"ชีวิตไม่ใช่การเดินทาง แต่การเดินทางจะทำให้เรามองเห็นชีวิต”
พี่โตน โซฟา
ฮ่องกงกับฉัน..เราพบกันครั้งแรกเมื่อ 7 ปีก่อน
สารภาพว่าก่อนที่จะได้เดินทางไปเยือนฮ่องกง ในสมองนั้นว่างเปล่า ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับบ้านนี้เมืองนี้ในหัวเลย (ซึ่งอันที่จริงก็อาจจะแบลงก์อยู่แล้วเป็นปกติ) ฮ่องกงที่รู้จักในมโนสำนึกอาจมีเพียงแค่หว่อง การ์ไว อาจารย์ยิปมัน ปรมาจารย์หย่งชุน, บรู๊ซ ลี และเฉินหลง ถึงจะเป็นการรู้จักที่ไม่ได้ก่อให้เกิดความอุ่นใจอะไร แต่ก็คงจะทำให้การไปเยือนฮ่องกงไม่เดียวดายจนเกินไปนัก
ฮ่องกงในที่ไม่ได้รู้จักลึกซึ้ง จึงมีแค่หนังฮ่องกง ตึกสูงเสียดฟ้า ป้ายไฟนีออนเรียงราย เมืองที่เศรษฐีเมืองไทยบินไปทานห่านย่าง ช็อปสินค้าแบรนด์เนมที่ราคาถูกกว่าเมืองไทย ไปไหว้พระขอแฟน ขอลูก เมืองที่ประชากรมากมายยิ่งกว่าป้ายไฟ เมืองที่ไม่น่าจะอภิรมย์สำหรับคนที่ชอบใช้ชีวิตต๊ะต่อนยอนฟ้อนเล็บ เมืองคนเหงาอันวุ่นวาย ผู้คนเบียดเสียด ไม่มีพื้นที่ให้หายใจหายคอ ที่พอจะถูกจริตอยู่บ้างก็คงจะเป็นร้านมิชลินสตาร์ที่ควรค่าแก่การไปโดน แต่จะเป็นเมืองอะไรก็ช่าง โบราณว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เชื่อคำโบราณหน่อยก็คงไม่เสียหายหลายแสนหรอกเนอะ
เมื่อ HX766 พาคนโดดเดี่ยวข้ามฟ้ามาเมืองหว่อง ถึงสนามบิน Shek lap kok ที่เต็มไปด้วยประชากรชาวอินเดียมากกว่า 60% ข้าพเจ้าถึงขั้นยืนงงในดงภาระตะเลยครับ พี่ไพล็อทพามาลงผิดสนามบินแน่ ๆ เมื่อเช็คจนแน่ใจแล้วว่าที่ยืนอยู่นี่คือเช็ก แลป ก๊อก ฮ่องกง ไม่ได้หลงไปอินทิราคานธีแต่อย่างใด
ฉันเอ้อระเหยอยู่ในสนามบิน เดินหากาแฟดื่มก่อนสักแก้ว ในสนามบินมีร้านกาแฟอยู่ไม่น้อย ที่คิดไว้ในใจก็มีกาแฟน้องเงือกและคาเฟ่ของอานยาส เบ (Agnès b) แน่นอนว่าต้องเลือกอะไรที่บ้านเราไม่มี ดื่มกาแฟเสร็จ พอให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ฉันเลือกเข้าเมืองด้วย City bus รถบัสสองชั้นสาย A21 สนนราคาจากสนามบินไปยังสถานีจิมซาจุ่ย (Tsimsha Tsui) เพียง 33hkd คิดเป็นเงินไทยประมาณ 150 บาทไม่เกินนี้ ใช้เวลา 45-55 นาที ข้อดีคือถูกและได้ชมวิวสวย ๆ ระหว่างทาง จากเกาะสู่เมือง ผ่านสะพานซิงหม่า (Tsingma Bridge) ที่เหมือนในฉากหนังฮ่องกง ยิ่งถ้าได้นั่งชั้นสองแถวหน้าสุด พี่ก็จะได้วิวงาม ๆ ไว้ถ่ายรูปลงโซเชียล แต่ถ้าเลือกที่จะนั่ง Airport express เข้าเมือง จะใช้เวลาประมาณ 20 นาที สนนราคา 90 เหรียญฮ่องกงดอลลาร์ ก็ราว ๆ ห้าร้อยบาทเลยทีเดียว ได้ความไวแต่ไม่ได้วิว คนมัถยัสถ์อย่างพี่จึงเลือกวิวโดยไม่ลังเล การนั่ง AE ค่อยเป็นเรื่องของวันข้างหน้า
