ผ่านมา 13 ปีนับตั้งแต่ Finding Nemo เข้าฉาย สร้างความประทับใจไว้แก่ผู้ชม
และดูเหมือนผู้กำกับอย่าง AndrewStanton จะยังไม่ลืมความฝันที่เคยวาดไว้แต่เดิมที่จะสร้างแอนิเมชั่นที่บอกเล่าเรื่องราวของเจ้าปลาสีน้ำเงินครีบสีเหลืองที่มีชื่อดอรี่(Dory) ประเภทของหนังก็จะเป็นแนว Animation,Adventure, Comedy
เรื่องราวผ่านไป1 ปี จากการกลับบ้านของ Nemo Finding Dory เปิดเรื่องอย่างค่อนข้างหม่นเศร้าว่าด้วยเรื่องของเจ้าลูกปลาน้อย Dory ที่ป่วยเป็นโรคความจำสั้นจนต้องพลัดหลงกับพ่อแม่ของตัวเองวันแล้ววันเล่าเจ้า Dory ไล่ถามไถ่หาพ่อแม่ตัวเองจากสัตว์ตัวอื่นๆ ในท้องมหาสมุทร แต่ก็ไม่สามารถกลับบ้านได้จนนานวันเข้าจนเติบโตมันก็หลงลืมไปแล้วว่ามันพลัดหลงจากใครหลงลืมว่าตัวเองกำลังหาอะไร รู้แค่เพียงว่าตัวเองชื่อ Dory และเป็นปลาขี้ลืมตัวหนึ่งมีเพื่อนเป็นปลาการ์ตูนพ่อลูกอย่าง Marlin และ Nemo ที่ต้องคอยตามดูแลไม่ให้ปัญหาเรื่องความทรงจำสั้นของ Dory ก่อปัญหาให้ตัวเธอเองคือใครๆ ต้องวุ่นวาย จนวันหนึ่ง Dory เกิดระลึกขึ้นมาวูบหนึ่งได้ว่าเธอเคยพลัดหลงจากพ่อแม่เธอการเดินทางเพื่อตามหาพ่อแม่ของเธอซึ่งความหมายทาบทับกับการตามหาว่าเธอเป็นใครนอกจากDory ปลาขี้หลงลืมตัวหนึ่งจึงได้เริ่มต้นขึ้น
การเดินทางครั้งนี้เปรียบเสมือนจิ๊กซอที่พาท่านผู้ชมเข้าไปอยู่ในความทรงจำที่แทบจะเลือนลางของ Dory การต่อจิ๊กซอที่หายไปให้กลับมาสมบูรณ์ขึ้นอีกครั้ง ถึงกระนั้นก็นับถือความพยายามของตัวเอก Dory ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นโรคความจำสั้นแต่เธอก็ไม่ลดละที่พยายามจะหาชิ้นส่วนจิ๊กซอที่หายไปของเธอ และตลอดการผจญภัยก็ต้องเจออุปสรรคมากมาย เธอไม่ได้ย่อท้อต่อปัญหาเหล่านั้นมีความกล้าหาญอย่างไม่น่าเชื่อ มั่นใจว่าถ้าใครกำลังท้อแท้กับเรื่องอะไรอยู่ก็ตามแล้วได้มาดูหนังเรื่องนี้น่าจะมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะ
ภาพและเสียงก็สวยงามตามแบบ Pixar อยู่แล้ว สิ่งที่แฝงอยู่ในหนังก็คือ ทำไม Dory ถึงพูดภาษาวาฬได้ อาจจะได้รู้กันในหนังเรื่องนี้นั้นเอง FindingNemo และ Finding Dory นั้นล้วนแล้วก็พูดถึง “ครอบครัว” ภาคแรกพูดถึงความรักระหว่างพ่อลูก ส่วนภาคที่สองก็พูดถึงความรักของครอบครัวอันที่จริงพล็อตมันอาจจะซ้ำซาก แต่ด้วยวิธีการเล่าเรื่องของผู้กำกับแอนดริวแสตนตัน ที่ใส่ฉากแฟลชแบ็คย้อนความทรงจำของดอรี่ มาให้คนดูเห็นเป็นระยะระยะ ทำให้คนดูเหมือนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ ก็ทำให้คนดูสัมผัสถึงความรักของเจนนี่และชาลี (ไดแอน คีตันและยูจีน เลวี) พ่อและแม่ของดอรี่ที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องลูก
