ต้องขอบคุณคุณแม่ของผม ที่เล็งเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษตั้งแต่ผมยังพูดไทยไม่คล่องแม่จึงพยายามทุกวิถีทางให้เราได้รับ intakeของภาษาอังกฤษอย่างมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น
- พาไปรู้จักเพื่อนบ้านในคอนโดที่เป็นชาวลูกครึ่งไตหวัน-ออสเตรเลีย ชื่อซาร่า กับ ติตี๋ เล่นกันสนุกเชียวล่ะ
- ไปเข้าร่วมคอร์ส สร้างเสริมทักษะพื้นฐาน (แบบทรงตัว ร้องเพลง)และ ภาษาอังกฤษ ชื่อว่า Tumbletods และสถาบันสอนภาษาอังกฤษ Inlingual ทุกๆวันเสาร์ตอนโตขึ้นมาหน่อย
- ดูหนังเป็น sound track และวิ่งเต้นกับบริษัททำให้ผมได้ถูกหิ้วไปงานสัมมานาของบริษัทที่ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ
- สบถ และ พูดเสียงสองกับลูกเป็นภาษาอังกฤษอันนี้คือฮาจริง แม่จะชอบอุทาน “Shit!” เวลาทำของตกหรือมีคนปาดหน้ารถจนผมติดเอาไปพูดบ้าง (ว่า เชียดๆ) ขุ่นแม่เห็นว่าดูไม่ดีดูไม่งามก็เลยจัดแจงเปลี่ยนคำสบถตัวเองเป็น “Jesus Christ!” แทน (ซึ่งสุดท้ายก็หลุด Shit ออกมาอยู่ดี) ถึงจะดูพยาย๊าม พยายาม แต่มันดีจริงๆ นะ อย่างน้อยๆ เรามั่นใจว่าเรารู้จัก2 คำนี้ก่อนใครในชั้นเรียนอ่ะ เอาสิ
ฝั่งแสวงนี้เอาไปเลยสิบเต็มสิบ ฝั่งสวรรค์ก็ไม่น้อยหน้า ส่งโชคก้อนโตมาให้ดวงครูสอนภาษาอังกฤษของผมนี่เรียกว่าไม่เคยมีพลาด เมนเทอร์ดีมาโดยตลอดตั้งแต่อนุบาลยันมหาลัย
ก่อนจะออกทะเลไปไกล ขอย้อนกลับมาเรื่องที่ตั้งใจจะเล่าก่อน คือสมัยตอนม.2 เนี่ยการเรียนภาษาอังกฤษมันเริ่มก้าวข้ามผ่านจุดเปลี่ยนจากการเรียนเพื่อสื่อสารมนชีวิตประจำวัน ต้องเพิ่มแกรมมาร์ เพิ่มการอ่านการเขียน เข้ามาฝ่ายแสวงก็สู้ต่อสิครับ ไปสรรหามาจนได้ ว่าควรจะเรียนพิเศษที่ไหนซึ่งสุดท้ายก็ได้มาติวกับคุณครูท่านนี้ครับ ชื่อ อี๊ควิ้ง (ที่เรียกว่าอี๊เพราะอี๊เค้าเป็นคนจีนแบบเห็นแล้วใช่เลย จะเรียกครูควิ้งมันก็ไม่ลื่นปากแต่ก็เคารพเหมือนครูเหมือนญาติผู้ใหญ่นะครับ)
อิ๊งควิ้งเป็นคุณป้าคนจีน ที่มีประสบการณ์ด้านภาษาอังกฤษมาอย่างโชกโชนอี๊เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของ AFS ยุคบุกเบิกที่ทุนฟรีเกือบ 100 % เคยเขียนข่าวให้กับหนังสือพิมพ์หัวต่างชาติดังๆ มาแล้ว)ปกติอี๊จะไม่รับสอนจำกัดคนมาก แบ่งออกเป็นกลุ่มเด็กเล็กกับเด็กโต กลุ่มละ 10กว่าคนเท่านั้น โดยกลุ่มเด็กโตจะยิ่งคัดเป็นพิเศษ คือต้องตั้งใจจริงเพราะจะผูดขาดคอร์สตั้งแต่ต้นจนจบ ซัมเมอร์นี้ซัมเมอร์เดียวคือแกรมมาร์ที่จำเป็นทั้งหมด อัดไปหนึ่งตู้ม แล้วจากนั้น ฝึกทำโจทย์ตลอดชีวิต (เวอร์ไปหน่อย แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ) อี๊จึงมักจะวางใจจากกลุ่มเด็กที่เคยเรียนกับอี๊มาแล้วดูหนวยก้านได้ น่าจะรับไหวมาเรียน แต่ด้วยพลังแห่งแม่มดฝ่ายดี (แม่ฉันเอง) ผมก็สามารถแมเนจเข้ามาเรียนในคลาสได้อย่างเก๋ๆ
