ต่อไปนี้ก็จะใช้ชีวิตที่จะเป็นกิจวัตรมากขึ้น คือตื่นไปศาลาทราย ฟังคุณเมตตาบรรยายนิดหน่อย ปฏิบัติสมาธิ เดินจงกรมตามอัธยาศัย ถึงเวลาก็ไปออกกำลัง พอออกกำลังเสร็จก็มานั่งฟัง พอฟังเสร็จก็นั่งสมาธิ พอเสร็จก็ไปกินข้าว ทำเวร (กิจกรรมอาสาสมัคร) พักผ่อนตามอัธยาศัย ฟังบรรยายและฝึกปฏิบัติ พักเที่ยง พักผ่อนตามอัธยาศัย ฟังบรรยายและฝึกปฏิบัติ พักดื่มน้ำปานะ พักผ่อนตามอัธยาศัย ฟังบรรยายและฝึกปฏิบัติ เดินจงกรม เข้านอน วนเวียนไปเรื่อย
ก็จะขอเล่าเป็นเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของที่นี่ก่อนจะดำเนินเรื่องหลักต่อไป (เชิงเทคนิคจะเรียกไซด์สตอรี่ได้มั้ยนะ) ก็คือที่นี่ในตอนแรกเลยที่ผมสังเกตได้คือเป็นสถานที่ที่ไม่ใช้ธูป เพื่อไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรเลย พออยู่ไปสักพักก็ทำให้เข้าใจว่าอ๋อ ที่นี่นั้นได้ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจริง ๆ มินิมอลจริง ๆ ครั้งหนึ่งคุณเมตตาก็ได้กล่าวว่า ในที่นี่จะไม่มีการจุดธูปบูชาอะไรทั้งนั้น ทุกสิ่งถ้าอยากปฏิบัติได้ ก็ขึ้นอยู่กับเราเอง เราอยากทำอะไรหรืออยากได้อะไรมา ก็ขึ้นอยู่กับเราทั้งหมด การขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ช่วยอะไร ซึ่งผมก็มองว่านี่แหละมัน Realistic จริง ๆ อยากได้ ให้ทำเอง ไม่มีใครมาช่วยแม้กระทั่งสิ่งที่มองไม่เห็น
ที่นี่บอกทำนองว่า ไม่มีผี คือในทางพุทธ (จริง ๆ) แล้วปฏิเสธตัวตนแบบนั้น ซึ่งพอเราฟังแบบนี้เราก็ใจชื้นขึ้นมาว่า โอเคต่อไปจะพยายามไม่กลัวผีและ เพราะความกลัวก็เป็นอวิชชาอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ทุกข์ จนมีวันหนึ่ง ตอนช่วงเช้ามืด ผมเดินจงกรมอยู่ จิตกำลังนิ่งในระดับหนึ่ง แต่พอได้เห็นเงามืดด้านหน้า ก็ใจหายแวบ! ก่อนที่เค้าจะเดินสวนเราไป เพื่อนร่วมคอร์ส! ไม่ใช่ผี! ก็เลยตั้งสติแล้วก็เดินจงกรมต่อไป
ตั้งแต่มาครั้งแรกตอนที่ปฐมนิเทศ ออปชั่นเสริมของที่นี่น่าสนใจมากครับ เนื่องจากที่นี่มีน้ำร้อนจากธรรมชาติไหลเข้ามาในสถานที่นี้ด้วย จึงมีบ่อน้ำร้อนให้อาบครับ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนักหรอกครับ ยังหนุ่มยังแน่นแบบนี้ ไม่เห็นต้องใช้เลย...
