เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Fish-eyed Worldaquareverie
สอบ TOEFL (iBT) ครั้งแรก
  • ฉันได้ยินคำว่า TOEFL ครั้งแรกในชีวิตเมื่ออายุราวๆ สิบสองขวบ
    ในตอนนั้น มีรุ่นพี่สองคนในชั้นเรียนฝึกเขียนภาษาอังกฤษของฉันกำลังเตรียมตัวเพื่อไปเข้ารับการสอบนี้ และฉันเคยได้ยินจากคำบอกเล่าของพวกเขา และอาจารย์ของฉันว่า TOEFL เป็นข้อสอบที่ยากมาก ชนิดที่คนที่ใช้อังกฤษเป็นภาษาแม่ก็ยังทำไม่ได้คะแนนเต็มกันหลายคน และราวๆ สิบสองปีต่อมา ฉันจึงได้มีโอกาสไปสัมผัสประสบการณ์ที่ว่านั้นโดยตรง และขอบันทึกเอาไว้ ก่อนที่ทุกอย่างที่ฉันจำได้จะละลายหายไปหมด เพื่อสร้างประโยชน์ หากไม่ใช่สำหรับใครที่มีความสนใจที่จะสอบเช่นกันแล้ว อย่างน้อยก็เพื่อเตือนความทรงจำตัวเองว่าได้ทำอะไรลงไป และควรทำอย่างไรหาก(ยัง)คิดจะกลับไปสอบใหม่อีกรอบ

    รายละเอียดอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับตัว TOEFL เองอยู่ ที่นี่ 
    (หมายเหตุ: เว็บไซต์นี้ไม่มีข้อมูลเป็นภาษาไทย หากต้องการอ่านรายละเอียดภาษาไทย แนะนำให้ค้นหาตามเว็บไซต์อื่นที่เขียนขึ้นโดยคนไทย อ่านหนังสือคู่มือสอบภาษาไทย หรือติดต่อศูนย์ TOEFL ของประเทศไทย) 

    ต่อไปนี้จะเป็นประสบการณ์และข้อคิดเห็นส่วนตัวของฉันเองเกี่ยวกับการสอบ ซึ่งอาจไม่ตรงกับคนส่วนใหญ่หรือข้อเท็จจริงบางประการ 

    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
  • Before the Exam (1)
    สอบไปทำไม ต้องเตรียมอะไรบ้าง

    ฉันเข้าใจว่า TOEFL เป็นการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษอันหนึ่งสำหรับผู้ที่มีความสนใจจะไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลกตั้งเงื่อนไขให้นักศึกษายื่นคะแนน TOEFL เพื่อประเมินว่านักศึกษาคนนั้นมีทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษมากน้อยเท่าใด โดยนอกจากการสอบนี้แล้ว ก็ยังมีการสอบวัดระดับอื่นๆ ที่สามารถยื่นได้ เช่น IELTS เป็นต้น

    บางคนอาจจะเคยได้ยินว่ามีการสอบที่ชื่อคล้ายกันอย่าง TOEIC ด้วย แต่ฉันไม่อยากให้ใครก็ตามสับสนมันกับ TOEFL เพราะในขณะที่การสอบทั้งสองอย่างนี้จัดโดยองค์กรเดียวกัน แต่ TOEFL ตามที่ฉันได้กล่าวในย่อหน้าข้างบนแล้ว เป็นการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาที่ต้องการเรียนต่อในต่างประเทศ ในขณะที่ TOEIC เป็นการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่บริษัทหรือองค์กรหลายแห่งใช้ในการประเมินผู้สมัครเข้าทำงาน (ในหน้าเว็บของ TOEIC มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการสอบเพื่อนำไปยื่นให้กับสถาบันการเรียนด้วยเช่นกัน แต่ฉันจะไม่ขอลงรายละเอียดในส่วนนี้ เนื่องจากไม่ได้ศึกษาหรือมีประสบการณ์โดยตรง) ฉันจึงอยากให้ใครก็ตามที่คิดจะสอบ TOEFL (และ IELTS และ TOEIC) คิดให้ดีก่อนว่าจุดประสงค์ในการสอบของตนเองคืออะไร




