“เย่เฉินศิษย์สำนักนอก เนื่องจากตันเถียนแตก ไร้วาสนาฝึกตน นับแต่บัดนี้ถูกขับออกจากสำนัก ไม่อนุญาตให้ก้าวเข้าสู่เขาวิญญาณเจิ้งหยางแม้เพียงครึ่งก้าว”
ในวิหารโอ่อ่าปรากฏน้ำเสียงเยือกเย็นดุจคำพิพากษาจากสวรรค์ เสียงที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามที่ไม่อาจล่วงเกิน
ณ เบื้องล่าง เย่เฉินยืนนิ่งอยู่กลางวิหาร สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ ฟังคำพิพากษาอันไร้ซึ่งความปราณี มือของเขานั้นกำหมัดแน่น และอาจจะเป็นเพราะออกแรงมากเกินไปทำให้เล็บจิกเข้าใจกลางฝ่ามือจนเลือดสดๆ ไหลออกมา
ตันเถียนแตก ไร้วาสนาฝึกตน
เย่เฉินฝืนยิ้ม ทว่าดวงตานั้นกลับเต็มไปด้วยความเศร้ารันทด
สามวันก่อนเขาลงเขาไปรับยาวิญญาณให้ทางสำนัก แต่กลับถูกยอดฝีมือจากสำนักคู่อริลอบทำร้าย เขาสู้สุดชีวิตเพื่อรักษายาวิญญาณ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดกลับมาสำนัก และนั้นทำให้ตันเถียนของเขาถูกทำลายจนกลายเป็นคนไร้ค่าโดยสมบูรณ์
เพียงแต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าในสายตาของเบื้องบนความภักดีของเขานั้นแทบไม่มีค่าเลยแม้แต่น้อย พวกเขารอที่จะขับไล่เขาออกจากสำนักแทบทนไม่ไหวเหมือนเขาเป็นเพียงขยะไร้ประโยชน์ชิ้นหนึ่ง
“ยังไม่ไปอีก?” เห็นเย่เฉินยังยืนนิ่งไม่ไหวติง ในวิหารก็มีเสียงหมดความอดทนดังขึ้นอีกครั้ง
“ตันเถียนก็ถูกทำลายไปหมดแล้ว อยู่ต่อไปจะยังมีประโยชน์อันใด? แต่ไหนแต่ไรมาสำนักเจิ้งหยางเรามิเคยเก็บคนไร้ค่าเยี่ยงนี้ไว้”
“รักษาเจ้าสามวันก็นับว่ามีเมตตามากแล้ว”
น้ำเสียงดูถูกในวิหารที่ดังบาดหูลอยเข้าหูเย่เฉิน ราวกับเข็มทิ่มแทงหัวใจเขาก็มิปาน
“สำนักเยี่ยงนี้ช่างทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!”
เสียงแหบพร่าเจือด้วยความเศร้าโศกดังขึ้น เย่เฉินค่อยๆ หันกายจากไป
นอกวิหาร ทั่วภูเขาวิญญาณเต็มไปด้วยต้นไม้โบราณสูงตระหง่าน พลังวิญญาณปกคลุมหนาแน่น เมฆหมอกลอยทั่ว นกกระสาร่ายรำ ที่นี่สงบร่มเย็นดุจแดนเซียนในโลกมนุษย์
ที่นี่ก็คือสำนักเจิ้งหยาง สำนักฝึกตนทางตอนใต้ของแคว้นต้าฉู่
ทว่าในวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาของเย่เฉินกลับเยือกเย็นเสียเหลือเกิน มันทำให้เขาอดที่จะกอดร่างอันสั่นเทาของตัวเองไว้ไม่ได้
“ข้าบอกแล้ว! เขาถูกขับออกจากสำนักจริงด้วย!”
เย่เฉินเพิ่งจะก้าวออกมาก็มีเหล่าศิษย์ต่างพากันชี้ไม้ชี้มือ บ้างก็เยาะเย้ยถากถาง บ้างก็ทอดถอนใจ
“จะว่าไปศิษย์พี่เย่ช่างน่าสงสารนัก ก่อนหน้านี้เขาดีกับพวกเรามาก พวกเราไปส่งเขากันเถอะ!”
