ยูริมั่นใจราวๆ 64% ว่าบ้านหลังข้างๆ เขาเป็นบ้านร้าง
ชายหนุ่มย้ายเข้ามาที่โตเกียวตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเรียนมหาวิทยาลัย เป็นเรื่องปกติของเมืองใหญ่ที่จะหาที่พักดีๆ ราคาถูกได้ยาก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่ยูริต้องเจอเพราะแม่ของเขามีเพื่อนอยู่ที่นี่ และก็บังเอิญเหมาะเจาะพอดีที่เจ้าตัวกำลังปล่อยบ้านให้เช่าอยู่
“ถึงมันจะห่างจากในตัวเมืองเกือบครึ่งชั่วโมงเลยก็เถอะนะ” คัตสึกิ ฮิโรโกะบอกตั้งแต่แรก “แต่แม่ว่ามันดีกว่าไปเช่าห้องเล็กๆ อยู่นะ ยูริว่ายังไงล่ะ?”
แน่นอนว่ายูริตอบไปว่าตนไม่มีปัญหาเลยสักนิด…คำตอบที่ยังคงเป็นความจริงเสมอมา และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเมื่ออยู่ที่นี่มาจนเป็นปีที่ห้าแล้ว เขาคุยกับแม่แล้วว่าอยากจะค่อยๆ หางานหลังเรียนจบ แต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไรจริงจังนัก นั่นจึงทำให้ยูริยังคงไม่ลาออกจากตำแหน่งพนักงานร้านขายดอกไม้แถวนั้นแล้วไปตะลอนๆ สัมภาษณ์งานอย่างเต็มตัว
เวลาห้าปีในย่านนี้ทำให้ชายหนุ่มได้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง และที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือบ้านหลังข้างๆ…แตกต่างจากบ้านของยูริที่เหมือนเดิมอย่างไรก็ยังคงเดิมอย่างนั้น บ้านหลังข้างๆ เขากลับเปลี่ยนเจ้าของหลายต่อหลายครั้งอย่างเห็นได้ชัด บางทีเจ้าของก็อยู่เองหรือบางทีก็ปล่อยเช่า ยูริไม่ได้จดจำนักว่าสีทาบ้านหรือสวนถูกเปลี่ยนแปลงไปกี่ครั้งเพราะไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจ
แต่การปรับปรุงบ้านครั้งสุดท้ายนี่แหละที่ทำให้ยูริเปลี่ยนความคิด
บ้านที่เขาอาศัยอยู่นั้นถูกสร้างตามรูปแบบบ้านญี่ปุ่นทั่วไป แต่บ้านหลังข้างๆ เขานั้นเป็นบ้านทรงผสมความโมเดิร์นสไตล์ตะวันตกเข้ามาด้วย ทำให้มีผนังและหลังคาของห้องที่เขาเดาว่าเป็นห้องรับแขกด้านหนึ่งเป็นกระจก แค่ที่ผ่านมา มันเป็นกระจกสีดำทึบ…ไม่ได้ใสกระจ่างอย่างที่เหล่านายช่างกำลังตั้งหน้าตั้งตาเปลี่ยนอยู่แบบนี้เลย
ยูริจำได้ว่าตนกะพริบตาปริบๆ มองเหล่าผู้คนที่ทำงานน่าหวาดเสียวนี่ ก่อนจะกวาดตาต่อไปยังเหล่าพนักงานจากบริษัทจัดสวนที่กำลังลงต้นไม้ดอกไม้กันอย่างคร่ำเคร่ง แล้วก็หวังในใจว่าคนเหล่านี้จะไม่ทำงานกันเสียงดังจนดึกดื่น
ความหวังของเขาเป็นจริง และนั่นเองที่ทำให้ยูริไม่ได้ใส่ใจเรื่องบ้านข้างๆ อีก
******************************************************
หากประเด็นเรื่องนี้ก็หวนกลับมาให้ยูริต้องขบคิดอยู่ดีในเวลาสี่วันถัดมา
ปกติแล้วเมื่อปรับปรุงบ้านเสร็จ เจ้าของใหม่ก็จะย้ายเข้ามาทันที แต่นี่กลับไม่มีวี่แววของเจ้าของบ้านคนใหม่เลยแม้ว่ากระจกกับตัวสวนจะถูกตกแต่งใหม่จนเรียบร้อยแล้ว