พอปฏิบัติไปได้สองวัน วันที่สามก็เริ่มต้องหยิบน้ำมันมวยบ้าง เคาเตอร์เพนบ้าง มาทาถู ทาถูก กันตัวหอมอบอวลมากครับ แล้วพอปฏิบัติมาก ๆ ตั้งใจมาก ๆ ก็เครียดนะครับ อยากหาอะไรผ่อนคลาย คือที่นี่จะให้มาฮัมเพลง ร้องคาราโอเกะ ช้อปปิ้งที่สยาม ก็ทำได้ซะเมื่อไรเล่า ในระหว่างเครียดๆ พอถึงช่วงเย็น พอเดินกลับมาแถวที่พัก เห็นบ่อน้ำร้อนว่างอยู่ แต่ก็ขี้เกียจไปเตรียมอุปกรณ์ ต่าง ๆ นานา แล้วก็ไม่รู้จะอาบยังไงไม่ให้โป๊ ขี้เกียจคิดอะไรมาก เอาวะ เอาเท้าไปจุ่มก็พอ ผมก็จัดแจง ถลกขากางเกงขึ้น เอาเท้าหย่อนลงในบ่อ... สำหรับท่านที่ไม่เคยแช่บ่อน้ำร้อน ท่านอย่าผลีผลามจุ่มลงไป ดั่งกับท่านกำลังร้อนแล้วรีบถลาตัวลงไปกระโดดน้ำให้เย็นชุ่มหัวใจอยู่เชียว มิฉะนั้นท่านอาจจะต้องเผลอสบถออกมาดัง ๆ "เชี่ย! ร้อน ๆๆๆๆ สุก (แต่ไม่สุข) หมดแล้ววววว!" เพราะว่าร่างกายเรายังไม่ได้ปรับให้เข้ากับอุณหภูมิของน้ำร้อน ทำให้เรารู้สึกร้อนมากๆ ดังนั้นเวลาไปแช่ ต้องค่อย ๆ จุ่ม พอเท้าแตะน้ำ ท่านอาจจะซี้ดปากเบาๆ แต่พอสักประมาณนาทีสองนาที ท่านจะปรับตัวได้ ท่านจะลืมทุกสิ่งอย่างในชีวิต ท่านจะหลอมตัวตนเข้ากับบ่อน้ำร้อนนั้นอย่างกลมกลืน ท่านจะ อ้าห์! ซาโตริ! ส่วนถ้าแช่ ๆ ไป ความร้อนเริ่มไม่พอก็ลองขยับขานิดนึง เพื่อให้ไปโดนน้ำในบริเวณอื่น ก็จะกลับมาร้อนเหมือนเดิม ในครั้งนั้นช่วยบรรเทาอาการปวดขา ปวดหัวแม่โป้งเท้าได้มากจริงๆ คือการนั่งท่าขัดสมาธินานๆ เนี่ยมันส่งผลกับเรามากจริงๆ สำหรับคนที่ไม่เคยนั่งสมาธิทั้งวันแบบนี้ การได้แช่ออนเซนแบบนี้มันเพอร์เฟคจริง ๆ
ต่อมาจะมาพูดถึงการปิดวาจาร้อยเปอร์เซนต์ทำยากมั้ย ก็ขอบอกว่าไม่ยาก สำหรับคนที่ไม่ค่อยพูดสำหรับผม แต่สิ่งที่ต้องเตรียมรับมือคือ ความคิดมันจะไหลเทเข้ามาดั่งน้ำป่า มันจะคิดนู่นคิดนี่เยอะแยะเด็มไปหมด มันทำให้เรารู้จัก ได้เห็นตัวเองชันเจนขึ้นจริงๆ สำหรับการปิดวาจา
แล้วถ้าถามว่ามีคนทำผิดกฎมั้ย เพราะมันยากนะ คำตอบก็คือมี
ในช่วงวันแรก ๆ คุณวรรณก็จะมาบอกทำนองว่า มีคนคุยกันนะ คราวนี้จะเตือนรวม ๆ ก่อน ถ้ายังเป็นอีกจะเชิญมาคุยเดี่ยว และถ้ายังเจออีกก็ได้เห็นซีนลากกระเป๋าลากเดินออกจากประตูรั้วไปหงอย ๆ ได้เลย (ท่อนนี้คุณวรรณไม่ได้บอก เป็นการมโนนึกของวัชรพงศ์เอง!) คือเชิญออก เพราะมันจะรบกวนคนที่ยังตั้งใจปฏิบัติอยู่ ซึ่งจริง ๆ ผมก็เห็นจริง ๆ แหละ จะมีอยู่คนนึง จะชอบพูดขึ้นมาลอย ๆ ไม่ค่อยจะเบาด้วยสิ หลายครั้งผมก็เผลอค้อน (แน่ะ! อย่าโทสะสิ! มาฝึกจิต ๆ ) แต่ก็คิดว่าเราก็ตั้งใจของเราไปก็ดีแล้ว