“ส่งทำไมกัน พวกเราเป็นผู้ฝึกตน ส่วนเขานับเป็นตัวอะไร”
“ตอนนี้มันไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว”
เสียงหัวเราะเยาะและเสียงถอนหายใจรอบด้านทำให้เย่เฉินก้มหน้าลง เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่คำพูดของเขานั้นกลับติดอยู่ในคอราวกับว่าถูกก้างปลาทิ่มแทงคอ เวลานี้เขาเหมือนนักโทษที่ถูกแห่ประจานรอบเมือง เป็นผู้ที่ถูกโลกทอดทิ้ง
ใช่สิ! เขาไม่ใช่เย่เฉินคนก่อนอีกต่อไปแล้ว
นับจากวันนี้ไปเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนเป็นเพียงแค่คนไร้ค่าผู้หนึ่งที่ตันเถียนถูกทำลาย ความภาคภูมิใจในอดีตบัดนี้ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว เขาต้องเผชิญหน้ากับโลกที่แสนเย็นชา และทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับมัน
โอ๊ะโอ!
เสียงหัวเราะขบขันดังมาจากข้างหน้า ศิษย์ชุดขาวในมือถือพัดผู้หนึ่งเดินเข้ามา สายตาเต็มไปด้วยความขบขันจ้องมองเย่เฉิน “นี่ใครกัน! นี่มิใช่ศิษย์พี่เย่ของพวกเราหรอกหรือ!”
เย่เฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองคนที่เดินเข้ามาผ่านเส้นผมที่ปรกใบหน้า เขามีใบหน้าขาวหมดจด ริมฝีปากบางแฝงแววร้ายกาจ เขานับว่ามีใบหน้าหล่อเหลาแต่กลับมีดวงตาดุจหงส์
“จ้าวคัง” เย่เฉินจำชื่อคนผู้นี้ได้ จ้าวคังในตอนนั้นมิได้มีท่าทางเย่อหยิ่งเฉกเช่นตอนนี้ ตอนนั้นเขาเคารพศิษย์พี่เย่อย่างเขายิ่งนัก
จุ๊ๆ!
ความคิดของเขาถูกขัดจังหวะลง จ้าวคังเดินวนรอบเย่เฉินหนึ่งรอบ พลางกวาดสายตามองประเมินอีกฝ่าย ปากก็ส่งเสียงไม่หยุด “ศิษย์พี่เย่! วันนี้ไฉนจึงมีสภาพตกอับเช่นนี้เล่า เห็นศิษย์พี่แล้วข้าช่างปวดใจเสียจริง!”
เย่เฉินรู้ว่านี่เป็นคำถากถาง เขาจึงไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความ พลางก้าวเดินต่อทันที
“หยุดก่อน!” จ้าวคังก้าวเข้ามาขวางเย่เฉิน พลางโบกพัดเบาๆ มองเย่เฉินด้วยท่าทางสนุกสนาน
“ถอยไป”
“กลายเป็นคนไร้ค่าไปแล้ว ยังจะทะนงตนอีก” จ้าวคังรวบพัดเข้าด้วยกัน รอยยิ้มบนใบหน้าพลันสลายไป “เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นเย่เฉินคนเดิมอยู่อีกหรือ?”
เย่เฉินร่างสั่นสะท้าน อยากจะโต้ตอบกลับไป แต่ไม่มีแรงจะเอ่ยปาก
“อยากไปงั้นหรือ? ย่อมได้” จ้าวคังเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พูดพลางกางขาออก มองเย่เฉินอย่างขบขัน “คลานลอดหว่างขาข้าไปสิ! บางทีข้าอาจจะให้หินวิญญาณเป็นค่าเดินทางกับเจ้าสักสองสามก้อนก็ได้”
“จ้าวคัง” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมอง ในดวงตามืดดำไร้แสงของเย่เฉินมีประกายเยือกเย็นวาบผ่าน
“ศิษย์พี่จ้าวคัง ท่านทำเช่นนี้…” ท่ามกลางฝูงชนที่มุงดูอยู่รอบด้านมีเสียงศิษย์ดังขึ้น เขาคิดจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้เย่เฉิน เพียงแต่เขานั้นช่างอ่อนแอยิ่งนัก คำพูดจึงไร้น้ำหนัก
“รนหาที่ตาย?” จ้าวคังหันหน้าไปตวาดกร้าว ถลึงตาจ้องศิษย์ผู้นั้น รอบด้านพลันเงียบสงัด คล้ายหวาดกลัวในพลังของจ้าวคัง กระทั่งหายใจก็ยังไม่กล้าส่งเสียงดัง
เมื่อกำราบศิษย์รอบด้านลงได้ จ้าวคังก็มองไปทางเย่เฉินอีกครั้ง พลางหัวเราะเยาะ “เย่เฉิน เจ้าจะคลานหรือไม่คลาน? ข้า...”
