เราสอบแค่วิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งบอกตรงๆว่าเป็นวิชาที่ค่อนข้างจะมั่นใจจนกระทั่งทำให้รู้สึกขี้เกียจทำข้อสอบเก่าอีกครั้งก่อนสอบซะอย่างนั้น
สิ่งที่ทำก่อนสอบมันช่างตลก ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่มันรวมถึงสังคม และภาษาไทย สิ่งที่เราทำก่อนสอบมันคือการดูคลิปบนยูทูป อ่านจอย และเล่นทวิตเตอร์
พอย้อนกลับมาดูแล้วมันช่างน่าสมเพชที่ทำตัวแบบนี้
ไปถึงสนามสอบในเวลาที่กระชั้นชิด อีกเพียง 6 นาทีก็จะเริ่มสอบ จำได้ว่าพอนั่งเก้าอี้ก็หอบแฮ่กๆ ในใจยังคงไม่มีความกังวลต่อข้อสอบมากเท่าไหร่
จากนั้นจึงขอ ร.5 และ ร.6 ให้ช่วยเมตตา
แต่พระองค์คงอยากเมตตาคนที่มีความพยายามมากกว่าตัวเรา คำขอนี้จึงไม่ช่วยอะไร แต่นั่นก็สมควร
เราวางนาฬิกาข้อมือไว้บนโต๊ะ เขียนชื่อ และเริ่มทำข้อสอบ
ข้อสอบปีนี้น่าแปลกใจที่พาร์ท conversation กลับง่ายและสั้น แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังเว้นบางข้อไว้เพราะไม่มั่นใจ
อีก30นาทีจะหมดเวลา และพบว่าเรายังเหลือช่องที่ 3 เต็มๆและช่อง 4 ในพาร์ทเรียงประโยค นอกจากนั้นยังมีข้ออื่นๆที่เว้นไว้เพราะจะตัดสินใจตอนหลังอีก
ดูเหมือนว่าจะไม่ทันแล้ว
ลน นี่คือสิ่งที่ได้จากการทำ reading ใน passage ที่ยาวที่สุด และสุดท้ายก็"ไม่ทำแม่งแล้ว"
ตัดสินใจพลิกกระดาษไปหน้าหลัง ตอบคำถามพาร์ทเรียงประโยคที่ไม่ค่อยทำถูกหมดนักในข้อสอบเก่า(ทั้งๆที่ใช้เวลามากกว่า1.30ชม.) ด้วยเซนส์ตัวเองล้วนๆเนื่องจากเวลาที่มีใกล้หมดแล้ว
อาจารย์ประกาศว่าอีก 5 นาทีจะหมดเวลา พร้อมๆกับข้อสอบที่ยังคงว่างไว้ราวๆเกือบ 20 ข้อ
เราตัดสินใจพลิกกลับไปหน้าแรกและเลือกคำตอบที่เด็ดขาด แต่ยังมิวายไม่กล้าเลือก จนกระทั่งประกาศหมดเวลา เราทำไม่ทันทั้งหมด 17 ข้อ
แอบฝนมั่วต่ออีก 2 ข้อ ซึ่งถูกอาจารย์คุมสอบดุ ความรู้สึกตอนนั้นคือแย่ที่สุด อยากจะร้องไห้ อยากจะเก่งกว่านี้ อยากจะขอเวลาเพิ่มอีก และอยากเป็นคนที่พยายามมากกว่านี้
15 ข้อที่ไม่ได้ทำ ถ้าหากเราทำทั้ง 65 ข้อถูกหมดก็จะได้ 81.25 คะแนน แต่มันคงไม่มีทางเป็นแบบนั้น
ก่อนอื่น เราเป็นคนที่ค่อนข้างถนัดภาษาอังกฤษ และพูดตามตรง--เคยคิดว่าตัวเราเอง"เก่งแล้ว" และคิดไว้ว่าวันนี้คงทำทันและไม่พลาด
แต่ความเป็นจริง เราก็ยังเป็นแค่นักเรียนธรรมดาๆ ที่ไม่ขยัน ทะนงตัว และคอยเอาแต่โทษนั่นโทษนี่
ถ้าหากเราเก่งมากกว่านี้ก็คงดี
