The Exam
สิ่งที่ฉันพบ และสิ่งที่ฉันคิดว่าน่าจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นระหว่างสอบ
หากมีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังไม่ได้บอก แต่สมควรบอกใครก็ตามที่คิดจะสอบ TOEFL แต่ยังไม่ทราบก่อนหน้าอยู่ สิ่งนั้นก็คือ การสอบนี้เป็น TOEFL iBT
ไม่มีกระดาษคำตอบ (แต่มีกระดาษทด) ไม่มีดินสอ 2B ให้ฝนตัวเลือก ไม่มีแม้แต่สมุดให้เขียนคำตอบความยาวระดับเรียงความให้ส่ง เพราะทุกอย่างอยู่ในคอมพิวเตอร์
หลังจากนั่งประจำที่แล้ว เจ้าหน้าที่จะเข้ามาเปิดโปรแกรมการสอบให้ผู้เข้าสอบทีละเครื่อง โดยตัวโปรแกรมจะทำงานได้เมื่อคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ท เพื่อส่งข้อมูลคำตอบทุกอย่างที่ผู้เข้าสอบคลิกเลือก พูดตอบ (ในพาร์ท speaking) หรือพิมพ์ตอบในพาร์ท writing) ไปยังทีมงานตรวจข้อสอบของ TOEFL อีกที
(และเพราะเป็นเช่นนี้เอง ฉันกับผู้เข้าสอบอีกหลายคนจึงได้มีช่วงเวลานั่งว่างเกือบชั่วโมง เมื่อจู่ๆ ไฟก็ในมหาวิทยาลัยก็ดับ และระบบอินเตอร์เน็ทขัดข้องอยู่สักระยะ)
เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าระบบให้เรียบร้อยแล้ว การทำข้อสอบของฉันจึงเริ่มขึ้น
คุณที่กำลังอ่านบทความนี้กำลังคิดอะไรกันอยู่บ้าง? คิดว่า TOEFL จะอุดมไปด้วยข้อสอบ Grammar เติมคำในช่องว่าง หรือ Error แบบที่อาจารย์ไทยนิยมอยู่หรือเปล่า?
ฉันได้แต่ตอบว่า TOEFL เป็นข้อสอบที่จะวัดว่าคุณสามารถศึกษาหาความรู้ในสถานศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้หรือไม่เท่านั้นค่ะ
Reading
การมีความรู้ที่กว้างขวาง แม้จะไม่ลึกมากก็เป็นประโยชน์ในการทำข้อสอบนี้ ฉันคิดเช่นนั้น
ฉันอาจจะจำทุกอย่างไม่ได้ แต่คิดว่ารอบที่ฉันสอบ มี Passage ให้ฉันอ่านสามหัวข้อ หัวข้อแรกเกี่ยวกับภาวะ Depression ของเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐอเมริกา หัวข้อที่สองเกี่ยวกับภาษาศาสตร์และความคล้ายคลึงทางคำศัพท์ของภาษาที่มีรากฐานร่วมกัน ส่วนหัวข้อสุดท้าย จำได้ว่าเกี่ยวกับเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ฉันจำได้ว่าตอนสมัครสอบ ฉันระบุไปเพียงว่าฉันกำลังศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ แต่สิ่งที่มีในข้อสอบนั้น มีทั้งคำศัพท์ที่มาจากความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และชีววิทยา เขากำลังวัดจริงๆ ว่าฉันจะเอาตัวรอดในรั้วมหาวิทยาลัยต่างประเทศได้หรือไม่
ถึงแม้จะมีแถบบอกเวลาที่เหลือสำหรับพาร์ทนี้ให้เห็น และเมื่ออ่านแต่ละ Passage จบยังสามารถย้อนไปอ่านได้อีกเสมอ แต่ทั้งสามหัวข้อมีเนื้อหาค่อนข้างเยอะ ชนิดที่อาจทำให้ตกใจมากหากตื่นสนาม
คำถามส่วนใหญ่เน้นถามเนื้อหาที่มีอยู่แล้วในตัว Passage ถามหา Implication (ความหมายแอบแฝง) เช่น จากประโยคดังกล่าว สามารถตีความได้ว่า ผู้เขียนต้องการสื่ออะไร