แล้วก็ต้องขอบคุณแม่จริงๆ ครับ ผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าอี๊ควิ๊งของผมสอนภาษาอังกฤษได้ดีที่สุดแล้วเรารู้สึกว่าเป็นการสอนที่วิทยาศาสตร์ดี สอนทฤษฎีพื้นฐานทั้งหมดโดยแบ่งเป็นหัวข้อให้ไม่รู้สึกหลง ปนวันกัน (เค้าบอกว่านอนคืนนึงสมองเราก็จะทำการ defragment ไปเก็บ เป็น long-termmemory ) วันนี้ Tenseพรุ่งนี้ Active/Passive voice ว่ากันไป พอจบเนื้อหาสำคัญทั้งหมดก็มาลุยโจทย์เลยครับ ลุย ลุย ทำมันเข้าไป ทำจนตายไปข้างนึง ทำแล้วเฉลยยกทำอธิบายจากบทเรียนที่เพิ่งเรียนไปมา เฉลยแล้วทำต่อ ซ้ำๆ กันจนมันเริ่มอยู่ตัวจากนั้นก็อัดศัพท์ใหม่ๆ เพิ่มเข้าไป พร้อมวิธีจำ กิ๊บเก๋ เช่น suffocateให้จำว่า เรา suffer โดยไม่มี oxygenคำนี้จึงแปลว่าหายใจไม่ออก หรือเราเอาปากกาเพื่อนไปแทงทะลุ (penetrate) ก็เลยรู้สึกผิดต้องซื้อด้ามใหม่ชดเชยให้ (compensate) เป็นต้น เจ๋งป่ะๆ
นอกจากวิชาการแล้ว อี๊ก็ยังไม่หยุด Accommodate เราด้วยอาหารของกินเล่นมากมายที่เหล่าพ่อแม่และศิษย์เก่าเอามาให้ (ของโปรดผมคือเผือกอบกรอบหวานที่เป็นร้านของผู้ปกตรงคนนึง) แถมยังสวมบทบาท เป็น socialrepresentative จัดกิจกรรม เชื่อมสัมพันธ์อย่างการเล่นบัดดี้อีกด้วยคนที่ผมจำได้ก็จะมี
ปิ๊ก
สาวแว่นที่มาเป็นบัดเดอร์ เอ๊ะ หรือบัดดี้ งง คือเป็นคนดูแลอ่ะจำได้เลยว่าเล่นทำแพนเค้กอันใหญ่มหึมา มาเทคเรา คือรถชาติมันก็ไม่ได้น่าเกลียดนะแต่แม่มเยอะมาก เราตอนนั้นก็กล้ำกืนฝืนกินจนหมด เล่นเอาตราตรึงมาจนถึงทุกวันนี้
พี่บลิ๊งค์
พี่สาวแก้มยุ้ยใจดี ที่เฟรนลี่มากๆพี่บลิ๊งค์น่าจะโตที่สุดในกลุ่ม (น่าจะม.ปลายแล้ว) และมีความฝันที่ชัดเจน คืออยากเป็นพยาบาล ซึ่งผมว่าเหมาะมากเลยนะแต่ที่บ้านโคตรจะไม่อยากให้พี่เค้าเป็นเลย คงเห็นว่างานหนัก ต้องตามดูแล คนป่วยเช็ดฉี่ เช็ดอึ เลยพยายามจะให้อี๊ช่วยพูดกับพี่บลิ๊งค์ให้อี๊เองก็เคยเล่าให้ฟังว่า ลำบากใจอยู่เหมือนกัน ก็เด็กเค้าชอบของเค้าเราจะไปห้ามอะไรได้ พยาบาลเองก็ไม่ใช่อาชีพที่ไม่ดีนี่เนอะ ผมเห็นด้วยกับอี๊นะแต่สุดท้ายพี่เค้าได้ไปเรียนที่ไหน ทำอาชีพอะไร ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แง้ว
เก็ท กับ น๊อต