พูดยังไม่ทันจบจ้าวคังก็หยุดไว้ก่อน เพราะไม่ไกลออกไปเขาเห็นเงาร่างหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
ผู้มาเยือนอาภรณ์พลิ้วไหว ผมยาวราวกับคลื่นทะเลเป็นประกาย ใบหน้างดงามหมดจดจนทำให้คนหยุดหายใจ นางเปรียบเสมือนเซียนหญิงที่ลงมาเยือนโลกมนุษย์ บริสุทธิ์เหนือโลกีย์
“เป็นศิษย์พี่จีหนิงซวง” ศิษย์รอบด้านดวงตาเป็นประกาย
โดยเฉพาะบุรุษเพศ ในดวงตายิ่งเจือประกายร้อนแรง เผยให้เห็นความชื่นชมและความปรารถนาอย่างไม่ปิดบัง นางเป็นถึงเซียนหญิงผู้งดงามไร้ที่ติแห่งสำนักนอกเจิ้งหยาง เป็นที่หมายตาของบุรุษทั้งหลาย
ทั่วทั้งสำนักเจิ้งหยางมีใครบ้างไม่รู้ ยามจีหนิงซวงอยู่เบื้องหน้าเหล่าศิษย์นางเย็นชาราวกับกีดกันผู้คนออกไปพันลี้ ทว่ามีเพียงอยู่ต่อหน้าเย่เฉินเท่านั้นนางถึงจะเผยด้านอ่อนหวานออกมา พวกเขาทั้งคู่ได้รับยกย่องให้เป็นดั่งกิ่งทองใบหยกแห่งสำนักเจิ้งหยาง
แน่นอนว่าภาพเช่นนั้นเป็นเพียงอดีตไปเสียแล้ว
บัดนี้เย่เฉินตกต่ำลง จีหนิงซวงผู้สูงส่งไม่มีทางยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวานดั่งในวันวานอีกต่อไป
“จีหนิงซวง” เย่เฉินเอ่ยเสียงแหบพร่า เขาไม่ได้หันไป ทว่าในดวงตากลับเจือแววสลับซับซ้อน
นางเป็นคนที่เขาเคยยอมทุ่มชีวิตปกป้อง แต่นับจากที่ตันเถียนของเขาถูกทำลาย และสูญเสียพลังฝึกฝน จีหนิงซวงที่มักจะยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวานตอนนี้กลับกลายเป็นมีท่าทีเย็นชา
นับตั้งแต่บัดนั้นเย่เฉินก็เข้าใจแล้วว่า ความรู้สึกและมิตรภาพที่เคยหนักแน่นดุจขุนเขา ทั้งหมดล้วนสลายไปแล้ว
“ศิษย์น้องหนิงซวง” ทางด้านจ้าวคังกางพัดออกด้วยท่าทางสบาย ใบหน้ายิ้มต้อนรับอีกฝ่าย ต่างจากท่าทางร้ายกาจก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน
จีหนิงซวงเพียงพยักหน้ารับอย่างสุภาพให้จ้าวคังที่ยิ้มให้ ทว่าสีหน้ายังคงเย็นชา ราวกับว่าความวุ่นวายใดๆ ในโลกล้วนไม่อาจทำให้ดวงตาอันงดงามของนางปรากฏระลอกความรู้สึกได้
นางค่อยๆ เดินมาตรงหน้าเย่เฉิน แม้ในใจจีหนิงซวงจะมีความเสียใจ แต่ทว่าในดวงตากลับมีเพียงความเย็นชา คล้ายกำลังกล่าวว่า พวกเราไม่ได้เดินบนเส้นทางเดียวกันอีกแล้ว
