1
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ผมเห็นรุ่นพี่ที่เรียนปริญญาโทหลายคนตั้งสเตตัสบ่นเรื่องงาน เรื่องโปรเจค เรื่องวิทยานิพนธ์ ที่ไม่รู้ว่าจะเสร็จจะสิ้นเมื่อไร ผมเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของรุ่นพี่นี้หรอก แต่ก็รู้สึกหวั่นๆอยู่ว่า ถ้าไปเรียนปริญญาโทแล้วจะเหนื่อย จะเครียด จะหงุดหงิดเหมือนรุ่นพี่เหล่านี้หรือเปล่า
แต่เอาจริงๆ แค่ยังไม่ได้เริ่มต้นเรียนก็รู้สึกเหนื่อยมาบ้างแล้วแหละ
เหนื่อยกับการเตรียมตัวสอบ การอ่านหนังสือ แถมต้องขุดความขยันที่มีแต่เดิมตอนเรียนปริญญาตรีให้กลับมาขยันอีกครั้ง (แต่ก็นั่นแหละ มันยากมาก!) เท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องสู้กับสิ่งที่ไม่ชอบอย่างภาษาอังกฤษที่ต้องอ่าน ทำความเข้าใจ นั่งท่องศัพท์ จนหัวสมองจะระเบิดกระจุยกระจายหมดแล้ว
และพอได้เข้ามาเรียนจริงๆ กลิ่นอายของความเหนื่อย ความโอดครวญก็ลอยมาตั้งแต่สัปดาห์แรกๆ
รุ่นพี่หลายคน กำลังงวดอยู่กับสัมมนาแถมต้องทำพรีเซ้นนำเสนออาจารย์อีก ซึ่งเป็นอะไรที่หนักหน่วงพอสมควร ถึงขนาดต้องขอเลื่อนส่งการบ้านออกไปก่อน เพราะมีสัมมนาค้ำคอนี่แหละ
ตัดกลับมาที่ตัวผม ที่กำลังนั่งมองรุ่นพี่อยู่
นั่งมองก็เหมือนมองอนาคตของตัวเอง
นี่แหละตัวเรา ตัวเราที่มีสภาพไม่ต่างจากรุ่นพี่
2
เข้าสู่เดือนที่ 4 ของการเรียนปริญญาโท สภาพภายนอกอาจดูปกติดีแต่สภาพภายในที่ย่ำแย่เหลือเกิน ถึงจุดนี้ผมคงเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมรุ่นพี่ถึงบ่นนักบ่นหนา
มันเป็นความเหนื่อยที่ไม่ได้แค่เหนื่อยกาย แต่มันเหนื่อยใจด้วย แถมเป็นความเหนื่อยที่สะสมมา ทับถมกันมา มันหนักอึ้งจนเกินรับไหว จะทิ้งจะสบัดออกไปก็ไม่หลุดซักที
อันที่จริง มันไม่ใช่แค่ชีวิตในการเรียนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ในชีวิตจริงๆก็มีส่วนที่ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวได้ ตรงนี้ผมเองไม่สามารถบอกได้ว่าอันไหนมีผลที่ทำให้เหนื่อยใจมากกว่ากัน แต่ที่แน่ๆมันมีผลทั้งคู่
ในชีวิตการเรียน การมีการบ้านทุกสัปดาห์ การมีสอบและต้องอ่านหนังสือทวนเนื้อหา ก็ถือว่าเหนื่อยในระดับหนึ่งแล้ว ในเทอมนี้ผมรับงาน TA ในการตรวจการบ้านนักศึกษาที่มีจำนวนกว่าพันคน! นั่นมันก็เพียงพอที่ทำให้ผมแทบสลบคากองการบ้านแล้ว