ผู้ชายอีกสองคนในคลาสของอี๊รายแรกนี่มาจากอัสสัมฯ อีกคนมาจาก สาธิตมศว. คือคาแรคเตอร์สองคนนี้จะคล้ายๆกัน คือตลกมาก แต่จะเป็นตลกโดยไม่ได้ตั้งใจ อารมณ์ มึนๆ อึนๆ ถาม-ตอบอะไรผิดที่ผิดทาง อย่างนอตนี้เข้ามาเรียนตอนช่วงม.ปลายแล้ว ก็มีโอกาสได้คุยกันเยอะหน่อย เพราะตั้งใจว่าจะเข้า’ถาปัตย์เหมือนกัน (ปัจจุบันนี้นอตกำลังจะเรียนจบถาปัตย์ลาดกระบังแล้วครับ ส่วนผมนี่ ฮัลโหล้ววว กรอฟันคนไข้อยู่จ้า) แถมยังบังเอิ๊ญไปเจอกันที่เขาคนไก่อีก โลกนี่มันกลมจริงๆ นะครับ
ออย
คนนี้คือตลกจริง 5555 จัดเป็นคนที่ผมสนิทพอสมควรเลยคือออยนี้เรียนกับอี๊มาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ก่อนผมอีก แล้วเราสองคนก็ยิงยาวเรียนมันจนจบม.6 ด้วยกันทั้งคู่ (ถือว่าเป็นช่วงที่ยาวสุดแล้วแหละ)ตอนเลิกก็จะเดินกลับด้วยกัน แล้วคือออยเป็นคนพูดเก่งมากเล่าเรื่องตลกสุด (แค่เรื่องอ่านหนังสือสอบจนหน้ามันนี่ก็ทำผมหัวเราะไปทั้งชม. ได้)ในคลาสนี่ ผมกับออยมักจะเป็นเด็กที่อี๊ปวดหัวสุด โดนดุมากสุดแล้วแหละอย่างออยนี่จะโดนเอ็ดเรื่องคุย ส่วนผมนี่โดนเรื่องสมาธิสั้นบางทีก็มัวแต่เล่นกับฟรอยด์ห่อขนม เอาช้อนขูดจริงจรัง ตัดขาดจากโลกภายนอกแรงมากจนอี๊ต้องเดินมากระชากออกจากมือ (ฮา) แล้วบังเอิ๊ญอะไรอีกไม่รู้เราทั้งคู่ก็สอบติด ทันตฯด้วยกันทั้งคู่ ของผมจุฬา ส่วนของออยมหิดลเลยเป็นเหตุที่ทำให้เรายังไม่ตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง 555 ออยบอกว่ายังมีรูปที่พวกเราไปถ่ายด้วยกันที่สยามอยู่เลย(ไปถ่ายกันตอนไหนวะ) เดี๋ยวไว้จะถ่ายส่งมาให้ดู
วันนั้นพี่เอ้แวะมาเยี่ยมอี๊ อี๊เลยให้มาทักทายน้องๆซักหน่อย คือพี่เค้าก็เราประวัติความเป็นมาของตัวเองน่ะนะ ว่าจบจากอักษรจุฬาปัจจุบันทำงานบริษัทที่รับผิดชอบเรื่องการจัดไลท์ติ้งให้งานนิทรรศการหรือละครเวทีอยู่ทีแคนาดาชีวิตกำลังไปได้สวย พี่เอ้เล่าให้ฟังว่าในช่วงที่เรียนอยู่อักษรได้มีโอกาสไปช่วงงาน backstage ของโปรเจกละครเพื่อน รับผิดชอบเรื่อง ฉาก แสงเสียง ทำมาอยู่หลายงาน จนมีวันนึง มี professor จากเมืองนอกมาดูละครของเพื่อนพี่เอ้พอดีปรากฏว่าเค้าประทำใจการจัดแสงของพี่เอ้มาก อยากขอคุยด้วย คุยไปคุยมาถูกคอ ประทับใจเค้าเลยชวนไปทำงานที่แคนาดาซะเลย ซึ่งตอนนี้ก็เรียนรู้/ทำงานอยู่ที่นีเนี่ยแหละคนอาไร๊ โชคดีชะมัด ผมคิดในใจ
พี่เอ้ก็ยิ้มเล็กๆ แล้วก็บอกว่าอิจฉาพี่เพราะพี่โชคดีอะดิ โหยพี่เป็นหลาน Charles xavier ป่ะเนี่ย
คือหลังจากนั้นก็มีแต่คนมา ยินดีกับพี่เอ้มากมาย แถมไม่ได้มามือเปล่ามาพร้อมกับคำกล่าวว่า แกนี่โชคดีเนอะ มีคนมารับไปทำงานถึงที่ ทำบุญมาด้วยอะไรเนี่ย ฯลฯลฯซึ่งเป็นสิ่งที่พี่เกลียดที่สุด!
