เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Sophia in India DiaryHellosophia
Sophia in India Diary EP.1 หนีเรื่องเพลียๆไปเรียนภาษาที่อินเดีย

  • ชีวิตการทำงานในโรงพยาบาลเอกชนต่างจังหวัด ในช่วงเกือบ 2 ปี มันเริ่มน่าเบื่อเกินไป ชีวิตวนลูปเดิมๆ  ด้วยเหตุนี้ทำให้ฉัน หญิงสาววัย 26 ปี ตัดสินใจก้าวออกจากชีวิตเดิมๆ


    เรื่องเริ่มต้นขึ้นในวันทำงานที่ฉันแอบใช้ช่วงเวลาว่างเล็กน้อยนั่งเล่นเฟสบุ๊ค ไถไทม์ไลน์ไปเรื่อยๆจนไปเจอเพจ “ตามติดชีวิตอินเดีย” พี่ขิม ผันตัวมาเป็นเอเจนซี่ ลงประกาศรับสมัครนักเรียนไปเรียนโกอา ประเทศอินเดีย ราคาไม่แพง ฉันผู้อยากไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม จึงทักแชทไปถามข้อมูลพี่ขิม พี่ขิมตอบทุกเรื่องที่อยากรู้ หลังจากนั้น ฉันส่งข้อมูลไปให้แม่ดู แม่ฉันมีเพื่อนหลายคนที่ส่งลูกๆไปเรียนที่อินเดีย ฉันจึงได้คุยกับน้องที่เคยไปเรียนไฮสคูลที่อินเดีย น้องแนะนำเอเจนซี่ และเล่าเรี่องราวคร่าวๆในอินเดียให้ฟัง แรกเริ่มฉันแค่อยากไปโทที่อินเดีย แต่หลักสูตรป.ตรีที่ฉันจบ ไม่สามารถเข้าเรียนป.โทในสาขาที่ต้องการได้ 1 เดือนผ่านมาฉันตัดสินใจแจ้งเอเจนซี่ไปว่าจะไปเรียนภาษา ฉันขอแม่ไปแค่ 1เดือน เพราะไม่อยากลาออกจากงานในตอนแรก แต่แม่บอกว่า “ไปทั้งที 6 เดือนไปเลย” หลังจากนั้นก็ตกลงกับเอเจนซี่ คุยกับสถาบัน แล้วให้เอเจนซี่ดำเนินการเรื่องเอกสารเมื่อทำวีซ่า ฉันยื่นใบลาออก และทำงานวันสุดท้ายคือสิ้นเดือนเมษายน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย กำหนดการเดินทางของฉันคือ 28 พฤษภาคม 2019 นี่เป็นการไปต่างประเทศครั้งแรกของฉัน ด้วยความตื่นเต้นฉันจัดกระเป๋าล่วงหน้าก่อนเดือนทาง1 อาทิตย์ ซื้อของเผื่อเตรียมไปอยู่ที่โน่น ฉันนับวันและเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ .............

    28 พฤษภาคม 2019
    และวันเดินทางก็มาถึง เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ฉันเดินทางจากบ้านแม่ที่หลักสี่ไปสนามบินดอนเมืองพร้อมกับพ่อแม่ และมีเพื่อนอีกสองคนตามมาส่ง ฉันตั้งใจมาแล้วว่าตอนบอกลาพ่อแม่ ฉันจะไม่ร้องไห้ให้พวกเขาเห็น เพราะปกติฉันบ่อน้ำตาตื้นมาก แล้วฉันก็ทำสำเร็จ ฉันไม่มีน้ำตาสักหยด ได้แต่กอดอำลา พ่อแม่ และเพื่อน ฉันหันไปมองพวกเขาจนลับตา ความจริงฉันตื่นเต้นสุดๆ กับการจะไปเผชิญโลกกว้างครั้งนี้ จนกระทั้งอยู่บนเครื่องบิน อยู่ๆน้ำตาก็ไหล ฉันพยายามกลั้นน้ำตาไว้แล้วเพราะกลัวพี่ๆแอร์โฮสเตทจะเห็น แต่ก็ทำไม่ได้ 555 ได้แต่หันมองไปนอกหน้าต่างดูวิวยามค่ำคืน ที่แถบจะมองไม่เห็นอะไรเลย เพราะสภาพอากาศมืดครึ้ม ฉันพยายามข่มตาหลับ แต่ก็ไม่หลับเลยตลอด 4 ชั่วโมง น่าจะเพราะกาแฟมิ้นแสนอร่อยที่กินไปก่อนขึ้นเครื่อง