ครั้งหนึ่งผมออกจากที่พักเพื่อที่จะมาที่ศาลาทราย ก็เห็นผู้หญิงกับแม่ชีคุยกัน ภาพในหัว (มโนอีกและวัชรพงศ์) มันเหมือนกับซีนที่นางเอก (บุคลิกสาวแว่นน่ารักผมยาว เปิ่นโก๊ะ แต่เป็นคนตั้งใจมาก ๆ) กำลังท้อใจและคุยกับผู้อาวุโส (คาแรคเตอร์ราว ๆ รุ่นพี่ เก่ง ๆ นิ่ง ๆ) นั่งปรับทุกข์กันอยู่ คือเค้าก็คงท้อมากล่ะมั้ง แต่ทำไมไม่คุยกับเจ้าหน้าที่ล่ะจ๊ะ (อีกแล้ว ๆ ทำไมชอบจิก แต่พอสืบไปสืบมาก็อ๋อ คนนี้ก็เป็นอาสาสมัครเหมือนกัน แหะ ๆ ) สรุปก็คือมี
และนอกจากมีคนทำผิดกฎ พอมาวันท้าย ๆ คุณเมตตาก็ให้สังเกตอีกว่า รู้มั้ยว่าอาสนะว่างไปหลายที่แล้วนะ ดีมากที่เรายังอยู่มาจนวันนี้ได้... เฮ่ย! จริงดิ นี่เราไม่รู้เลยนะว่าเพื่อนร่วมชะตากรรมโดนคัดออกไปเยอะเหมือนกัน (ไม่เคยหันไปมองข้างหลังเล้ย! อ๋อ ผมเป็นเด็กดีครับ ผมจองแถวหน้าเลยไม่ค่อยได้หันไปด้านหลังน่ะ! ) แต่ก็ไม่รู้ว่าที่หายไปนี่โดนคัดออก หรือยอมออกเองเยอะแค่ไหนนะ (คุณณณคือจุดอ่อน เชิญค่ะ! ถึ่งทึงทึ้งทึง! (ใครตามมุขนี้ทันมันบอกอายุมาก)) คิดในทางที่ดี ในที่สุดเราก็ทนมาได้อะนะ
และแล้ววันนี้ก็มาถึง... ในกิจกรรมจะมีอยู่วันหนึ่งเป็นวันพิเศษนั่นก็คือวันพระ (สมมติ) ซึ่งก็เป็นการท้าทายขึ้นไปอีกอย่างหนึ่งคือ วันนั้นจะได้กินอาหารแค่มื้อเดียว.........
แต่เดี๋ยวก่อนนะ แค่สองมื้อ ในวันแรก ๆ กระเพาะยังโครกครากเสียงดังเลย แล้วนี่ไส้จะขาดมั้ยเนี่ย!
แล้วนอกจากนั้น! ในวันนี้นั้นเค้าเรียกว่าเข้าอุโบสถศีล คือถ้าท่านทำผิดศีลข้อใดข้อหนึ่ง ก็ถือว่าผิดหมด พังหมด... อะไรจะท้าทายกันขนาดเน้!
เช้าวันนั้นเสียงระฆังดังแก๊งๆ ตามปกติ ผมก็แปรงฟัน ล้างหน้าตามปกติ ทุกคนเข้ามาในศาลาทราย คุณเมตตากล่าวเหมือนทุกวัน ก็คือเค้าจะบอกว่าวันนี้เป็นวันที่ 25 ซึ่งเป็นการปฏิบัติวันที่ 6 ของคอร์สนี้ ซึ่งวันนี้เป็นวันพิเศษ...
ในจิตใจของวัชรพงศ์ ตั้งสติ นับวัน... เฮ้ย! วันนี้ วันพรุ่งนี้ก็จะจบคอร์สแล้ว!!!
ตัดภาพมาที่วัชรพงศ์ เดิน ๆ กระโดด ๆ หลั่นล้ากลางทุ่งลาเวนเดอร์ ที่ปลิวสะบัดด้วยสายลมแรง แดดสีทองในยามเช้าทอแสงมา... ลิงโลดมากอะครับ ในใจตอนนั้น แล้วสรุปคุณเมตตาพูดอะไรต่อบ้างอะ? ................ ไม่รู้สิครับ (แป่ว!)
ในเช้าวันนั้นพอถึงช่วงเวลาอาหาร เดินเข้ามาก็พบกับเมนูพิเศษ เฮ้ยเช้านี้เป็นข้าวสวย! และที่สำคัญมีโปรตีนจากสัตว์ นั่นก็คือไข่พะโล้!! ดึ่งดึ๊งดึ๊งดึงดึงดึ๊ง ดึ่งดึ๊งดึ๊งดึงดึงดึ๊ง
เป็นวันแรกเลยที่ได้กินโปรตีนเต็ม ๆ ขนาดนี้!
