซ่อม เหตุการณ์เหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Bootstrap paradox 

    ข้อขัดแย้งคือมันแหกกฎฟิสิกส์ที่ควรจะเป็น 

    อย่างที่ได้พูดไปคร่าว ๆ ถึงกฎข้อที่ 2 ของเทอร์โมไดนามิกส์ ระบบจะเปลี่ยนจากมีระเบียบไปเป็นไม่มีระเบียบเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ดังนั้นสิ่งของในลูปเวลาของเราจะต้องเสื่อมสภาพเมื่อเวลาผ่านไป นาฬิกาจะต้องเก่าและดูผ่านการใช้งานมานาน แต่นาฬิกาเรือนที่ส่งกลับไปต้องอยู่ในสภาพที่ใหม่ ดังนั้นมันจะเป็นเรือนเดียวกันไม่ได้ จึงเกิดเป็นความขัดแย้งของตัวตน (identity) ขึ้นมา 

    ส่วนกฏของเหตุและผลทำให้เราสับสนว่าเหตุทำให้เกิดผลจริงหรือไม่ เพราะตอนนี้เราไม่สามารถบอกได้แล้วว่าเหตุการณ์หนึ่งในอดีตส่งผลให้เกิดอีกเหตุการณ์ในอนาคต เพราะเหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นก่อนแล้วในอนาคตก่อนที่มันจะย้อนกลับไปเป็นสาเหตุให้เกิดเหตุการณ์ในอดีต ดังนั้นเราจึงไม่สามารถบอกที่มาที่ไปของเหตุการณ์ได้ กลายเป็นว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน


    อื่นๆ

    สัตว์ตาย

    หากยังจำ "canary in a coal mine" ได้ สัตว์ที่ตายเหล่านี้ก็คล้ายนกคีรีบูน 

    canary in a coal mine หมายถึง ใครหรืออะไรบางอย่างที่สามารถบอกอันตรายล่วงหน้าได้ สมัยก่อนตอนที่จะลงไปขุดเหมือง นักขุดเหมืองจะเอานกคีรีบูนใส่กรงลงไปด้วย เพราะนกคีรีบูนไวต่อก๊าซมีเทน ถ้าเกิดว่ามีก๊าซรั่วออกมา นกคีรีบูนจะตายก่อนจึงเป็นสัญญาณเตือนภัยบอกนักขุดเหมืองว่ามีอันตราย สัตว์พวกนี้ที่ตาย ทั้งบรรดานกและแกะ 33 ตัวล้วนตายในสภาพเดียวกัน นั่นก็คือแก้วหูระเบิด การตายของสัตว์พวกนี้มีความเชื่อมโยงกับระยะเวลา 33 ปีที่เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น เพราะสัตว์อาจไวต่อการเสียสมดุลง่ายกว่ามนุษย์ ดังนั้นนี่อาจเป็นการเตือนล่วงหน้าเหมือนนกคีรีบูนก็เป็นได้

    ห้องโรงแรมหมายเลข 8

    เลข 8 อาจมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าแค่เลขห้อง

    หากเอาเลข 8 มาตั้งในแนวนอนก็จะได้เป็น ∞ ซึ่งหมายถึง infinity หรือการไม่มีที่สิ้นสุด และยังมีความเกี่ยวข้องกับสมดุลจักรวาลในความเชื่อของหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นจีนหรืออียิปต์ เลข 8 นี้บ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวินเดนที่ไม่มีวันจบสิ้น ทุกอย่างเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นวงวนของกาลเวลาที่ไม่รู้จบ



    _________________________________________



    สรุปแล้ว Dark เหมือนเป็นซีรีส์ที่หยิบทุกอย่างมาเชื่อมโยงกัน ทั้งศาสนา ปรัชญา จิตวิทยา วิทยาศาสตร์ หากลองพิจารณาดูแล้ว ทุกอย่างสามารถเอามาอธิบายซึ่งกันและกันได้ ดังนั้นการเรียนรู้ทุกศาสตร์ก็ทำให้เราได้เห็นภาพของโลกใบนี้มากขึ้น ทุกศาสตร์จึงมีความสำคัญต่อกันและต่อโลกใบนี้

    แม้จะมีอีกหลายประเด็นแต่คิดว่ายังจับได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไรจากการดูแค่รอบเดียว ตอนแรกเป็นซีรีส์ที่ดูจบแล้วยังสองจิตสองใจว่าชอบหรือไม่ชอบกันแน่ ใจนึงชอบความอลังการของพล็อตและความตั้งใจของงานโปรดักชั่น อีกใจก็ลังเลกับสไตล์การเล่าเรื่องแบบนี้และจำนวนตัวละครที่เยอะมากจนต้องตั้งใจดูมาก ๆ 

    พอดูจบสักพัก ตกผลึกแล้วถึงคิดว่ามันเป็นซีรีส์ที่ท้าทายดี ยิ่งลงรายละเอียด ยิ่งตั้งใจเพ่งมากเท่าไร ยิ่งเห็นเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เราชอบเรื่อง time travel หรืออะไรพวกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยรู้สึกว่ายังไงก็ต้องเอาชนะให้ได้ 555 ยังไงก็รอดูซีซั่นต่อไปว่าจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์อีกหรือเปล่า


    ใครอ่านแล้วมาพูดคุยกันได้นะคะ






    อ้างอิง

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in