    29 พฤษภาคม 2019
    ฉันถึงสนามบินนานาชาติ Kempegowda International Airport บังกาลอร์ ประเทศอินเดีย เวลาประมาณ 5 ทุ่ม
    ขนกระเป๋า 3 ใบอันแสนหนักอึ้ง เกือบ 50 กก.ขึ้นรถเข็น แล้วก็พบเอเจนซี่มายืนรอรับ เราทักทายกันนิดหน่อยแล้วเขาก็พาไปที่ลานจอดรถ เพื่อเดินทางไปที่บ้านของเอเจนซี่ สิ่งแรกเมื่ออกจากสนามบิน ฉันถูกต้อนรับด้วยเสียงแตรรถที่แสนวุ่นวาย ฉันไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลย ได้แต่มองดูข้างทาง บางพื้นที่ของอินเดียคึกคัก แม้ว่าเวลาจะเกือบตี 1แล้ว เพราะหลายบริษัททำงานไทม์โซนเดียวกับยุโรปและอเมริกา เนื่องจากบังกาลอร์ขึ้นชื่อเรื่องบริษัทไอที จึงไม่น่าแปลกใจที่ยังมีผู้คนพลุกพล่านในเวลาแบบนี้
    เวลา 1.30 น.
    ฉันเดินทางมาถึงบ้านเอเจนซี่ที่ BTM Layout ฉันรื้อกระเป๋าเอาของบางส่วนที่ต้องใช้ อาบน้ำ โชคดีที่บ้านเอเจนซี่มี Wifi พอให้ฉันส่งไลน์ไปหาพ่อแม่ ว่าถึงปลอดภัยดี ทำโน่นนี่ กว่าจะได้นอนก็ ตี 2....


    วันแรกในอินเดียของฉันต้องอยู่กับเอเจนซี่ก่อน ถึงจะย้ายไปอีกแอเรียนึง ซึ่งเป็นที่ๆฉันต้องอยู่และเรียนภาษาอังกฤษที่นั่น
    นอนที่อินเดียคืนแรกฉันหลับเป็นตาย ไม่มีการแปลกที่ใดๆ อากาศก็สบาย ประมาณ 20 องศา เมื่อตื่นเช้ามาก็เจอกับน้องคนไทยที่อยู่บ้านเอเจนซี่ น้องส่วนใหญ่เรียนไฮสคูลที่นี่ ช่วงนี้เป็นช่วงที่โรงเรียนปล่อยให้กลับมาบ้านได้ มีเด็กไทยบางส่วนบินกลับไทย บางคนก็ยังอยู่ที่อินเดีย พี่เอเจนซี่ให้น้องสองคน       พาขึ้นออโต้ริกชอร์ (รถตุ๊กบ้านเรานั่นเอง) พาไปที่ MG Road เพื่อซื้อซิมการ์ด ฉันซื้อซิมการ์ดของ Airtel จ่ายค่าเสียหายไป 1400 รูปี ได้ซิมมาหนึ่งอัน กับแพ็คเก็จเน็ต 1 เดือน (เน็ตที่อินเดียเป็นแบบจำกัดการเล่น เช่น ถ้าซื้อแบบ 3Gb. คุณจะใช้เน็ตได้ 3Gb. ต่อวันแล้วลดลงเรื่อยๆจนเหลือ 0Mb. เมื่อเที่ยงคืนของวันใหม่ เน็ตจะrenewขึ้นมาเป็น 3Gb. เหมือนเดิม วันไหนดูคิลปเยอะ เที่ยงหรือบ่ายก็หมดแล้ว ต้องไปซื้อเพิ่ม) หลักจากซื้อซิมก็พาไปเดินเล่นห้าง กินโน่นนี่ ฉันตื่นเต้นกับการการจลาจรของอินเดียมาก เขาบีบแตรกันมันมือสุดๆ หลักงจากเที่ยวเล่นชมเมืองการจนหมดวัน ก็กลับมากินข้าว นั่งคุยกับน้องที่ห้องนั่งเล่น แล้วก็เข้านอน วันแรกฉันสนุกมาก ไม่เหงาเลย ไม่มีอาการคิดถึงบ้านแต่อย่างใด...