พอช่วงปัจจเวกก็เหมือนเดิมฮะ
โหววว ไข่พะโล้นี่มัน! บลา ๆๆๆๆ ง่ำ ๆ ขูดหมดชาม... (ตามเคย ตะกละทั้งนั้น)
วันนี้ก็ทำกิจกรรมคล้าย ๆ เดิมในทุก ๆ วันสังเกตตัวเองได้เลยว่าวันนี้สมาธิค่อนข้างแตกสลาย ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว คิดแต่ว่า ถ้าออกไปจะทำอะไรบ้าง
จะชวนแม่เต้นชี่กง
จะขอขมาทกคนในบ้านที่เคยทำไม่ดีไว้
จะทำการกุศล
จะ...
จะ...
โอ้ยย ฟังอะไรไม่รู้เรื่องเลย
และที่สำคัญ...
อะไรคันๆ อะ เฮ้ย ทำไมเกาแล้วมีน้ำ
ยุงเละคามือเบยยยย
โถววว วันพระของชั้น
ถ้าจำไม่ผิดวันนี้มีการอธิบายภาพประกอบการบรรยายเรื่องปฏิจจสมุปบาท ซึ่งน่าจะเป็นแก่นของคอร์สนี้เลยว่า ในช่วงเวลาแฟลชนึงเกิดอะไรขึ้นกับการรับรู้และจิตใจของเราบ้าง จนเกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมา ซึ่งพอฟังคร่าวๆ แล้วก็อืม พระพุทธเจ้าค้นพบได้ยังไงเนี่ย เพราะขั้นตอนมันเยอะมาก เท่าที่เรารับรู้ได้ก็น่าจะแค่รู้ตัวอีกทีก็โกรธแล้ว ทุกข์แล้ว
นอกจากนั้นวิทยากรท่านก็พูดถึงชาวต่างชาติที่มาเข้าคอร์สว่า แต่ละคนก็จะมีความคิดสุดโต่งมาก มีแบบแปลกๆ ก็เยอะ ซึ่งท่านก็เล่าว่าจะมีบางคนที่จะออกจากคอร์สกลางคันด้วยเหตุผลแปลกๆ ชวนหัวว่า
-ชั้นไม่ชอบอีผักชีที่ใส่ในข้าวต้มเลยให้ตายเถอะ... เออแล้วมันเกี่ยวอะไรกับการปฏิบัติธรรมเนี่ย
-ทำไมนกที่นี่ร้องเสียงดังจัง! เอ่อนกก็อยู่ของมันดีๆ อะนะ
-ชั้นไม่ชอบเลย นังคนนั้นมันทำผิดกฎ เอ่อ สงสัยดูรายการแนวเรียลลิตี้มากเกินไป นี่ต้องไปเชิญมาตัดสินแล้วก็มาบอกว่า "ชั้นว่าใจคุณยังไม่สงบพอ เราคงต้องให้คุณกลับบ้านก่อน เชิญค่ะ" มั้ย (แล้วก็ลากกระเป๋าออกไปจากสถานธรรมแบบเศร้า ๆ... เยอะเนอะ)
สรุปความรู้สึกในวันนั้นมันคือความลิงโลดที่สลับกับความหม่นหมอง คือดีใจที่จะได้ออกไป หม่นหมองคือทำไมมันทรมานจัง เนื่องจากมีอาการเจ็บตาตุ่มจากการนั่งขัดสมาธิดอกบัวนานๆ เมื่อยตามจุดต่างๆ ของขาเนื่องจากการนั่งพับเพียบสลับซ้ายขวาไปมาหลายตลบ เมื่อยหลังไปหมด ยุงก็กัด มดก็ซ้ำอีก เท้าเราเป็นดวงๆ ไปหมดแล้ว ฮืออออ ได้เห็นเวทนาของการมีตัวมีตนขึ้นมาชัดมาก
ในใจคิดว่า ทุกข์จังเลย เข้าใจแล้ว เราทุกข์มาตลอดเลยสินะ ไม่อยากเป็นอย่างนี้อีกแล้ววว
ก็จบวันไปแบบเฟลๆ ในทางความรู้สึก สลับกับการที่ต้องเอาลิงในจิตใจไปเก็บใส่หีบ แล้วมันก็กระทุ้งมาเป็นพักๆ
จะได้กลับแล้ว! จะได้กลับแล้ว!
พอๆ ! นอนซะ
โครกกก หิวจนได้...
