เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Films speak for mepuroii
Swiss Army Man (2016) : ตดที่ทำให้คุณหลั่งน้ำตา


  • Directors : Dan Kwan, Daniel Scheinert

    Casts : Paul Dano, Daniel Radcliffe, Mary Elizabeth Winstead


    มาทำความเข้าใจกันก่อนอ่าน

    1. เราไม่ได้เล่าเรื่องย่อละเอียดนัก อาจเหมาะกับคนที่ดูแล้วมากกว่า เหมือนมานั่งคุยกันหลังดูหนัง (แต่คนยังไม่ดูก็อ่านได้ ถ้ารับ spoilers ได้)
    2. เราไม่ตัดสินหนังด้วยตัวเลข เพราะฉะนั้นเราจะไม่ให้คะแนน แต่อยากให้อ่านแล้วคิดเอาเอง เพราะคุณค่าของอะไรบางอย่างก็ตัดสินด้วยตัวเลขไม่ได้
    3. เราไม่มีความรู้เรื่องหนังหรือการแสดง เขียนจากความรู้สึกและความคิดเห็นส่วนตัวล้วน ๆ ถ้าผิดก็ทักท้วงได้


    วันก่อนได้ดูเรื่อง Swiss Army Man มา อย่างที่ทุกคนรู้ว่ามันเป็นหนังที่ได้รับความสนใจมากตอนพรีเมียร์เมื่อต้นปีที่ Sundance Film Festival (แต่ดันไม่มีใครเอาเข้ามาฉายที่ไทย) และสุดท้ายก็ถูกทุกคนเรียกว่า “หนังศพตด” กันไปหมด ในขณะที่ทุกคนคาดหวังว่ามันจะตลกและสร้างเสียงหัวเราะ ซึ่งหนังก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลย แต่หลายคน รวมทั้งเราเอง ก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะแฝงคำถามเกี่ยวกับชีวิตไว้มากมายขนาดนี้


    “We wanted to start with a joke but end with a fart that makes you cry,”
    เราอยากสร้างมุกตลก แต่จบด้วยตดที่ทำให้คุณหลั่งน้ำตา
    - Daniel Schneinert


    ทำไมต้อง “Swiss Army Man”

     สำหรับใครที่งุนงงที่มาของชื่อเรื่อง Swiss Army Man ที่จริงแล้วมันมาจาก Swiss Army Knife เจ้ามีดพับหลากประโยชน์ที่พ่อใครสักคนคงซื้อมาเก็บไว้ที่ลิ้นชักในบ้าน เพราะแฮงค์ (แสดงโดย Paul Dano) ที่กำลังสิ้นหวังในชีวิตและกำลังจะฆ่าตัวตาย ได้เจอกับแมนนี่ ศพที่ขึ้นมาเกยอยู่บนหาด (แสดงโดย Daniel Radcliffe) และทำให้เขาเปลี่ยนใจกับการตัดสินใจนั้น สุดท้ายแฮงค์ก็พบประโยชน์มากมายจากศพนี้เหมือนกับเป็นมีดพับสารพัดประโยชน์ เลยเป็นที่มาของ Swiss Army Man

    นี่คือหน้าตา swiss army knife

    Neo-Sincerity?

    มีนักวิจารณ์คนหนึ่งเคยจัดหนังเรื่องนี้ไว้ในประเภท neo-sincerity ซึ่งเราว่ามันก็ใช่เหมือนกัน อ้าว แล้ว neo-sincerity คืออะไรล่ะทีนี้ ถ้าจะพูดอย่างสังเขปมันก็เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับแนว irony หรือแนวเสียดสีสังคมนั่นแหละ แต่ neo-sincerity ตามที่ Art Spiegelman นักวาดการ์ตูนและบรรณาธิการ (คนที่เขียนเรื่อง Maus กราฟฟิกโนเวลที่ชนะรางวัล Pulitzer) บอกไว้คือ “Sincerity built on a thorough grounding in irony, but that allows one to actually make a statement about what one believes in.” หมายความว่า เรามีสิทธิมีเสียงที่จะแสดงความคิดเห็นตามที่ตนเองเชื่อ ไม่ใช่มาประชดประชัน คิดอย่างพูดอย่างแบบ irony ซึ่ง Swiss Army Man ก็แสดงส่วนนั้นออกมาผ่านบทแมนนี่ได้ชัดเจน