ถ้าหากเราขยันมากกว่านี้ก็คงดี
เพราะอังกฤษเป็นวิชาที่เรารักมากที่สุด ผลของการทำข้อสอบวันนี้จึงกระทบความรู้สึกของเราอย่างจัง
ขนาดเป็นวิชาที่รักและถนัดที่สุด แต่กลับทำให้ดีที่สุดอย่างที่คิดไว้ไม่ได้
นั่นทำให้เราอยากเปลี่ยนตัวเอง
เคยคิดไว้ก่อนหน้านี้เหมือนกันเวลาเข้าห้องสมุด
--อยากเข้าอักษรจุฬา อยากได้ทุนไปเรียนเยอรมนี อยากเรียนภาษาเยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลี อยากเที่ยวรอบโลก อยากมีอนาคตดีๆให้พ่อแม่สบาย อยากลองเป็นคนเก่ง
แต่ความคิดในห้องสมุดก็ดูไม่มีค่าอะไรเมื่อตัวเรากลับมาถึงบ้าน
สุดท้ายวันนี้ก็ทำให้เรารู้ ว่าเราเป็นคนที่ดีแต่คิด แต่ทำจริงไม่เคยได้
เคยคิดจะซิ่วถ้าหากเข้าอักษรจุฬาไม่ได้ คงเรียนมออื่นไปก่อนแล้วค่อยสอบใหม่อีกครั้ง แต่ตอนนั้นก็ยังคิดแหละว่า "น่าจะได้แหละน่า มั้ง"
แต่วันนี้ เราคิดว่าเรากลายเป็นเด็กซิ่วตั้งแต่ออกจากห้องสอบเลย
จากนั้นก็ไปร้องไห้ในห้องน้ำเงียบๆคนเดียว ทั้งๆที่ควรรู้สึกเป็นไท แต่เรารู้ดีว่าภารกิจเรายังคงไม่จบ และคงไม่มีวันจบด้วย เพราะการอ่านหนังสือ ไม่ใช่แค่เป็นทางผ่านเพื่อสอบเข้าเพียงอย่างเดียว
กังวลเหมือนกันว่าอนาคตจะเป็นยังไง จะไปติดที่ไหน หรือที่เลวร้ายที่สุดคือ "ถ้าเกิดว่าเราไม่ติดล่ะ"
ภาวนาอย่าให้เป็นแบบนั้น
---
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เราอยากสู้ต่อเพื่ออักษรจุฬา
การที่ได้ไปที่จุฬาถึง 2 ครั้งทั้งๆที่ไม่ใช่เด็กกรุงเทพ ครั้งแรกก็กลายเป็นหนึ่งในนักเรียนผู้โชคดีที่ได้ทำกิจกรรมนั้น ทั้งๆที่จริงๆเราไม่มีสิทธิ์ ด้วยความใจดีของพี่ๆนิสิตแท้ๆ (ขอบคุณจริงๆค่ะ)
ครั้งที่สองที่ได้ไปงานของคณะอักษรโดยเฉพาะ คราวนี้ไปในฐานะตัวจริง(ฮ่าๆ) ยังจำได้ว่ากรี๊ดดังแค่ไหนเมื่อเห็นชื่อตัวเอง
การได้ไปสัมผัสมหาวิทยาลัยที่เราฝันทั้งสองครั้งนี้มันทำให้เรารู้สึกว่า เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ เรารักที่นี่
ตอนนี้เรายังไม่มีคุณสมบัติมากพอ
แต่เราจะไม่ยอมแพ้
หนทางของเรายังคงมีต่อ และมันคงเจอกับช่วงที่ลำบากบ้าง เรารู้ดี แต่เราจะไม่กลับไปเป็นคนเดิม "คนขี้เกียจ ทะนงตัว ดีแต่พูด" คนนั้นอีกแล้ว
และนี่คือจุดเริ่มต้นของบันทึกนี้
GOAL
⭕สอบติดคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ได้
จะทำให้ได้
รอเราก่อนนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in