เมื่อ City bus พามหาชนจากสนามบินมาถึงสถานีจิมซาจุ่ย หรือที่คนฮ่องกงออกเสียงว่าจิมซาโจ่ย ถึงตอนนี้ต้องขออนุญาตร้องเป็นภาษาฮินดีนะคะ เพราะย่านนี้มันคือ Little India ชัด ๆ ไม่ลิทเทิลล่ะ แต่เพลนทิออฟอินเดียนเลย ฉันแบกเป้ ลากกระเป๋าฝ่ากลิ่นน้ำหอมคล้ายกำยานเข้าไปในตึกจุงกิ่ง (Chungking mansions) ด้วยอารมณ์ประหนึ่งตัวเองเป็นสาวผมทองแว่นดำ ใส่เรนโค้ทตลอดเวลา แม้ว่าฝนจะไม่ตก สาวผมทองผู้ที่วิ่งไล่ล่าคนอินเดียในหนัง Chungking Express โดยมีซาวนด์ Baroque- Michael Galasso เป็นแบ็คกราวด์ ฟังดูเท่จนอยากจะหยิบแว่นตากันแดดมาสวมให้เหมือนในหนัง ทั้งที่ความจริงนั้นอาชีพเอเจนต์ค้ายาเสพติดของสาวผมทองไม่ได้มีตรงไหนที่เท่เลย แต่หว่อง การ์ไวก็สร้างเธอจนฟัดหัวใจให้โลกตะลึงมาแล้ว
ดูหนังจบเป็นรอบที่ร้อย แต่ยังไม่เคยมาเยือนฮ่องกง เคยนึกสงสัยว่าทำไมเป็นหนังฮ่องกงที่มีแต่แขกเนปาล อินเดียมากขนาดนี้ มารู้ชัดก็วันนี้ แถมเวลาเดินผ่านร้านอาหาร กลิ่นแกงกะหรี่ก็ลอยมาประทะใบหน้า ให้ความรู้สึกนี่ตูมาฮ่องกงจริง ๆ ใช่ไหม สับสนทางใจหลายรอบมากแม่ แต่แกงกะหรี่อินเดียที่นี่อร่อยยืนหนึ่งนะคะ หอมเครื่องเทศ รสกลมกล่อมจนอยากจะซื้อกลับไทยมาก ไม่เชื่อให้มาลอง อาจจะฟังดูประหลาด แต่ถ้ามาฮ่องกงก็จงอย่าพลาดอาหารอินเดีย
ฉันพบว่าฮ่องกงไม่ได้มีผู้หญิงผมทองวิ่งไล่ล่าคนร้าย ไม่มี cop223 ที่ไล่โทรหาคนนั้นคนนี้ เพื่อกลบความเปลี่ยวเหงาในใจหลังจากโดนบอกเลิก ไม่มีเฟย์หว่อง แห่ง Midnight express ที่คอยเปิดเพลง California dreamin’ ดังลั่นร้าน ไม่มี Cop663 มาซื้อเชฟสลัด และแน่นอนว่าไม่มีใครลึกซึ้งกับ Central mid-levels-escalators (บันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดในโลก ถูกบันทึกไว้ใน Guinness World Records วัดระยะในแนวดิ่ง จะมีความยาวถึง 800 เมตร) บันไดเลื่อนที่อาเฟยใช้เดินทางไปบ้าน Cop663 นั่นแหละ
แน่นอนว่าคนฮ่องกงในชีวิตจริงที่เดินสวนกันไปมาไม่เหมือนคนฮ่องกงในหนัง ไม่ค่อยมีใครมานั่งกระทำความหว่อง ใช้ชีวิตเนิบช้า แต่สิ่งที่ฮ่องกงมี และเป็นสิ่งที่ฉันคิดว่ามันสุดจะคูลเลยนั่นคือวัฒนธรรมผสมสานระหว่างความเป็นตะวันออกและตะวันตกอย่างลงตัว เป็นความฮ่องกงแบบยูเรเชียนเท่ ๆ เพราะฮ่องกงอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษมาตั้งแต่ปีค.ศ.1841 ก่อนจะส่งคืนให้จีนในปี ค.ศ.1997 (ยกเว้นอยู่ในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครองระหว่างปีค.ศ.1941-1945) ถ้าดูหนังฮ่องกงย้อนยุคก็จะเห็นธงชาติบริติชแห่งบริเตนอยู่ในหนังด้วย ฮ่องกงเองไม่ได้ละทิ้งวัฒนธรรมที่มีมาแต่ดั้งเดิมของพวกเขา แต่เราจะเห็นความเข้ากันได้ดีของวัฒนธรรมทั้งสองฝั่ง ไม่ได้บอกว่าการเป็นอาณานิคมเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่างน้อยผลที่ออกมาก็ไม่ได้แย่