    ปล. หนังของ Wes Anderson ก็ถูกกล่าวว่าเป็น neo-sincerity เหมือนกันนะ




    Friendship and Romance

    “It's like the least masculine bro comedy ever,”
    - Dan Kwan

    เราชอบส่วนนี้ของหนังที่แสดงถึง gender fluidity ชอบความสัมพันธ์ของสองคนนี้ที่แสดงออกมาในการเล่าเรื่อง มันมีทั้งส่วนที่เป็น friendship และ romance ผสมปนเปอยู่รวมกัน มันไม่ใช่หนังประเภทที่มีดูโอ้กล้ามแน่นออกตามล้างแค้นคู่อริ หรือพี่น้องวงดนตรีระดับตำนานที่ฟาดกันด้วยไม้คริกเก็ต แต่มันเป็นหนังที่มีผู้ชายใส่ชุดผู้หญิง และทั้งสองคนจูบกันอยู่ใต้น้ำ ผู้กำกับทั้งสองเองก็บอกว่ามันไม่ใช่หนังผู้ชายแมน ๆ เหมือนเรื่องอื่นหรอกนะ และพวกเขาเองก็ไม่ใช่แบบนั้นเหมือนกัน ทุกอย่างในหนังมันก็มาจากจุดนั้นนั่นแหละ

    “I think neither of us are very hard, masculine boys. We're very much somewhere in the middle of that spectrum and growing up we never really fit into any definition of boys who like sports or are really good at driving cars really fast. I wore girls' jeans and painted my fingernails and listened to emo music when I was in high school. So this movie just kind of came from that.”

    ทั้งแฮงค์และแมนนี่รู้สึกดีต่อกัน แน่นอนว่ามันเริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อน แต่ตามเรื่องราวไปจะพบว่าสองคนนี้รู้สึกต่อกันมากกว่านั้น ไม่ว่าแฮงค์จะแต่งตัวเป็นซาร่ายังไง แต่ท้ายที่สุดแล้วแมนนี่ก็มองทะลุเสื้อผ้าพวกนั้นให้เห็นแฮงค์ตัวจริงอยู่ดี เราว่าเขาบาลานซ์เรื่องนี้ได้ดี ไม่ยัดเยียดมากเกินไปหรือเปลี่ยนไป make fun แทน ทุกอย่างลื่นไหลมาก ดูเป็นธรรมชาติอย่างที่มันควรจะเป็น และในความเป็นจริงแล้ว มันก็ไม่ควรจะเป็นเรื่องแปลกเลยด้วยซ้ำ 



    การช่วยตัวเอง ตด และขี้ที่ทำให้คุณซาบซึ้ง

    เป็นหนังที่ทำให้เรารู้สึกประหลาดมาก ในขณะที่ฟังคนสองคนคุยกันเรื่องการช่วยตัวเอง แต่ดันน้ำตารื้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น มันเป็น guilty pleasure ที่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้จริง ๆ อย่างเรื่องการช่วยตัวเองที่แฮงค์บอกไว้ว่าแม่เคยจับได้ตอนเด็กแล้วขู่ว่าช่วยตัวเองครั้งหนึ่งจะทำให้อายุสั้นลง แต่หลังจากนั้นแม่แฮงค์ก็เสียชีวิตไป แล้วเวลาที่แฮงค์ช่วยตัวเองมันทำให้นึกถึงแม่ทุกครั้ง นั่นทำให้เขาไม่ช่วยตัวเองอีก เพราะเขารู้สึกเศร้ามาก ตอนหลังแมนนี่พูดกับแฮงค์ว่า “ฉันไม่รู้หรอกว่าการช่วยตัวเองมันเป็นยังไงและทำยังไง แต่มันคงเหมือนลมที่พัดให้เส้นผมปลิวสยาย หรือขับรถด้วยความเร็วสูง หรือลิ้มรสอาหารที่ตัวเองชอบ หรือเต้นรำกับเพื่อน หรือร้องเพลงโปรดของตัวเอง หรือนั่งรถโดยสาร หรือมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วทำไมถึงปฏิเสธที่จะทำมันล่ะ ฉันแค่คิดว่าแม่อยากให้นายมีความสุขไม่ใช่เหรอ” แล้วผู้กำกับทั้งสองก็ใช้ภาพ montage ของเหตุการณ์ที่ทั้งคู่ทำร่วมกันก่อนหน้านี้ด้วยสีหน้ามีความสุขฉายไปพร้อมกับไดอะล็อกที่แมนนี่พูด ดูแล้วทำให้รู้สึกตื้นตันขึ้นมาได้