    หากคิดว่าจะสอบแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงเพิ่มเติม คือ เวลา สถานที่ และค่าใช้จ่าย
    ในปีหนึ่งๆ มีการจัดสอบ TOEFL หลายครั้ง ในหลายสถานที่ ซึ่งใครก็ตามที่คิดจะไปสอบสามารถเลือกวันเวลาและสนามสอบที่ต้องการได้ อย่างไรก็ตาม ในบางเวลา สนามสอบบางแห่งอาจมีจำกัด เช่นในกรณีของฉันเองนั้น ฉันต้องการจะสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่เปิดรับใบสมัครในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ฉันเลือกสอบ TOEFL ในช่วงต้นเดือนมกราคม และเนื่องจากว่าฉันอาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย สนามสอบที่ฉันต้องการจึงเป็นในจังหวัดขอนแก่น (หรือนครราชสีมา ฉันเองก็จำไม่ได้)

    แต่อนิจจา ณ ช่วงเวลานั้น สนามสอบในประเทศไทยมีเพียงสองแห่งในกรุงเทพมหานคร
    ท้ายที่สุด ฉันจึงเลือกไปสอบที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วิทยาเขตร่มเกล้า ซึ่งจะขอกล่าวถึงต่อไปในส่วนหลังๆ ของบทนี้ค่ะ

    สำหรับเรื่องค่าใช้จ่าย ทาง ETS มีบริการหลายอย่างที่เกี่ยวกับการสอบ สามอย่างหลักๆ ที่คาดว่าผู้สมัครสอบต้องการใช้น่าจะเป็น การสมัครสอบ การสั่งซื้อหนังสือแบบฝึกหัด และการขอ/ส่งผลการสอบค่ะ

    ความจริงก็คือ ฉันเคยบอกกับพ่อกับแม่ของฉันตั้งแต่มัธยมปลายแล้ว ว่าอยากลองสอบ TOEFL ดู (ซึ่งเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกับคำพูดของฉันในตอนนี้อย่างร้ายกาจ ฉันเขียนเตือนในบันทึกนี้ว่าอยากให้คนที่คิดจะสอบทราบจุดประสงค์ของตนเอง แต่ฉันในตอนนั้นกลับอยากสอบเอามัน ซึ่งว่ากันตามตรงจะทำก็ได้ แต่นั่นล่ะ ฉันรู้สึกว่าฉันในอดีตกำลังกลืนน้ำลายของตัวฉันเองในปัจจุบัน) แต่พอบอกค่าสมัครในตอนนั้นกับท่าน ที่จำได้ว่าน่าจะอยู่ในระดับหลายพันบาทแล้ว ก็โดนปฏิเสธทันที แน่ล่ะ ใครจะไปอยากให้ลูกสอบอะไรเล่นๆ ที่เสียเงินมากมายขนาดนั้น

    แต่ปัจจุบัน การสมัครสอบ TOEFL สามารถทำได้หลายวิธีค่ะ ตั้งแต่การส่งใบสมัครทางไปรษณีย์ (ไปยังศูนย์ TOEFL ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) สมัครทางโทรศัพท์ และการสมัครออนไลน์ ฉันใช้วิธีสุดท้าย และเสียค่าใช้จ่ายแบบไม่นับรวมค่าส่งผลสอบหรือการสั่งซื้ออะไรเพิ่มเติมทั้งหมดที่ $185 ตีเป็นเงินไทย ณ ขณะนี้เท่ากับ 6,518.67512 บาทค่ะ อืม...ก็ยังแพงพอสมควร แต่คราวนี้สอบแบบมีเป้าหมายแล้วล่ะนะ 

    อีกสองบริการที่เหลือ อันได้แก่ การสั่งซื้อหนังสือแบบฝึกหัดและการส่งผลสอบ ตัวฉันเองไม่ได้ซื้อหนังสือจาก ETS (ไปหาเอาเองทีหลังตามร้านหนังสือ) จะขอพูดถึงการส่งผลสอบ ซึ่งมีความจำเป็นมากกว่า
    เราสามารถเลือกให้ ETS ส่งใบรายงานคะแนนสอบ TOEFL มาให้ตัวเอง และ/หรือส่งไปยังสถาบันการศึกษาที่จะยื่นคะแนนให้ได้ด้วย ซึ่งจะสามารถสั่งล่วงหน้าก่อนสอบได้เลย หรือขอให้จัดส่งผลสอบให้หลังการสอบก็ได้ 