“เดินทางปลอดภัย” เพียงสี่คำสั้นๆ แม้จะไพเราะดุจเสียงสวรรค์ แต่กลับไม่สามารถปกปิดความเย็นชาในน้ำเสียงของจีหนิงซวงได้
“ท่าทางเช่นนี้ของเจ้า เวทนาหรือ?” เย่เฉินไม่ได้หันมองจีหนิงซวง เขาทำเพียงก้มลงเก็บย่ามที่ตกอยู่บนพื้น ในคำพูดปราศจากความอบอุ่นเช่นวันวาน คำพูดเช่นนี้ทำให้คนฟังปวดใจยิ่งนัก
จีหนิงซวงไม่กล่าวอันใด ความรู้สึกในอดีตเหลือเพียงความทรงจำอันเลือนลาง
“ข้าไปล่ะ” เย่เฉินปัดฝุ่นบนย่าม แล้วค่อยๆ หมุนตัวเดินจากไปอย่างเหนื่อยล้า ใต้แสงจันทร์เงาร่างผอมแลดูอ้างวางโดดเดี่ยว
กลางคืนอันแสนมืดมิดบนถนนสายเก่าที่แสนเงียบเหงา มีม้าผอมตัวหนึ่งกำลังเดินอยู่อย่างเชื่องช้า เสียงเกือกม้ากระทบกับพื้นดังเป็นจังหวะ
เย่เฉินเอนตัวนอนหมดแรงอยู่บนหลังม้า เงยหน้าขึ้นมองฟ้าอันว่างเปล่าอย่างเงียบๆ
นับตั้งแต่วันที่เขาออกจากสำนักเจิ้งหยางเขาก็นอนซบอยู่บนหลังม้ามาโดยตลอด ม้าผอมตัวนี้แบกเขาไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ามุ่งหน้าไปยังสถานที่ใดและไม่รู้ว่าจะสามารถเดินทางไปยังที่ไหน ตั้งแต่เล็กเขาก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกสำนักเจิ้งหยางเก็บมาเลี้ยง ไม่มีบ้าน ไม่มีบิดามารดา ไร้ญาติขาดมิตร
เขาเห็นสำนักเจิ้งหยางเป็นบ้านมาโดยตลอด ส่วนเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องก็คือญาติของตน
บัดนี้เขาถูกขับออกจากสำนัก กลายเป็นเด็กไร้บ้าน ต้องประสบกับความโดดเดี่ยวที่ไม่เคยพานพบ จนทำให้เขาอดที่จะนอนขดกอดตัวเองไว้ไม่ได้
“บ้านข้าคือหนใด!” ในค่ำคืนที่มืดมิดมีเสียงพึมพำดังขึ้นชัดเจน ดวงตาของเย่เฉินนั้นเริ่มพร่ามัวโดยไม่ทันรู้ตัว ความเหนื่อยล้าทำให้เขาเผลอหลับไปในที่สุด
ขณะที่ดวงตาของเขาเริ่มพร่ามัว ทันใดนั้นเองบนท้องฟ้าอันมืดดำพลันกลับมีดวงดาวพร่างพราวตกลงมา ดาวตกดวงนั้นส่องสว่างเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้นนั่ง มองไปยังจุดที่ดาวดวงตกเคลื่อนที่ไป ดาวดวงนั้นมีสีทองสว่างไสว ดูคล้ายกับรวบรวมดวงดาวหลายพันล้านดวง ราวกับว่าอาศัยอยู่มาตั้งแต่โบราณกาล ดุจเผชิญโลกมาอย่างโชกโชน แสงทองร้อนแรงพุ่งดิ่งลงมาส่องสว่างไปทั่วท้องนภา
“นั่น...นั่นมันอะไรกัน” เย่เฉินมองท้องฟ้าด้วยความตกใจ เขามองเห็นสายฟ้าเชื่อมต่อกันเป็นสายทาง
ตูม!