    ชื่นชมที่ทั้งสองผู้กำกับยกเรื่องที่น่าอายในสังคมมาทำให้มันเป็นเรื่องที่สามารถพูดคุยออกมาได้ปกติ…ก็แหงล่ะ เพราะมันเป็นเรื่องปกตินี่!


    ภาพสะท้อนของตัวเรา

    แฮงค์กับแมนนี่เป็นเหมือนภาพสะท้อนของกันและกัน แมนนี่เป็นเหมือนแฮงค์ในอีกเวอร์ชั่นที่อยากจะเป็น แต่เป็นไม่ได้ หรือยังไม่ได้เป็น

    ในขณะที่แฮงค์ไม่กล้าทำอะไร ถูกลิมิตด้วยสายตาของสังคม เช่นว่า การตดต่อหน้าผู้คนเป็นเรื่องน่าอายและไม่ควรทำ แต่แมนนี่ที่ไม่มีภูมิหลังให้รับรู้ ไม่เข้าใจสังคมมนุษย์ ทำให้แมนนี่สามารถทำอะไรที่จริงใจกับความรู้สึกตัวเองได้ จะพูด จะคิดอะไรก็ไม่รู้สึกกลัว เป็นความรู้สึกเหมือนเด็กที่เพิ่งเกิดแล้วยังไม่ถูกป้ายด้วยความโสมมของโลกใบนี้ นั่นเป็นสิ่งที่แฮงค์ทำไม่ได้และรู้สึกอิจฉาอยู่ลึก ๆ จนกระทั่งได้ใช้ชีวิตกับแมนนี่ แฮงค์เลยรู้ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ใช่การได้รับความยอมรับจากทุกคนในสังคม แต่เป็นความสุขที่เกิดจากการจริงใจกับตัวเองและการอยู่กับคนที่สามารถยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นได้ เลยทำให้แฮงค์ยอมรับและตดต่อหน้าคนอื่นในซีนสุดท้าย ที่ทำให้เขาได้เป็นอิสระจากอะไรก็ตามที่ครอบงำจิตใจตัวเองอยู่และแสดงให้เห็นพัฒนาการของตัวละครตัวนี้




    ____________________________

    เราว่ามันเป็นหนังที่เนื้อแท้เป็นประเด็นที่ไม่เบาเลย เรื่องราวดีลกับความขัดแย้งในตัวเอง ความขัดแย้งกับคนอื่น ความขัดแย้งกับสังคม แต่หนังสื่อออกมาผ่านเรื่องอารมณ์ขันและเข้าถึงง่าย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจ อีกทั้งการกำกับภาพยนตร์ที่ดี โลเคชั่นสวย cinematography งาม เพลงประกอบที่กระตุ้นอารมณ์ในแต่ละซีนได้ดีมาก อีกทั้งการมองโลกผ่านสายตาของตัวละครที่น่าสนใจอย่างแมนนี่ทำให้เรายิ้มให้กับความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันได้ ก่อนดูเคยหวังไว้แค่ไหน พอดูจบกลับได้ไปมากกว่านั้น เป็นหนังที่สร้างความประทับใจให้เรามาก อยากให้ทุกคนได้ดูกัน

    ปล. อีกอย่างถ้าใครยังดูแล้วยังพูดว่า "แดเนียลเล่นบทอะไรก็ยังเป็นแฮร์รี่อยู่" งั้นเราว่าแฮร์รี่ที่เรารู้จักคงเป็นคนละคนกันแล้วล่ะ :



    ใครคิดเห็นยังไงก็พูดคุยกันได้ที่ → @PuRoii
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in