นอกจากนั้นที่เห็นอยู่เรื่อยๆ คือ คำถามถามศัพท์ ตัวข้อสอบอาจจะยกประโยคที่มีศัพท์ที่ดูน่ากลัวแฟนตาซีมากมาคำหนึ่ง พร้อมกับถามเราว่า ศัพท์นั้นแปลว่าอะไร หรือถามอย่างอ้อมๆ ว่า ประโยคนี้ มีความหมายว่าอย่างไร ซึ่งบางคำฉันก็ไม่เคยพบมาก่อน หรือเคยเห็นผ่านตาบ้าง แต่ก็ไม่เคยทราบความหมาย อย่างไรก็ตาม หากคลังศัพท์ของใครไม่มากนัก ก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะตัว Passage เองมักจะให้ประโยคขยายความประโยคก่อนหน้ามาให้ด้วยเสมอ ทำให้ผู้เข้าสอบสามารถเดาความหมายของศัพท์นั้นจากประโยคเสริมได
อาจจะเป็นเพราะความตื่นสนาม หรือเตรียมตัวมาไม่ดีพอ ฉันจึงคิดว่าพาร์ทนี้ค่อนข้างยากเทียบกับอีกสามพาร์ท อาจเป็นเพราะตัวข้อสอบให้ Passage ที่เราสามารถย้อนกลับไปอ่านกี่รอบก็ได้ (ตราบใดที่ยังมีเวลาเหลือ) คำถามและเนื้อหาจึงยากเป็นพิเศษด้วย
Listening
ความเห็นส่วนตัวของฉัน คือ พาร์ทนี้ง่ายที่สุดในทั้งสี่พาร์ท
เพราะ TOEFL เป็นแบบทดสอบวัดระดับความสามารถในการเอาตัวรอดในสังคมการศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษ (ฉันคิดว่าฉันย้ำบ่อยมาก) สิ่งที่ฉันได้ยินเมื่อสวมหูฟังจึงไม่พ้นเสียงอาจารย์บรรยายในคาบเลคเชอร์ และนักศึกษาคุยกับอาจารย์ (หรือกับเพื่อน) เรื่องกิจกรรมที่พบได้ในรั้วมหาวิทยาลัย
ฉันจำได้ว่าตัวเองได้นั่งฟังส่วนหนึ่งของการบรรยายเรื่องประวัติศาสตร์วรรณกรรมยุค Romanticism เฟื่องฟู การวิเคราะห์อาวุธสงครามของคนสมัยโบราณ และการทำงานของเซลล์สมอง ฉันได้ยินเสียงอาจารย์ผู้บรรยายพูดเป็นส่วนใหญ่ และในบางบทก็จะได้ยินเสียงนักศึกษาถามคำถาม หรือแสดงความเห็นร่วมกับอาจารย์ด้วย เหมือนกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียนวิชานั้นก็ไม่ปาน
บอกจากบทบรรยาย ฉันก็จำได้ว่าได้นั่งฟังบทสนทนาของนักศึกษาสองคนที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจกรรม Workshop ฝึกการพูดให้สัมภาษณ์งานสำหรับนักศึกษาปีสุดท้าย และอาจารย์ให้คำปรึกษานักศึกษาที่กำลังเขียนบทพูดสำหรับตัวแทนนักศึกษากล่าวในงานจบการศึกษา
หากถามว่าความเร็วในการพูดและสำเนียงของคนในไฟล์เสียงเป็นอย่างไร ฉันคิดว่าแม้พวกเขาพยายามทำให้การสนทนาดูเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนคนมานั่งอ่านบทพูดให้ฟังก็ตาม แต่ความเร็วในการพูดของพวกเขาก็ไม่เร็วจนเกินไป ไม่ถึงขั้นเร็วมากหรือฟังยากมากอย่างในภาพยนตร์ น่าจะใกล้เคียงกับความเร็วของผู้ประกาศข่าวภาษาอังกฤษ หรือของตัวการ์ตูนในช่อง Disney Channel
ส่วนคำถาม เพราะเราไม่สามารถย้อนกลับไปโจทย์ได้อย่างในพาร์ท Reading ฉันจึงคิดว่า TOEFL กำหนดให้ง่ายกว่า Reading พอสมควร หากระหว่างฟังไฟล์เสียง ผู้พูดกล่าวถึงศัพท์เฉพาะที่ค่อนข้างยาก หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็จะมีคำคำนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็น คำถามหลายข้อจะเล่นเสียงทวนให้บางประโยคด้วยเพื่อถามเอาใจความ และนอกจากนี้ ทางสนามสอบยังแจกกระดาษทดกับดินสอให้ผู้เข้าสอบจดบันทึกเพื่อช่วยให้จำเนื้อหาได้มากขึ้นด้วยค่ะ
หลังจากจบไปครึ่งหนึ่งของการสอบทั้งหมด เจ้าหน้าที่ก็ให้เวลาพักเบรกก่อนเข้าสู่ครึ่งหลังค่ะ
Speaking
พาร์ทนี้ไม่ได้ยากที่สุด แต่อาจเป็นพาร์ทที่คุมสมาธิได้ยากที่สุด หากใครได้อยู่ในสนามสอบสภาพเดียวกันกับฉัน