ยูริไม่ได้ห่วงอะไรกระจกหรอก…แต่ต้นไม้ในสวนนี่สิ
เขาทนมองพวกมันเฉาลงเรื่อยๆ ต่อได้อีกสองวันเท่านั้น ในตอนเย็นของวันที่หก…ยูริก็ตัดสินใจฉีดน้ำจากสายยางข้ามรั้วเตี้ยๆ ระหว่างตัวบ้านเข้าไปรดต้นไม้ในเขตบ้านข้างๆ นี่ เขาขยับเข้าไปใกล้ได้มากที่สุดก็ตามแนวรั้ว ทำให้ในบางจุด ชายหนุ่มก็ต้องไปเร่งน้ำให้แรงขึ้นเพื่อให้มีแรงส่งไปถึงต้นไม้ตรงจุดไกลหน่อย และก็สติแตกเบาๆ อย่างกลัวกระจกแตกตอนที่กระแสน้ำแรงๆ นั่นสาดกราวไปโดนกำแพงใสวิ้งวับนั่น
มันจบลงที่แขนเสื้อและขากางเกงที่เปียดชุ่ม…แต่ภาพต้นไม้ที่กลับมาหยัดตรงกับดอกไม้ที่เริ่มผลิบานก็ทำให้ยูริไม่เสียใจกับการกระทำของตัวเองเลยสักนิดเดียว
******************************************************
รู้ตัวอีกที เขาก็รดน้ำต้นไม้ให้บุคคลปริศนาผู้เป็นเจ้าของใหม่ของบ้านหลังข้างๆ มาได้จะสามเดือนแล้ว
ยูริเริ่มคิดๆ แล้วว่านี่มันไม่ค่อยจะยุติธรรมกับบิลค่าน้ำของตนเลย แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าอีกฝ่ายยังไม่โผล่หน้ามาภายในเดือนหน้า เขาจะลองเสี่ยงตายไปร่วมวงซุบซิบของเหล่าป้าๆ แม่บ้านแถวนี้แล้วเพื่อหาข้อมูลว่าใครคือเจ้าของใหม่ของบ้านหลังนี้
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังกับว่าเขาจะตัดใจเลิกรดน้ำได้น่ะ ยูริถอนหายใจกับตัวเอง …แถมนี่มันฤดูใบไม้ผลิด้วย
สมชื่อฤดูกาล…เดือนเมษายนมาเยือนพร้อมสีสันอันสดใสของเหล่าพืชพันธุ์ และก็ทำให้ยูริได้รู้ว่าในสวนของบ้านข้างๆ นั้นเต็มไปด้วยไม้ดอกหลังจากที่ตื่นเช้ามาแล้วพบว่าพื้นที่ตรงนั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยสีสันอันมากมาย และนั่นเองที่ทำให้เขาคิดว่าตัวเองคงใจร้ายไม่รดน้ำให้พวกมันได้ชูช่อต่อไปได้นานๆ ไม่ได้หรอก
ยูริถอนหายใจกับจุดอ่อนของตัวเองอีกครั้ง หากก็กระชับสายยางในมือให้ถนัดกว่าเดิม…เขามักจะรดน้ำต้นไม้ในตอนเย็น แต่วันนี้มีเหตุให้ต้องเข้าเมือง เลยกว่าจะหลุดมาจากวงจรการเดินทางก็เป็นเวลาจะสองทุ่มแล้ว เขาเลยกะว่าคงจะรีบๆ รดไปก่อนแล้วค่อยมารดชดเชยตอนอื่น
ตามความเคยชิน ชายหนุ่มเร่งความแรงของน้ำเพื่อรดต้นไม้ของบ้านข้างๆ ก่อน ไม่ตกใจแล้วตอนที่เสียงน้ำสาดดังกราวๆ ใส่กระจก ยูริเริ่มเตรียมจะเปลี่ยนไปรดตรงมุมอื่นแล้วตอนที่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นได้เกิดขึ้น
อย่างที่บอกไป…ยูริมั่นใจราวๆ 64% มาตลอดว่าบ้านข้างๆ เขาเป็นบ้านร้าง แต่ภาพที่ได้เห็นนั้นทำให้ชายหนุ่มพลิกมามั่นใจเกินร้อยทันทีว่าบ้านหลังข้างๆ นี้เป็นบ้านผีสิง เพราะเขาคิดหาคำอื่นมาอธิบายเงาร่างขาวซีดไปหมดแม้กระทั่งเส้นผมที่จู่ๆ ก็โผล่มาตรงหลังกระจกนั่นไม่ได้เลย
“หวาาาาา!!!!”
