เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ยามพิรุณโปรยseleneisfine_
00
  • พิรุณเป็นเทพแห่งสายฝน

    เขาสร้างหยดน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนประพรมโลกมนุษย์เพื่อให้สิ่งมีชีวิตสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้

    บางตำนานเล่าว่าพิรุณเป็นเทพเจ้าที่มีจิตใจเมตตา ใจเย็นดั่งสายน้ำ และเป็นเทพเจ้าที่เต็มไปด้วยความดีงาม เขามักจะอวยพรผู้คนที่มีศรัทธาในตัวเขาให้มีแต่ความสุขความสมหวัง โดยเฉพาะกับคนที่ประพฤติตัวตามจริยธรรมอันดีงาม 

     

    *

     

    ต้นเดือนมิถุนายนถือเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ

    สายฝนพร่างพราวตกลงมาจากเบื้องบนปะปนสีฟ้าและเทาคล้ายควันหมอก ร่มหลากสีที่เคลื่อนไหวไปมาข้างล่างนั้นส่วนใหญ่เป็นสีดำทึบ ตามด้วยสีฟ้า ชมพูและสีอื่นๆ มากน้อยเรียงตามกันมา

    ในเหล่าผู้คนจำนวนมากนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมอับของป้ายรับ-ส่งผู้โดยสาร เมื่อมองใกล้ๆจะเห็นว่าเขาสวมสูทสีดำเข้ากับผมที่ใช้เจลปาดและเสยไปข้างหลังอย่างประณีต เขามีใบหน้าสีซีดรูปไข่ ดวงตาสีแดงสดแหลมคม และริมฝีปากสีน้ำตาลอ่อนอมชมพู ส่วนสูงของเขาเป็นที่สะดุดตาแต่ก็เข้ากับสัดส่วนร่างกายอย่างพอดิบพอดี โดยรวมแล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะน่ามองตามค่านิยมของสังคมคนหนึ่ง

    ในช่วงเวลาวุ่นวายหลังเลิกงานของผู้คนมากมาย มีแค่ชายหนุ่มร่างสูงดังกล่าวที่ยืนนิ่งไม่ขยับกายราวกับเขาเป็นแค่หุ่นตั้งโชว์ในห้างสรรพสินค้า แขนทั้งสองข้างของเขาแนบลำตัวสนิท คอตั้งตรงสง่า สายตาของเขาจ้องไปข้างหน้าแต่นัยน์ตากลับว่างเปล่าคล้ายกับเขาไม่รับรู้ถึงความวุ่นวายรอบตัว

    ในขณะที่เขากำลังจะปิดเปลือกตาลง อยู่ดีๆการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของฝูงชนเมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นช้าลงขึ้นมาซะดื้อๆ สายตาของทุกคนในบริเวณนั้นเริ่มเห็นหยาดฝนมากขึ้น และเริ่มรู้สึกถึงสายฝนที่รุนแรง รวมถึงได้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจนมากกว่าเดิมโดยที่ไม่รู้ตัว

    เมื่อชายหนุ่มคนเดิมเปิดเปลือกตาขึ้นมา พลังงานสีแดงที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ปกคลุมทั่วร่างเขา ต้นไม้ทั่วทั้งบริเวณกระชากสั่นไหวราวกับจะระเบิดออกมา ผู้คนเริ่มวิ่งและหาที่หลบฝนที่ตกหนักขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับที่มีเสียงบ่นพึมพำอื้ออึง

    ชายหนุ่มที่แต่งกายอย่างไร้ที่ติคนนั้นยกยิ้มที่มุมปากขวาเมื่อเห็นภาพเหล่านั้นผ่านสายตา เขายิ้มกว้างมากกว่าเดิมอีกนิดเมื่อเสียงบ่นพึมพำเมื่อครู่กลับกลายเป็นเสียงด่าทอฝนฟ้าที่ตกหนักราวกับฟ้าจะถล่ม

    ….

    และเมื่อคุณเปิดเปลือกตาจากการกระพริบตาครั้งที่สองนั้น..

    มุมอับตรงป้ายรับ-ส่งผู้โดยสารกลับว่างเปล่าไปเสียแล้ว

     

     

     

     

    ผมเกลียดฝน

    ผมเคยลองพยายามหาเหตุผลว่าทำไมถึงได้มีคนคิดว่าฤดูนี้มันโรแมนติคนัก แต่ผมกลับหาเหตุผลให้กับความชอบนั้นไม่ได้ ยิ่งฝนในประเทศที่ผมอยู่ยิ่งแล้วใหญ่ ผมจะบอกให้นะว่าฝนน่ะเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีให้กลิ่นขยะและกลิ่นอุจจาระสุนัขเหม็นๆลอยเข้าจมูกคุณโดยที่คุณหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสาเหตุนี้นี่แหละที่ทำให้ผมเชื่อคนที่ฝันหวานบอกว่าฝนเป็นความโรแมนติคในอุดมคติไม่ลงจริงๆ ได้โปรดเถอะครับทุกคน เราต้องอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงกันนะครับ

    ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์รอให้ฝนซา เสียงน้ำที่กระทบกับหลังคาเล็กๆเหนือหัวผมก็ยังคงน่ารำคาญเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยน แต่จริงๆแล้วมันก็น่ารำคาญทุกวันที่ฝนตกนั่นแหละ