ที่จริงแล้ว ก่อนหน้าจะเริ่มทำข้อสอบตั้งแต่แรก โปรแกรมจะขอให้ผู้เข้าสอบทดสอบไมโครโฟนด้วยการทดลองพูด (วันนั้นโปรแกรมของให้ฉันพูดเกี่ยวกับบ้านเกิดตัวเองประมาณ 1 นาที) โดยฉันได้รับคำแนะนำให้พูดด้วยเสียงที่ดังระดับปกติ ไม่ต้องตะโกนหรือกระซิบใส่ไมโครโฟน ตัวโปรแกรมขอให้ฉันพูดหัวข้อเดิมอีกครั้งก่อนเริ่มสอบ Speaking
ฉันรู้สึกว่าตัวเองจำอะไรเกี่ยวกับพาร์ทนี้ไม่ได้มานัก นอกจากจะเป็นการพูดตามหัวข้อและคำสั่งต่างๆ เช่น โจทย์ข้อหนึ่งสั่งให้ฉันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ในหอพักนักศึกษา อีกข้อให้ฟังนักศึกษาคนหนึ่งปรึกษากับเพื่อนว่า ตัวเองควรจะไปดูคอนเสิร์ตของศิลปินโปรด หรือไป audition คัดตัวนักแสดงละครเวทีที่ตนเองใฝ่ฝันมานานดี แล้วให้พูดสรุปว่าสองคนนั้นเขาคุยอะไรกัน อีกข้อเป็นการอ่าน Passage สั้นๆ ร่วมกับฟังคลิปเสียงอาจารย์บรรยายเรื่องวงจรชีวิตของปลาแซลมอน เพื่อที่จะให้เราพูดสรุปความจากการอ่านและฟังเลคเชอร์ว่าได้ใจความอะไรบ้าง
หลังโปรแกรมให้โจทย์เสร็จ ผู้เข้าสอบมีเวลาเตรียมตัวพูดประมาณ 2-5 นาที ฉันเองก็จำไม่ค่อยได้ จากนั้นจึงให้พูดคำตอบใส่ไมโครโฟนเป็นเวลา 1-2 นาที แน่นอนว่าระหว่างเตรียมตัว สามารถคิดหรือเขียนโพยเรียบเรียงคำพูดในกระดาษทดได้
ฉันบอกว่าพาร์ทนี้คุมสมาธิยาก เพราะห้องสอบของฉันไม่มีการกั้นผู้เข้าสอบแต่ละคนออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะทำข้อสอบ ฉันจึงได้ยินเสียงผู้เข้าสอบคนอื่นพูดตอบคำถามด้วยเป็นระยะ ขอให้ใครก็ตามที่จะไปสอบสนามเดียวกับฉันตั้งสติให้ดี
Writing
มาสู่พาร์ทสุดท้าย ที่ใครหลายคนอาจกลัว
เพราะในขณะที่พาร์ทก่อนหน้า เป็นการสอบแบบ Multiple Choice (หรือแบบพูดตอบในกรณีของ Speaking) พาร์ทนี้คือฝันร้ายของเด็กไทยหลายคนที่รังเกียจอัตนัยและช่องเว้นให้ตอบยาวๆ
อาจจะเป็นฝันร้ายของคนที่พิมพ์คอมพิวเตอร์ช้าด้วย เพราะนี่คือ TOEFL iBT
ฉันจำได้ว่าฉันได้รับโจทย์สองข้อ ข้อแรกคล้ายกับพาร์ท Speaking ข้อหนึ่ง แต่อาจมีความยากกว่า เมื่อโปรแกรมให้ฉันฟังบทบรรยายและอ่าน Passage เรื่องการเปรียบเทียบผลดีผลเสียของการใช้โลหะอุดฟัน ปะทะ การใช้ปูนหรือวัสดุอื่นที่ไม่ผสมปรอท เพื่อนำมาเขียนสรุปใหม่ในภาษาของตัวเอง
ข้อที่สอง ให้เขียนแสดงความคิดเห็นว่าอย่างไหนดีกว่ากัน ระหว่างการเริ่มงาน/เรียนในตอนเช้า กับการเริ่มงาน/เรียนในช่วงสายหรือบ่าย
พอมาถึงพาร์ทนี้ โปรแกรมจะมีช่องว่างให้เราเขียนเหมือนกับเป็นโปรแกรม notepad พร้อมแถบบอกเวลาเจ้าเก่า เพิ่มเติมคือแถบ word count ที่จะคอยนับให้เราว่าเขียนไปได้กี่คำแล้ว หากจำไม่ผิด จำนวนคำขั้นต่ำอยู่ที่ 300 คำ ซึ่งสามารถเขียนเกินได้ (แต่เนื่องจากฉันเป็นคนขี้เกียจไม่เชื่อในวิถีแห่งการบรรยายน้ำท่วมทุ่ง ยิ่งเยอะยิ่งดี ทันทีที่ word count ขึ้นตัวเลข 300 ฉันจึงหยุดพิมพ์ทันที)
หลังจากทวนคำตอบของตัวเองสักรอบสองรอบ ฉันก็กดส่งและออกจากห้องสอบ เป็นอันเสร็จสิ้นการวัดระดับภาษาอังกฤษของฉันในวันนั้นไป
ขอบคุณนะคะที่เขียนบทความนี้ขึ้นมา เลิฟๆ