เอ่า ชิบหาย ขึ้นเฉยไม่มีปี่มีขลุ่ย พี่เอ้รีบเก็บอาการกลับมายิ้มตาหยีพร้อมกับชี้แจ้งว่าทำไมถึงโมโห
“พี่ว่ามันเป็นการ minimize ความพยายามและความสามารถของพี่ อารมณ์ดูถูกหน่อยๆ แบบโชคช่วยซึ่งพี่คิดว่าไม่จริงเลยสักนิดเดียว พี่คิดเสมอว่าที่พี่ได้รับโอกาสนี้เพราะว่าพี่มีความพร้อม พี่สามารถทำคะแนน โชว์ศักยภาพได้ ในวันสำคัญชี้ชะตาพี่ไม่เคยนั่งรอโชคลาภ พี่ work hard ตลอดถ้าพี่ไม่ได้ทำละครกับเพื่อน ถามหน่อยว่าพี่จะได้รับโชคนี้เหรอ จำไว้เลยนะเด็กๆไม่มีใครโชคดีโชคไม่ดี มีแต่คนที่พร้อมกับไม่พร้อม ในวันที่โอกาสมาถึง”
จำจนถึงทุกวันนี้เลยครับลูกพี่ (จำได้แม่นกว่าชื่อพี่ที่ต้องโทรไปถามอี๊อีก)เห้ย คือแบบอิมแพคมาก วันนั้นเราประทับใจมากรู้สึกขอบคุณที่มีโอกาสได้มารับคติดีๆ ในช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อชีวิตทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ลืมคำพี่เอ้
ผ่านมานานหลายปี ทุกวันนี้ใกล้จะเรียนจบป.ตรีแล้วถึงวิทยายุทธอังกฤษเราถอยหลังเข้าคลอง ขึ้นสนิมไปมากพอสมควรแต่ทุกครั้งที่สอบได้คะแนนต้นๆ หรือมีคนชมเรื่องทักษะภาษาอังกฤษ ผมจะนึกขอบคุณ แม่อี๊ควิ้ง (และรายการ survivor – ติดงอมแงมเลยโหลดมาดูเองแบบไม่มีซับไทย) เสมอ แต่ถึงยังก็ไม่ลืม คุณครูแครอล ครูโรส ครูนิ่ม ครูแคท มิสเตอร์โทนี่ มิสเตอร์ปีเตอร์ มิสสมใจ มิสวันเพ็ญ มิสวรินทร มาสเตอร์สมหมาย มิสซินดี้ อาจารย์กอล์ฟ อาจารย์บิล อาจารย์เสมอทิพย์ อาจารย์ไคล์ และ เบิร์ต ที่เป็นส่วนก่อร่าง ซ่อมแซม และรักษา ศักยภาพ+ความชอบในภาษาอังกฤษของผมนะครับ I’m so grateful to have all of you guys as my English teachers.
ทุกวันนี้ข้ามเจนเนอเรชั่นไปจนถึงตาจูโน่ไปเรียนกับอี๊แล้วเชื่อไม๊ครับว่าวันไหนที่แม่วานผมไปเป็นคนรับจูโน่ที่สถาณฑูตทุกครั้งที่อี๊เห็นหน้าผม อี๊ก็ไม่เคยลืมที่จะควานหาเผือกอบกรอบหวานเจ้าเก่าในกองถาดขนม ยัดใส่มือพร้อมรอยยิ้มให้ผม เอ้า เอาไปกินนะ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in