ขณะที่เขากำลังตกตะลึงอยู่ก็พลันมีเสียงดังสนั่นขึ้น ดาวดวงนั้นตกลงมา ทำให้พื้นดินโดยรอบเกิดการสั่นสะเทือน เจ้าม้าผอมคงจะรู้สึกตกใจ มันสะบัดตัวเปล่งเสียงร้องจนเขานั้นตกลงมาจากหลังของมัน
ดาวตกจากฟ้า ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนัก
เย่เฉินรีบหยัดกายขึ้น ก้าวไปบนเศษซากพื้นดิน เขาค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้กับคลื่นความร้อนนั้น
และเมื่อเดินเข้าไปใกล้เขาจึงพบว่าด้านในนั้นคือดวงดาวที่ตกลงมาจากท้องนภา อีกทั้งมันยังคงมีเปลวอัคคีสีทองขนาดเท่าฝ่ามือส่องสว่างอยู่
ณ เวลานั้นเย่เฉินชะงัก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเจอเปลวอัคคีที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์สั่นสะเทือนขนาดนี้
ไม่นานนักแสงสีทองก็สลายไป เปลวอัคคีนั้นเปล่งแสงดุจเปลวโคม มันล่องลอยอยู่อย่างเดียวดายตรงนั้น แม้จะเป็นเปลวอัคคี แต่เย่เฉินกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนเลยสักนิด เปลวอัคคีดวงนั้นกวัดแกว่งไปมา มันช่างดูโดดเดี่ยวคล้ายกับเด็กที่ไม่มีบ้าน
“เจ้าเองก็ไม่มีบ้านหรือ?” คล้ายกับสภาพจิตใจที่โดดเดี่ยวทำให้เย่เฉินยืนมือออกไปสัมผัสมันเบาๆ อย่างอดไม่ได้
เปลวอัคคีนั้นคล้ายดั่งมีจิตวิญญาณแฝงอยู่ มันเคลื่อนตัวไปยังฝ่ามือของเย่เฉินดุจเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา มันเล่นสนุกอยู่บนฝ่ามือของเขา
“น่าสนใจ” เย่เฉินยื่นมือออกไปจิ้มเปลวอัคคีดวงนั้นอย่างอดไม่ได้
เพียงแค่เขาสัมผัสมันเบาๆ เปลวอัคคีดวงนั้นก็กลายร่างเป็นแสงทองสายหนึ่ง พุ่งตรงเข้าสู่ร่างของเขาทันที
“เจ้า...” เย่เฉินหน้าเปลี่ยนสี ชะงักไป
ส่วนเปลวอัคคีดวงนั้นดูซุกซนยิ่งนัก มันเคลื่อนตัวเป็นวงกลมอยู่ภายในร่างกายของเขา ก่อนจะพุ่งตัวไปยังใจกลางตันเถียนที่แตกของเขา
ไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงความร้อนแผดเผาบริเวณท้องน้อย จนต้องรีบก้มลงไปมอง
และเขาก็พบกับภาพน่าตกใจเข้า เปลวอัคคีดวงนั้น ทำให้ตันเถียนที่เคยแตกสลายของเขากลับสมานตัวอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ความอบอุ่นไหลเวียนทั่วร่างกายเขาดุจเหมันตฤดูในเดือนสิบสองที่ถูกอาบด้วยแสงตะวันอันร้อนแรง
“นี่…” เย่เฉินอ้าปาก
มันยังไม่จบเพียงเท่านั้น
เปลวอัคคีดวงนั้นยังคงโลดแล่นอยู่ในตันเถียนของเขา ราวกับว่ามันสัมผัสได้ถึงความเล็กของตันเถียน เปลวอัคคีดวงน้อยขยายตัวใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วแตกตัวออกมาเป็นแสงทองเปล่งประกาย ก่อนจะกลายเป็นทะเลอัคคีสีทอง ขณะที่มันกลายร่างเป็นทะเลอัคคีนั้น ตันเถียนของเย่เฉินก็ขยายใหญ่ขึ้นไปพร้อมกัน
โอ๊ย!
เย่เฉินกุมท้องพร้อมกับร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เขาล้มลงกับพื้น รู้สึกราวกับร่างของเขานั้นกำลังฉีกขาดตั้งแต่ท้องน้อยลามไปทั่วทั้งตัว
ผัวะ!