  • 30 พฤษภาคม 2019
    สายๆวันพฤหัส วันที่สองของการอยู่อินเดีย ฉันตื่นมาอาบน้ำเตรียมตัว เพราะนัดกับเอเจนซี่ไว้ตอน 11โมง เพื่อที่จะเดินทางไปยัง Kammanahalli เป็นที่ตั้งของสถาบันที่ฉันเรียน 11 โมง หลังจากกินผัดมาม่าฝีมือเอเจนซี่เสร็จ รถอูเบอร์ที่เราจองไว้ก็มาถึงเราใช้เวลาเดินทาง 1.30 ชม แม้ว่าจะห่างจากบ้านแค่ 16 กม. ระหว่างทางจู่ๆแอร์รถก็เสีย มีแต่ลมร้อนๆ แถมยังได้กลิ่นตัวของคนขับ ฉันและเอเจนซี่ได้แต่มองหน้าแล้วยื่นยาดมให้กันแบบไม่ต้องเอ่ยปากใดๆ กลิ่นขึ้นตามากๆค่ะ เมื่อมาถึงที่ Focus institute ความรู้สึกแรกที่คิดคือ ฉันต้องเรียนที่หรอ เพราะมันเป็นตึกสูง 5 ชั้น ค่อนข้างเก่า ฉันเดินขึ้นบนชั้น 2 ด้วยบันใดที่ข้างข้างในสถาบันค่อนข้างโอเค ข้างในเป็นห้องกระจก ผิดกับนอกตึกที่ดูค่อนข้างน่ากลัว ฉันเดินเข้าไปในห้องของprincipal เพื่อจ่ายเงิน ฉันจ่ายค่าเรียนไป 1,400 USD และคุยเรื่องการเรียน เมื่อกรอกใบสมัครเรียนเสร็จฉันเพิ่งรู้ว่าลืมเอารูปมาจากที่ไทย หลานชายของ principal เลยพาไปถ่ายรูป เอเจนซี่เตือนฉันว่า รูปมันจะเรียลมาก คือไม่ผ่านการปรัปแต่งใดๆ รูปที่ออกมาก็เป็นอย่างที่เอเจนซี่บอกจริงๆ รูปที่ฉันได้คือหน้ามัน ผมกระเซอะกระเซิง พร้อมกลับรอยยิ้มแฉ่งๆของฉันที่หลานชายprincipal บังคับให้ยิ้ม 5555 ถ่ายรูปเสร็จก็กลับไปทำเอกสารต่อจนเสร็จ แหม่ม ภรรยาของprincipal ก็พาเราไปที่บ้านของเขา เป็นอพาร์ตเม้น 6 ชั้น ชั้นเจอกับคนไทยที่เรียนอยู่ก่อนนั่งกินข้าวอยู่ แล้วแหม่มพาไปดูห้อง ฉันช็อคมากๆ เพราะห้องเล็กๆ ไม่มีหน้าต่าง ห้องน้ำก็แถบหมุนตัวไม่ได้ ฉันบอกเอเจนซี่ว่าไม่โอเค เอเจนซี่ก็แจ้งแหม่ม เขาบอกให้อดทนอีก 1วีค เพราะจะมีคนไทยกลับ ค่อยย้ายไปอยู่ใหญ่ จากนั้นก็จ่ายเงินค่าหอพัก 9000รูปีต่อเดือน หลักจากเคลียทุกอย่างเรียบร้อย ก็ถึงเวลาบอกลาเอเจนซี่ แล้วช่วงเวลาอันแสนโศกเศร้า (สำหรับฉันในตอนนั้น) ก็เริ่มต้นขึ้น.....ด้วยความห้องเล็กๆไม่มีหน้าต่าง ไม่มีแสงเข้า มันให้ความรู้สึกอดอู่ บวกกับความผิดหวังที่ไม่ได้ห้องอย่างที่ตั้งใจ จึงทำให้ฉันร้องไห้ขึ้นมา ฉันร้องไห้อยู่สักพักก็บอกตัวเองว่าไม่ได้แล้ว ร้องแบบนี้ไม่ช่วยอะไร บ่ายๆเกือบเย็นฉันจึงออกไปเดินเล่น เพื่อสำรวจเส้นทาง ฉันเดินจากบ้านโฮสไปถึงถนนใหญ่ ก็ประมาณ 500 เมตร แล้วก็เดินมองผู้คน ถนน ที่ทุกอย่างดูแปลกตาไปหมด แล้วก็คิดในใจว่า “กูมาทำอะไรที่นี่วะ ตั้ง 6 เดือน” 5555 กลับมาถึงบ้าน นอนเล่นสลับกับร้องไห้ไป เน็ตมือถือก็จำกัด จนถึงตอน 1 ทุ่ม ก็มีน้องคนไทยมาเคาะประตูชวนไปกินข้าว ต้องขอบคุณน้องมากๆ ชวนปลอบ คอยชวนเรากินข้าว ทำโน่นนี่ ในช่วงที่ฉัน Homesick ถ้าไม่ได้น้องๆคงแย่... ขอบคุณเฟินและออยมากๆ

    https://www.instagram.com/sophsophdiary/ ติดตามชมรูปและวิดีโอได้ในไอจีเลยค่า

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in