จริงๆรางวัลออสการ์ก็ประกาศมาได้ประมาณ 2 อาทิตย์แล้วเนอะ
เราเองก็เป็นหนึ่งคนที่ตื่นเต้นลุ้นตาม ลงทุนตื่น7โมงเช้าเพื่อมาดู live ตั้งแต่ red carpet ยันตอนประกาศ555555
เราพยายามเก็บหนังออสการ์ให้ครบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
รางวัลที่คนสนใจมากสุดก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Best Picture
ซึ่งเราก็ตามดูจน(เกือบ)ครบ แล้วก็ได้เขียนรีวิวหลังจากดูเสร็จไว้ให้ตัวเองอ่าน แต่วันนี้ก็อยากจะเอามาแชร์ความคิดเห็นของเราให้กับคนที่สนใจเนอะ :-)
(ลำดับเรียงตามเวลาที่เราดูนะคะ)
1. La La Land (07/01/17)
เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนฮือฮากันมากเลย เพราะได้เข้าชิงออสการ์ถึง 14 รางวัล เทียบเท่ากับ Titanic หนังในตำนานเลยทีเดียว เราเป็นหนึ่งคนที่ชอบ Emma Stone กับ Ryan Gosling อยู่แล้ว แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ผิดหวัง เพราะเคมีของทั้งสองคนมันดีมากจริงๆๆ ฉากที่เต้นด้วยกันนี้ดีงาม ดูเพลินมาก ชอบมุมกล้องที่ดูหลากหลาย ภาพแต่ละฉากสีสวยและดูแปลกใหม่มาก เพลงก็คงไม่ต้องพูดถึง เราชอบหลายเพลงมากกกก กลิ่นอายของความคลาสสิค+ความเป็น musical มันมีเสน่ห์มากๆในเรื่องนี้ ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผม บท เพลง ยันProduction เอาจริงตั้งแต่เปิดเรื่อง ฉาก traffic jamก็ได้ใจเราแล้วอะ5555 ทุกอย่างมันดูอยู่ในโลกความฝันที่สวยงาม ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนหลายๆคนได้ด้วย พล็อตเรื่องอาจจะไม่ได้โดนใจอะไรเรามากมาย แต่ตัวองค์ประกอบของหนังมันดีมาก
"This is the dream. It's conflict and it's compromise and very, very exciting."
Personal Rating: 8.5/10
2. Lion (09/01/17)
สำหรับเราแล้ว พล็อตเรื่องของเรื่องนี้ค่อนข้างธรรมดา แล้วแต่ละฉากก็เดาทิศทางค่อนข้างง่าย แต่สิ่งที่ชอบมากๆของหนังเรื่องนี้คือความละเอียดของแต่ละฉาก ทุกฉากมันเหมือนดึงเราเข้าไปให้รู้สึกตามตลอด รู้สึกลุ้น นั่งไม่ติดเก้าอี้5555 ชอบการปูเรื่องของเรื่องนี้ คงต้องบอกว่าเรื่องนี้ Sunny (คนที่รับบทเป็นพระเอกตอนเด็ก) ตีบทแตกกระจุย Dev Patel, Nicole Kidman ก็เอาใจเราไปได้จริงๆ น้ำตาไหลพราก แต่เรารู็สึกว่าช่วงท้ายของเรื่องดูถูกยืดๆไปนิด แต่ยังไงเรื่องนี้ก็เข้าถึงอารมณ์เราได้มากจริงๆ
"ํYou are really more than what we hope for."
Personal rating: 8/10
3. Arrival (15/01/17)
สารภาพก่อนเลยว่าตอนแรกที่ดูตัวอย่างมา นึกว่าจะเป็นหนังเอเลี่ยนแบบทั่วไป มีฉากบู๊เยอะๆ แต่พอมาดูแล้ว เรื่องนี้เป็นหนัง sci-fi ที่แปลกออกไป ธีมของหนังโดดเด่นและน่าสนใจมาก คือการนำเรื่องของ language เข้ามาเล่น สิ่งที่เราชอบของหนังเรื่องนี้นอกจากธีมแล้วก็คือการเฉลยปม+วิธีการจบของหนัง นอกจากนี้หนังยังมีการเล่นกับ detail ต่างๆอีกด้วย ไม่ว่าจะเรื่องของคำที่สามารถสะกดเดินหน้า,ถอยหลังได้ เรื่องของลูปเวลา เรื่องของภาษาเอเลี่ยน หนังมีความจัดระบบดีเทลดีมาก แต่ช่วงพาร์ทแรกๆของหนัง เรารู้สึกว่าหนังค่อนข้างเอื่อยเฉื่อยและเหนิบมากไป จะเน้นการเล่าเรื่องผ่านภาพเลยอาจจะเกือบๆน่าเบื่อ แต่พอเครื่องติดแล้ว หนังดีมาก อย่าพึ่งรีบเบื่อตอนแรกๆ เพราะรับรองว่ายังไงก็ต้องได้ตื่นเต้นและลุ้นตามไปกับหนังเรื่องนี้แน่นอน
"If you only know a hammer in life, everything is a nail."