ในชีวิตจริงๆ ผมแทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย เพราะไม่รู้จะไปไหนดี แถมชีวิตในกรุงเทพเป็นชีวิตที่วุ่นวายและเหนื่อยหน่ายกับการเดินทางไปนั่นไปนี่ ชีวิตเลยมีแค่ไปกลับมหาลัยกับหอพักแค่นั้น และไอ้ความแค่นั้นแหละมันทำผมประสาทรับประทานมาแล้ว เคยปรับเปลี่ยนชีวิตตัวเองอย่างเช่นอ่านหนังสือข้างนอก เดินเล่นในห้าง ก็ถือว่าช่วยได้ในระดับหนึ่ง
อย่างที่ว่าแหละ เหนื่อยกายพักแปปเดียวเดี๋ยวก็หาย แต่เหนื่อยใจนี่ต้องพักนานแค่ไหนถึงจะพอ
3
เพื่อนผมที่สนิทกันตั้งแต่ประถม ถามผมด้วยคำถามที่เคยถามไปแล้ว
เพื่อน: "ทำไมถึงเลือกเรียนที่นี่ล่ะ มึงไม่น่าจะมาเรียนที่นี่เลยนะ บอกตรงๆ"
ผม: "แหม่ ถ้าที่นั่นมีคณิตศาสตร์ประยุกต์ ก็คงเรียนไปแล้วแหละ คงไม่ถ่อสังขารมาเรียนที่นี่หรอก"
เพื่อน: "แล้วเรียนเป็นไงบ้าง รู้รสชาติ ความเข้มข้นของที่นี่ยัง"
ผม: "โอ้โห โคตรๆเลยล่ะ"
เพื่อน: "กูบอกเลย ที่นี่อาจารย์แม่งแปลกๆ คุยกันภาษาอะไรก็ไม่รู้ กูนี่ปวดหัวมาก"
ผม: "ฮ่าๆ ขนาดนั้นเลยนะ"
เพื่อน: "แล้วอาจารย์ที่ภาคแกเป็นแบบไหนล่ะ"
ผม: "ก็คงพอๆกับที่ว่ามานั่นแหละ"
.
.
.
เพื่อนอีกคนที่เรียนปริญญาตรีด้วยกัน คุยกับผมด้วยเรื่องเรียนปริญญาโท
เพื่อน: "แกเรียนที่นั่นเป็นไงบ้าง"
ผม: "ก็เรื่อยๆ มีการบ้านแทบทุกอาทิตย์ จะบ้าตายอยู่ละ"
เพื่อน: "นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตไปกลับหอกับที่ภาคที่โคตรบ่อย เบื่อ! จะบ้าตายอยู่ละ! ยังจะต้องอ่านหนังสือสอบอีก"
ผม: "โห! นี่ก็พอกันเลยไปกลับมหาลัยกับหอ ประสาทจะแดกอยู่ละ"
.
.
.
เช่นเดียวกันกับเพื่อนผมอีกคน ในงานซ้อมใหญ่รับปริญญาที่เพื่อนส่วนใหญ่จะถ่ายรูปกัน มันขอตัวกลับก่อนเนื่องจากต้องไปเคลียร์การบ้านที่ต้องส่งพรุ่งนี้
ชีวิตของผมกับเพื่อนผมทั้งสามก็คงไม่ต่างกันซักเท่าไร
4
รุ่นพี่ผมแนะนำให้ลองไปเดินเล่นที่เอเชียทีคดู รุ่นพี่บอกว่าตอนที่รู้สึกเครียดๆเหนื่อยๆก็จะไปเดินเล่นที่นี่ ไม่ต้องซื้อขงซื้อของก็ได้ ไปเดินเล่นเฉยๆไปดูบรรยากาศริมแม่น้ำ แค่นี้แหละแล้วก็กลับ มันช่วยได้นะ
ผมเองก็เคยวางแผนไปเดินเล่นที่นี่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีเวลาซักที เห็นรุ่นพี่แนะนำมาก็คงต้องลองไปบ้างแล้วแหละ
เผื่อว่าความเหนื่อยใจจะได้หายไปซักที
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in