ฮ่องกงมีป้ายไฟสวย ๆ ที่เป็นเสน่ห์อย่างมากมายไม่มีที่ไหนเหมือน ถึงจะดูคึกคักแบบนี้ แต่เวลาที่นั่งรถผ่านยามค่ำคืน ฉันกลับพบว่ามันดูเหงาอย่างประหลาด เสียงเพลงและเสียงโฆษณาชวนเชื่อดังกระหึ่มแต่ไม่ดังไปกว่าเสียงเต้นของหัวใจของคนที่นี่ เป็นความคึกคักอันอ้างว้างที่อธิบายมาเป็นคำพูดไม่ได้เลย
การเดินทางทำให้ฉันเฝ้ามองวิถีชีวิตของผู้คนที่แตกต่างกันอย่างเงียบ ๆ การออกจากเซฟโซนสำหรับใครบางคนอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การไม่ยอมก้าวออกจากพื้นที่ตรงนั้น สักวันอาจเห็นว่าโลกมันยาก
กับผู้คนที่เดินสวนกันไปมา เราต่างเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน การเดินทางมายังสถานที่ที่ไม่เคยคุ้นเพียงลำพังโดยที่ไม่มีใครรู้จักแม้แต่ชื่อเรามันรู้สึกดีแค่ไหน เป็นความเปล่าเปลี่ยวอันแสนสบายใจ บางครั้งฉันชอบทำความคุ้นเคยกับสถานที่มากกว่าจะปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เพราะผู้คนอาจซับซ้อนเกินไป เกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง หรือบางทีอาจเป็นฉันเองที่ซับซ้อนเกินไปก็ได้ การใช้ชีวิตลำพังทำให้ฉันอาจเสพติดกับความเหงา จนเรากลายเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันไปแล้ว ข้อดีของการเดินทางคนเดียวคือการได้ทำอะไรตามใจ แต่พอเจอเรื่องสนุก ก็คงไม่รู้จะหันไปหัวเราะกับใคร
คนฮ่องกงเดินไวกันชนิดที่คนไทยเรียกกันว่าไวกระบือหาย ด้วยความเร็วประหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง สัญญาณข้ามถนนยังไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียวพี่ก็เดินไปอีกฟากฝั่งของถนนแล้ว พอจะอนุมานได้ไหมว่าคนฮ่องกงใจร้อน ไม่ชอบรอ เพราะสำหรับพวกเขาเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็มีค่า เวลาเป็นเงินเป็นทอง แต่การเดินทอดน่องของฉันไม่เป็นปัญหาต่อพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ตราบใดที่ฉันยังเดินอ้อยอิ่งอยู่ในทางของฉันเอง โดยที่ไม่ก้าวก่ายพวกเขา ถึงจะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนนับพัน เราต่างเป็นคนของโลกใบเดียวกัน แต่ก็ยังแปลกหน้าต่อกันอยู่ดี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in