    มือขวาของผมกระชับร่มให้แน่นขึ้นเมื่อเห็นสีเทาหม่นของท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ผมได้ยินเสียงเด็กนักเรียนจากโรงเรียนฝั่งตรงข้ามมหาลัยผมพูดคุยกันชัดมากขึ้นเรื่อยๆ บางกลุ่มพูดคุยเรื่องศิลปินที่เพิ่งปล่อยเพลงใหม่ออกมา บางกลุ่มก็ถกเถียงเรื่องคะแนนสอบและมหาวิทยาลัยที่พวกเขาอยากเข้าอย่างเคร่งเครียด

    ผมอมยิ้มขมขื่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินบทสนทนาที่ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงความทรมานและความว้าวุ่นใจในการทำคะแนนให้ได้สูงๆมากพอจะเข้ามหาวิทยาลัยที่ตอนนี้ผมล่ะอยากจะลาออกไปนอนแทนซะเหลือเกิน

    “ไอ้ฝนบ้านี่” ผมสบถออกมาเบาๆเมื่อฝนที่ซาลงไปแล้วเริ่มตกหนักขึ้นและไร้ทีท่าว่าจะหยุด เสียงพูดคุยรอบข้างถูกกลบด้วยเสียงฝนที่ตกกระหน่ำ ผมที่ยืนอยู่กับที่มาเกือบครบหนึ่งชั่วโมงเต็มเริ่มรู้สึกอึดอัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเหล่าเด็กนักเรียนและผู้คนในบริเวณรอบข้างเริ่มขยับตัวเพื่อให้ตัวเองอยู่ภายใต้หลังคาเล็กๆที่แทบจะกันสายฝนที่ตกลงมาไม่ได้ และแน่นอนแหละ ฝนมักจะดึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ของทุกอย่างบนโลกใบนี้ออกมาได้ตลอดเวลา

    “ขอโทษนะครับ-- ขอบคุณครับ-- รบกวนหลบหน่อยครับ-- ขอบคุณครับ” ผมตัดสินใจเบียดเสียดตัวเองออกมาจากพื้นที่ที่แน่นขนัดแห่งนั้น ผมกางร่มทันทีเมื่อสามารถฝ่าออกมาได้และพยายามเดินอย่างระมัดระวังมากที่สุดถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่ารองเท้าของผมจะต้องเปียกโชกอยู่ดี

    ตามปกติแล้วผมมักจะเดินไปถึงคอนโดจากป้ายรถเมล์ได้ภายใน 5 นาที แต่ผมกลับรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปช้าซะเหลือเกิน ไหนจะทางเท้าห่วยๆที่ผมต้องมาคอยเล็งว่าอิฐจะกระดกไหมยิ่งทำให้ผมเกลียดทั้งฝนเกลียดทั้งการบริหารประเทศของพวกชนชั้นปกครองจนแทบจะทนไม่ไหว

    ผมเงยหน้าขึ้นมามองทางและพบว่าอีกนิดก็จะถึงทางเข้าคอนโดของผมแล้ว ผมเร่งฝีเท้าไปยังไม่ครบสิบก้าวดี หางตาก็เหลือบไปเห็นเงาดำๆอยู่ตรงหลืบมืดๆในบริเวณตึกคอนโดที่ผมอาศัยอยู่

    ผู้ชายใส่ชุดดำ..? เขาแต่งตัวเนี้ยบขนาดนั้นแต่ไปยืนอยู่ตรงนั้นเนี่ยนะ..? สูทดำเรียบกริบกับผมที่เซ็ทซะหล่อในสภาพอากาศเลวร้ายแบบนี้..? ถามจริง..

    เขาคงมีธุระแต่ไปไหนไม่ได้เพราะฝนแหละมั้ง.. เชื่อเถอะว่าเขาจะต้องเกลียดฝนเหมือนผมแน่ๆ

    ผมมองไปรอบๆแล้วพบว่าทั่วทั้งบริเวณว่างเปล่าไร้ผู้คน มีแค่ผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ และเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมมองร่มในมือที่คงจะไร้ความหมายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างสูงโปร่งนั้นอย่างไม่ต้องคิด ร่มคันนี้มันคงมีประโยชน์กับเขามากกว่าผม อย่างน้อยๆเขาก็ควรจะระมัดระวังเสื้อสูทที่มองไกลๆก็รู้แล้วว่าราคาต้องไม่ใช่ถูกๆแน่นอน

    ขอโทษนะครับ คือ.. เอ่อ ผมว่าคุณอาจต้องใช้ร่มนะ” เขาลืมตาคู่สวยคมขึ้นมาช้าๆ

    คือ.. คือผมคิดว่าคุณอาจต้องไปทำธุระสำคัญที่ไหนสักที่แต่ติดฝนน่ะครับ-- ผมวิ่งไปแปปเดียวก็ถึงคอนโดแล้ว ส่วนร่มไม่ต้องคืนผมก็ได้ครับไม่ต้องเกรงใจ” ผมพิงร่มไว้กับกำแพงที่เขายืนพิงอยู่ เขามองผมด้วยสายตาเย็นชา คงจะคิดว่าผมจุ้นจ้านนั่นแหละแต่ผมไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก ผมยิ้มบางๆให้เขาก่อนจะเริ่มสัมผัสได้ถึงต้นไม้ที่แกว่งไปมาเพราะลมที่โบกพัดแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

    ยังไงก็ขอให้วันนี้คุณเจอแต่เรื่องดีๆนะครับ

    นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมพูดกับเขาก่อนจะวิ่งให้ไวมากที่สุดเพื่อหนีจากฝนฟ้าที่มีแววว่าจะตกหนักกว่าเดิม

    *

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in