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 26 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม คุณเมตตาบอกว่าวันนี้มีกิจกรรมพิเศษ (อีกแล้ว) จำชีอเป๊ะ ๆ ไม่ได้ แต่ทำนองว่าเหงื่อคือพระธรรม วันนี้เราจะไปอาบเหงื่อกัน... หืมมม พลังงานจากข้าวสองมื้อจะพอมั้ย...
วันนี้ก็สงบขึ้นบ้าง แต่ก็ทำให้หวลนึกถึงวันแรกๆ ที่เรามา แล้ววันพรุ่งนี้เราจะได้ออกไปจากที่นี่แล้ว...
ทำไมถึงรู้สึกคิดถึงเบา ๆ...
ทุ่งลาเวนเดอร์ก็บรูม!
ไม่ ๆๆๆ อย่า ๆๆๆ หยุดคิด ๆ
อยู่กับปัจจุบัน ๆ
กิจกรรมวันนี้ก็ราว ๆ เดิม ก็ปฏิบัติสลับกับฟังบรรยาย ซึ่งวันนี้ท่านพุทธทาสบรรยายเรื่องการนำอานาปาณสติไปใช้ในชีวิตประจำวัน... อืมนี่สิเหมาะกับวันสุดท้ายมาก
ก็เนื้อหาก็ประมาณว่า สมมติว่าเราจะทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง เราจะเอาอานาปาณสติไปใช้ได้อย่างไร ท่านก็พูดไว้กว้างมากๆ แต่สุดท้ายก็ทำนองว่า ทำทุกอย่าง อย่างมีสติรู้ตัวตลอดสินะ
พอมาถึงช่วงบ่าย กิจกรรมอาบเหงื่อวันนี้ เราไปขุดดินกัน เพื่อจะเอาไปถมดินอีกที่หนึ่ง อุปกรณ์ มีจอบ กับบุ้งกี๋ โอเค เราก็พอได้จับ ๆ มาบ้างตอนสมัยเรียนประถม เราอาสาขุดก่อนเลย สิบกว่านาที เหมือนโดนน้ำสาดใส่ ตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อเต็มที่ ผมก็สลับกับการขนดิน ทุกคนทำงานกันสนุก แล้วก็มีท่านหนึ่งถามอายุคุณเมตตาซึ่งก็กำลังขุดดินตู้มๆๆๆ อย่างขันแข็งอยู่
"65" นั่นคือคำตอบ โอ้ววววว!!!! ท่านแข็งแรงกว่าเราอีกกกกก เราขุดๆ ไปยังมียืนหอบบ่อยๆ เลย แต่นี่ท่านดูไม่เลย ลุยเอาๆ ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ท่านเคยพูดให้ฟัง ทำนองว่าคนเราสมัยนี้ไม่ชอบทำงานหนัก เราอยากทำงานสบายๆ จนสุดท้าย เราก็ต้องไปจ้างแรงงานต่างชาติกัน ทำให้ผมคิดว่าหรือเราจะหัวสูงเกินไป...
ภาพที่ผู้ใหญ่ หรือคนทำงานระดับสูง ๆ จะมานั่งล้างห้องน้ำขัดส้วม ขุดดิน กวาดถนน อาจจะหาได้ยาก ผมว่าถ้าได้ทำบ้างมันก็ดีนะครับ เพราะดูเป็นกิจกรรมที่ทำให้บ้านเมืองสะอาด และอีกอย่างคือให้ละตัวตนและความอหังการของตัวเองได้ดีเลยทีเดียว เพราะเอาเข้าจริง ๆ มันก็คืองานเหมือนกัน สุจริตเหมือนกัน แต่คนไม่อยากทำ เพราะมันทำให้ตัวสกปรก แต่คนไม่ดูกันว่าที่แท้มันกลับทำให้ใจสะอาดขึ้น ถ้าทำแบบตั้งใจ และไม่หวังผล...
พอเสร็จจากการขุดดินขนดิน วันนี้น้ำปานะพิเศษกว่าวันอื่น ๆ คือมีน้ำกระเจี๊ยบใส่น้ำแข็งเย็นชื่นนนใจด้วย!
และพอเสร็จกิจกรรมภาคกลางคืน พอจะนอนก็รู้สึกหมดห่วงอย่างบอกไม่ถูก (หรือว่าอาจจะเป็นเพราะ เหนื่อย...) วันนี้หลับสนิทกว่าที่เคย...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in