Personal Rating: 8/10
4.Hell or High Water (07/02/17)
เรื่องนี้เราหาตามดูเองในเน็ตเนอะ ไม่ได้ดูไปในโรงแต่อย่างใด เอาจริงๆ ไม่ได้เขียนรีวิวของหนังเรื่องนี้ละเอียดเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยอิน55555 ไม่อินไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ แต่เพราะหนังไม่ค่อยตรงรสนิยมมากกว่า หนังมีความดิบเถื่อน เป็นหนังผู้ชายจ๋าสำหรับเรา หนังมีตัวละครหลักๆแค่4ตัว แต่แบคกราวของแต่ละตัวมีความชัดเจน มีความใช้ประโยคจิกกัดและประชดประชันอย่างฉลาด dialougeเวลาตัวละครคุยกันเรียกว่าไม่น่าเบื่อเลย โทนภาพของหนังจะมาสไตล์แห้งแล้งๆ มีความcowboy ดูได้เพลินๆ
Personal Rating: 7/10
5. Manchester by the Sea (09/02/17)
สไตล์การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ จะมาแบบเรียบๆ เข้าถึงง่าย ไม่ต้องใส่อะไรเยอะแยะ เน้นความเรียล ความโคตรจริง อารมณ์เหมือนกำลังนั่งฟังเพื่อนเล่าเรื่องชีวิตดราม่าๆให้ฟัง อารมณ์ที่หนังสื่อมาโคตรเรียล โคตรบีบ โคตรอึดอัด ถึงหนังมันจะเรียบและsimpleมาก แต่ภาพเวลากล้องแพนออกเป็นวิว สวยมาก ฉากอยู่กลางทะเลยิ่งแบบอยากวีดร้องกับความสวย55555 หนังบีบอารมณ์มากจริงๆ deepมาก เน้นการซึบซัมอารมณ์ คุณพี่ Casey เล่นได้สุดมากจริง ขอคารวะเลย น้ำตาได้ไหลแน่นอนเรื่องนี้
"It's always gonna be broken."
Personal Rating: 8/10
6. Moonlight (11/02/17)
โอ่ยยย เรื่องนี้ปริ่มมากจริงอะ55555 ตั้งแต่ติดตามเวทีรางวัลออสการ์มา นี้เป็นปีแรกที่เรื่องที่เราเชียร์ชนะ! (ถึงแม้ตอนแรกจะมีการประกาศผิดไปนิดหน่อย5555) ปีอื่นเรื่องที่เชียร์นกค่าาา เป็นอีกเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันบีบอารมณ์ได้ดีมาก แต่รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ทุกคนก็อินได้ ฉากทุกอย่างมันเรียลมาก ชอบการเล่นกับประโยค "the man who looks blue" โดยเน้นไปที่ทะเล เหตุการณ์ทั้งสามช่วงมีการได้ผ่านท้องทะเลนั้น ดูเป็นการใส่ใจในเรื่องdetailและsymbolของหนัง ภาพทุกอันก็สวยแบบเอาให้ใจไปเลย ชอบมากพูดเลย
"At some point in your life, you're going to decide for yourself who do you want to be. You can't let anyone makes that decision."
Personal Rating: 10/10
7.Hacksaw Ridge (15/02/17)
ตามมาติดๆโดยเรื่องนี้ ปีนี้ถ้าmoonlightไม่ชนะ ก็คงอยากให้เรื่องนี้ชนะ55555 ฉากบู๊นี้เอากันให้ตายไปข้าง โคตรโหด แต่เราว่ามันเจ๋งดี ภาพเอย ซาวเอย ระเบิดตูมตาม เลือดกระเซ็น555555 แต่เรารู้สึกว่าหนังมันมีอะไรมากกว่านั้นนะ มีเรื่องของความเชื่อ ศาสนา ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์แบบคนรัก หรือแม้แต่แบบเพื่อน หนังให้ข้อคิดได้ดี รู้สึกว่านี้สิ้คือหนังของheroจริงๆ มีหลายประโยคที่ชอบมากๆ เราแอบเป็นติ่ง Andrew Garfield อยู่แล้วหน่อยๆ เลยจะบอกว่าชอบบทนี้ของ Andrew มาก55555 สำหรับเรา เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันครบรสมาก มีทุกด้าน เดินออกมาจากโรงแล้วเรียกว่ายังตื่นเต้น+ตื้นตันอยู่เลย
"With the world that is set to be teared apart, it didn't seem like a bad idea for me that want to put a little bit of it back together."
Personal Rating: 10/10
8.Hidden Figures (24/02/17)
เป็นเรื่องสุดท้ายที่ได้ตามเก็บเพราะยังไม่ได้ไปดู Fences เรื่องนี้ดูเพลินมาก เรียกรอยยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่อง หนังสร้างบรรยากาศที่ดูสนุกและคลาสสิคมาก ชอบ เราชอบการตีประเด็นเรื่องผู้หญิงผิวสีของเรื่องนี้ ตัวละครหลักทั้งสามตัวได้ใจเรามากเลย เรื่องของทุกคนมีstory มีmeaning คือดียย์ ชอบที่หนังสร้างอารมณ์ฟีลกู้ดมากกว่าจะทำให้มันเป็นเรื่องดราม่า อย่างประเด็นเรื่องแยกห้องน้ำ อาจจะเป็นอะไรที่คนมองข้าม แต่พอเอามาทำเป็นหนัง มันดูเรียลและสื่อถึงการdiscriminationได้ชัดมาก หนังให้ฟีลเดียวกับthe help แต่เราชอบเรื่องนี้มากกว่า the help อีกนะ
"I can't change the colour of my skin. I have no choice but to be the first one."
Personal Rating: 8/10
ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่ความเห็นของคนที่ชอบดูหนังมากๆคนหนึ่งนะคะ
หนังทุกเรื่องก็มีข้อดีและข้อเสียของแต่ละคนเนอะ แล้วแต่คนจะมอง
เสียดายที่ไม่ได้ดู Fences แต่จะรีบไปหามาดูอย่างแน่นอน :-D
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in