ชายหนุ่มส่งเสียงลั่น ตกใจจนทำสายยางหลุดมือ ส่งผลให้กระแสน้ำเปลี่ยนมาพุ่งใส่หน้าเขาเต็มๆ แทน…ยูริส่งเสียงอีกรอบ ตะครุบแว่นไว้พร้อมๆ กับพยายามหันไปปิดน้ำและเมื่อหมุนก็อกได้สำเร็จ เขาก็วิ่งอ้าวอย่างไม่เหลียวหลังเข้าบ้านไปทันที
คืนนั้นยูริเข้านอนโดยเปิดไฟดวงเล็กๆ ทิ้งไว้ และเก็บปลายเท้าเข้าใต้ผ้าห่มอย่างมิดชิดแม้ว่าจะรู้สึกอบอ้าวแค่ไหนก็ตาม
******************************************************
ชายหนุ่มตื่นแต่เช้าในวันต่อมาแล้วค่อยๆ แอบจรดปลายเท้าออกมาตรงสวน รอยน้ำจากเมื่อวานแห้งเหือดไปหมดแล้ว แต่สายยางยังคงกองอยู่ตรงที่เดิมที่เขาทิ้งไว้
ดวงตาสีน้ำตาลมองข้ามรั้วไป…ผนังกระจกใสนั่นยังคงถูกปิดไว้ด้วยม่านสีเทาอ่อนดังเดิม เหมือนกับไม่ได้มีใครมาเปิดมันเลยเมื่อคืน
ยูริมัวแต่ง่วนกับการคิดถามตัวเองว่าหรือตนจะแค่มองอะไรเบลอๆ ไปเอง…จึงไม่ได้สังเกตเลยว่าผ้าม่านนั้นขยับไหวเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มเห็นและเตรียมตัวจะวิ่งแล้วเมื่อเห็นว่าประตูบ้านถูกเปิดออก เพียงแค่ได้ถ้อยคำภาษาอังกฤษจากคนตรงอีกด้านรั้วเท่านั้นที่รั้งฝีเท้าเขาไว้
“เฮ้! เดี๋ยวสิ!” ร่างสูงโปร่งนั่นรีบรุดเข้ามา “รอก่อนสิ…!”
ยูริผงะถอยห่างเล็กน้อยทั้งๆ ที่มีรั้วกั้นกลางระหว่างพวกเขาอยู่ แต่ก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้…คนตรงหน้าสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงวอล์มอยู่ แต่ผิวขาวสะอาดแบบคนต่างชาติกับเรือนผมสีสว่างก็เป็นคำอธิบายให้ยูริทีละนิดแล้ว
“หวัดดี” คนตัวสูงไม่มีกระแสเสียงเร่งรีบแล้วเมื่อเห็นว่ายูริไม่ได้วิ่งหนี “เอ่อ…นาย…”
พอมองใกล้ๆ แบบนี้แล้ว…สีผมเขาเหมือนแสงจันทร์เลย
คนแปลกหน้าข้างบ้านนิ่งไปนิดหน่อยราวกับจะคิดหาคำพูด ดวงตาสีฟ้าเหมือนอัญมณีมองยูริเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด
“โทษทีนะ เมื่อคืนฉันทำนายตกใจใช่มั้ย” เสียงทุ้มนุ่มกล่าวถาม แต่ก็ให้ความรู้สึกของประโยคสรุปมากกว่าจะเป็นการถามจริงๆ “แล้วก็…นายคือคนที่คอยรดน้ำต้นไม้ให้ฉันมาตลอดใช่มั้ย?”
รอบตัวของพวกเขานั้นรายล้อมด้วยเหล่าดอกไม้ที่กำลังผลิบานรับยามเช้า…แต่แปลกดีเหมือนกันที่ยูริไม่รับรู้ถึงสีสันอื่นใดนอกเหนือไปจากรอยยิ้มของคนตรงหน้าตนเลย
tbc.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in