มีเสียงดังขึ้นท่ามกลางความมืด ตันเถียนที่เพิ่งฟื้นตัวของเย่เฉินพลันแตกออกอีกครั้ง เพราะถูกเปลวอัคคีตีแตก กลายเป็นสีขาวดั่งประกอบขึ้นเป็นฟ้าดิน ด้านบนมีหมอกขาวปกคลุม ด้านล่างมีแสงทองพร่างพราว
จวบจนบัดนี้เปลวอัคคีดวงนั้นจึงหยุดลง มันลอยไปลอยมาราวกับว่ากำลังเดินสำรวจบ้านที่สร้างขึ้นใหม่ของตนเอง
มันดูเหมือนไม่เป็นไร แต่เย่เฉินกลับดูสภาพไม่สู้ดีนัก
เขานอนหอบอยู่บนพื้น ตลอดร่างมีเหงื่อโทรมกาย เจ็บปวดอย่างรุนแรง จนหน้าผากของเขามีเส้นเลือดนูนขึ้นมา ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดง แม้แต่ใบหน้าก็ยังบิดเบี้ยว
ไม่รู้ว่าเวลาใดความเจ็บนี้ค่อยๆ จางหายไป พร้อมเกิดความรู้สึกอบอุ่นจู่โจมไปทั่วร่างแทนที่ และนั่นทำให้เย่เฉินได้สติขึ้นมา
เวลานี้เขามองไปยังตันเถียนที่เปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำดินของตนเองอย่างตกตะลึง เขาอ้าปากค้าง ลำคอเปล่งเสียงอันแหบแห้งออกมา “นี่...นี่คือทะเลลมปราณหรอกหรือ?”
ผู้ฝึกตนแบ่งออกเป็นหกขั้นด้วยกัน ได้แก่ รวมพลัง พลังธาตุ พลังหยาง ฝึกวิญญาณ สมานญาณและผสานฟ้า
ที่เย่เฉินตกตะลึงขนาดนั้นเป็นเพราะทะเลลมปราณนั้นเป็นขั้นสูงกว่าตันเถียนระดับหนึ่ง มีเพียงฝึกถึงขั้นสมานญาณจึงจักสามารถเบิกจุดทะเลลมปราณได้อย่างแท้จริง จะว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงว่าเปลวอัคคีดวงนั้นไม่เพียงแต่ช่วยรักษาตันเถียนของเขาแล้ว ซ้ำมันยังช่วยเขาเบิกทะเลลมปราณอีกด้วย
ทันใดนั้นเองพลังปราณวิญญาณฟ้าดินก็พลันกระเพื่อมตัว
และไม่นานพลังปราณวิญญาณฟ้าดินก็ไหลมารวมตัวอยู่ตรงหน้าเย่เฉิน แล้วก่อตัวขึ้นเป็นวังวนพลังวิญญาณรอบตัวของเขา มันไหลเข้าสู่รูขุมขนทั่วกาย ทั้งยังไหลเข้าไปภายในร่างของเขา ก่อนที่มันจะไหลไปยังทะเลลมปราณ ร่างกายของเขากลืนกินพลังปราณวิญญาณฟ้าดินราวกับบ่อที่ไร้ก้น
เวลานี้เปลวอัคคีดวงนั้นกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง พลังวิญญาณที่ไหลเข้าสู่ทะเลลมปราณกลับถูกเขาหลอมเป็นพลังปราณสีทอง ทะเลลมปราณของเขาที่เพิ่งถูกเบิกและค่อนข้างแห้งเหี่ยวพลันเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม เต็มไปด้วยพลังปราณสีทอง
เย่เฉินจ้องมองทะเลลมปราณอย่างตกตะลึง ดวงตาของเขาพร่ามัวเล็กน้อย ร่างกายสั่นไหวเบาๆ พร้อมทั้งล้มลงบนพื้น
ค่ำคืนอันไร้เสียง ชั่วพริบตาก็รุ่งอรุณเสียแล้ว
ยามรุ่งสาง มีสายตาอันอบอุ่นทอดมองอยู่บนหน้าเย่เฉิน
ดวงตาของเขาทั้งสองข้างค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็พบกับใบหน้าเล็กๆ อันอ่อนเยาว์ และดวงตากลมโตสองดวงกำลังจ้องมองเขาอยู่
“พี่ชาย ท่านตื่นแล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยปากพูดเผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเรียงตัวสวย
“เจ้าเป็นใคร!” เย่เฉินสะดุ้งตกใจผุดลุกขึ้นมา มองเด็กหนุ่มผู้นั้นพลางมองไปรอบด้าน เขารู้สึกไม่คุ้นเคยยิ่งนัก “ที่นี่มันที่ใดกัน ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้ามีนามว่าหู่หวา” เด็กหนุ่มท่าทางซื่อๆ ยิ้มอย่างจริงใจ “ที่นี่คือสวนแห่งวิญญาณของสำนักเหิงเยว่ วันก่อนท่านสลบอยู่ในป่า ข้ากับท่านปู่จึงพาท่านกลับมาด้วย”
“สำ...สำนักเหิงเยว่?” เย่เฉินตกใจ
แคว้นต้าฉู่มีหนึ่งตำหนักสามสำนัก ตำหนักซื่อเสี่ยครอบครองดินแดนทางตอนเหนือ ส่วนสำนักเจิ้งหยาง สำนักชิงอวิ๋นและสำนักเหิงเยว่ครองดินแดนทางตอนใต้ และยังกล่าวได้ว่าสำนักเจิ้งหยางกับสำนักเหิงเยว่นั้นยังเป็นศัตรูกันอีกด้วย
ไม่ว่าอย่างไรเย่เฉินก็คิดไม่ถึงว่าตัวเขาที่เพิ่งจะถูกขับออกสำนักเจิ้งหยางได้ไม่นาน บัดนี้ได้มาอยู่ที่สำนักเหิงเยว่ซึ่งเป็นคู่ปรับกัน
“ท่านคงจะหิวแล้วกระมัง! ข้าไปเอาอาหารมาให้ท่านหน่อยดีกว่า” เห็นเย่เฉินมีท่าทางตกใจ หู่หวาพูดพลางวิ่งออกไป
เย่เฉินนอนงงอยู่บนเตียงไม้ไผ่ เขาเริ่มค่อยๆ รวบรวมสติได้ และความทรงจำเรื่องเมื่อคืนค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
“เมื่อคืน?” เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนเย่เฉินก็รีบสำรวจร่างกายทันที ทะเลลมปราณสีทองอร่ามคล้ายกับโลกดวงหนึ่งปรากฏขึ้น ด้านบนปกคลุมไปด้วยหมอกขาว ส่วนด้านล่างนั้นมีพลังปราณสีทองไหลเวียนอยู่
“ข้าไม่ได้ฝันไป ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง”
เย่เฉินหายใจหอบเล็กน้อย เมื่อตื่นขึ้นมาตันเถียนที่เคยแตกนั้นไม่เพียงแต่แค่ฟื้นตัว ซ้ำยังเบิกจุดทะเลลมปราณอีกด้วย แม้แต่พลังปราณสีทองในทะเลลมปราณก็ยิ่งบริสุทธิ์ขึ้น เมื่อกำหมัดเขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการฝึกตนและพละกำลังที่ห่างหายไปนาน นี้เป็นการบรรลุขั้นที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
และทั้งหมดทั้งมวลล้วนต้องยกความดีความชอบให้กับเปลวอัคคีสีทองนั้น
เมื่อนึกถึงเปลวอัคคีสีทองนั้น เย่เฉินก็มองไปยังเปลวอัคคีสีทองที่ลอยอยู่ในทะเลลมปราณโดยไม่รู้ตัว มันกวัดแกว่งเปลวไฟไปมาดูคล้ายกับเด็กที่กำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“เจ้าคงไม่ใช่อัคคีเที่ยงแท้กระมัง!” เย่เฉินฉุกคิด เรียกเปลวอัคคีมายังใจกลางฝ่ามือ
เพียงชั่วพริบตาเดียวอุณหภูมิในห้องก็พุ่งสูงขึ้น แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความร้อนสูงนั้นเลย กลับรู้สึกเพียงสนิทสนมกับเปลวอัคคีดวงนั้น
“นับจากนี้ไปเจ้าก็อยู่กับข้าแล้วกันนะ” เย่เฉินยิ้ม สัมผัสอัคคีเที่ยงแท้ดวงนั้นเบาๆ ใจปิติจนไม่อาจบรรยาย
“พี่ชาย ออกมากินข้าวเถอะ!”
“มาแล้วๆ” เย่เฉินเก็บเปลวอัคคี ก่อนจะพลิกตัวลงจากเตียง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in