ให้การ์ตูนเรื่องนี้ดูน่าสนใจขึ้นตัวละครใหม่ๆ มาสร้างสีสัน เรียกเสียงหัวเราะ เรานั่งอมยิ้มทั้งเรื่อง แฮงค์หมึกนักสืบ , เดสทินี่ ฉลามวาฬจอมซุ่มซ่าม ,เบย์ลีย์ วาฬเบลูก้าที่ค้นพบพลังในตัวเอง , เบ็คกี้ นกน้ำสุดเพี้ยน ,รวมถึงสิงโตทะเลจอมกวน ฟลูค และ รัดเดอร์ และสถานที่ใหม่ คือ ศูนย์วิจัยที่ทำออกได้ดีไม่ได้อยู่แค่ในทะเลเดิมๆ แล้ว
หนังจะดูเหนือยๆในช่วงแรก แต่จะน่าติดตามและลุ้นไปกับ Dory ในช่วงกลางๆของเรื่อง หนังแอบทำให้มีน้ำตาคลอเบาๆ อยู่ด้วย ส่วนเรื่องที่ไม่ชอบติดอยู่ตรงที่ว่า Dory ออกจะดูน่ารำคาญไปสักนิดในแง่ที่ว่า การพูดซ้ำไปซ้ำมา และบางครั้งก็พูดเร็วจนเกินไปถ้าใครได้ดู soundtrack ก็ต้องมีอ่านไม่ทันกันบ้างละ ปลายเหตุจะเป็นเพราะว่า Dory ขี้ลืมจึงต้องย้ำคิดย้ำทำ จึงทำให้เธอต้องรีบพูดรีบทำอยู่เสมอ
หนังนำเสนอประเด็น "ความทรงจำกับความรัก" ความสัมพันธ์ของครอบครัวออกมาได้อบอุ่นเช่นเดียวกับเรื่องมิตรภาพ ของเพื่อนสัตว์นํ้ารอบตัว Dory ที่คล้ายกับคนในครอบครัวเช่นกัน
การให้ค่ากับมิตรภาพ ที่คอยยืนอยู่เคียงข้างคนที่เรารัก อย่างอดทนเข้าใจการแก้ปัญหาที่คือการเผชิญหน้ากับต้นตอปัญหาไม่ใช่การวิ่งหนี โดยมีคนข้างๆ เป็นตัวแปรที่สำคัญ Finding Dory จึงหมายความได้ทั้งการที่ Dory ต้องตามหาตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองโดยเผชิญหน้ากับมัน และการที่ปลาผู้มีความเป็นพ่อคอยห้ามปราม Dory อยู่เสมออย่าง Marlin ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่เคียงข้างและแสดงความรักบนฐานของสิ่งที่ Dory เป็นถึงแม้กระแสตอบรับดูจะไม่ได้ดังเท่าภาคแรกสุดคลาสสิคอย่าง Finding Nemo (2003) อยู่พอสมควรแต่ในด้านคุณภาพโดยตัวมันเอง Finding Dory ก็มีความครบรสทั้งความคิดสร้างสรรค์และแก่นสารที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างให้ทุกคนลองร่วมออกเดินทางไปตามความทรงจำอันเลือนลางของโดรี่
" จะดีไหมถ้าเราลบความทรงจำที่เลวร้ายออกจากซีวิตได้ "
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in