    ด้วยประสบการณ์ส่วนตัวที่สัมผัสมา หากใครที่กำลังเล็งมหาวิทยาลัยสักที่ที่เขาต้องการผลคะแนน TOEFL การขอใช้บริการให้ ETS จัดส่งคะแนนสอบไปที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้นล่วงหน้าอาจจะเป็นการดีกว่าการย้อนมาสั่งทีหลัง (แบบที่ฉันทำ) เนื่องจากหากเป็นมหาวิทยาลัยต่างประเทศแล้วด้วย สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากๆ คือเมื่อสั่งขอคะแนนแล้ว คือ ผลคะแนนนั้นจะใช้เวลากี่วันเดินทางมาถึงมือเรา หรือถึงทางมหาวิทยาลัย 


    ฉันเคยโทรศัพท์ไปถามศูนย์ TOEFL ของประเทศไทยหลังจากที่ฉันสอบไปแล้วว่า หากจะขอให้ส่งผลคะแนนเป็นแผ่นกระดาษจับต้องได้มาที่ฉัน คะแนนจะมาถึงเมื่อไร และแทบจะช็อคเมื่อได้ยินว่าต้องใช้เวลาส่งถึง 6 สัปดาห์ ซึ่งถ้ารอให้มาจริง ฉันจะชวดมหาวิทยาลัยที่ฉันอยากสมัครแน่นอน! โชคยังดีที่ฉันตัดสินใจปรินท์ผลการสอบออกมาเองแนบไปกับใบสมัคร แล้วขอให้ ETS ส่งใบคะแนนตัวจริงไปให้มหาวิทยาลัยเองตามหลัง ซึ่งทางมหาวิทยาลัยแห่งนั้นเองก็ใจดีมากที่ยอมรับใบคะแนนนั้น



    อย่าลืมมองหา Institution Code ของมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาที่จะยื่นคะแนนค่ะ หรือสามารถ search เอาทีหลังตอนจะขอผลคะแนนเลยก็ได้

  • Before the Exam (2)
    หนึ่งวัน และหนึ่งชั่วโมงก่อนเข้าสอบ

    ฉันมาถึงกรุงเทพมหานครหนึ่งวันก่อนสอบจริง เลือกที่พักที่ใช้เวลานั่งแท็กซี่ (ในกรณีที่รถไม่ติดมาก) ไปถึงมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วิทยาเขตร่มเกล้า ได้ภายในสิบนาที และเกิดอาการตื่นเต้นแกมหวาดวิตกมากจนต้องไปเดินสำรวจสถานที่ก่อนวันสอบจริงๆ ไปด้วย

    พอได้เวลารายงานตัว ฉันจึงเดินไปตามผู้สมัครสอบคนอื่น และได้รายงานตัวสอบด้วยวิธีแปลกๆ ที่ฉันไม่คุ้นเคย (อาจจะเป็นแค่ฉัน เพราะฉันและคนใกล้ตัวไม่มีใครเคยสอบ TOEFL มาก่อนเลยจึงไม่ทราบว่าอะไรเป็นอย่างไร)

    ก่อนมาถึง ฉันเตรียมตัวพกทุกอย่างเท่าที่เว็บไซต์บอกให้ฉันเตรียม ฉันปรินท์ใบยืนยันการสมัครสอบของฉันพร้อมพกบัตรประชาชนไป เดินไปต่อแถวรอเข้าห้องรายงานตัว...เพื่อที่จะไปตกใจกับผู้เข้าสอบคนอื่นที่ลงทุนพกพาสปอร์ตไปด้วย! ณ วินาทีที่ฉันกำลังนั่งรอถึงตาตัวเองรายงานตัว ในใจก็กำลังกระวนกระวายใหญ่ว่า เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เขาบอกว่าของสนามสอบประเทศไทยพกไปแค่บัตรประชาชนก็พอแล้วนี่นา ทำไมทุกคนต้องใช้พาสปอร์ต!? จนกระทั่งถึงตาฉันเดินเข้าไปนั่งหน้าอาจารย์เจ้าหน้าที่ ด้วยความที่พกแค่บัตรมาจริงๆ ฉันจึงยื่นบัตรออกไปเมื่อเขาขอหลักฐานยืนยันตัวตน พลางไว้อาลัยตัวเองล่วงหน้าว่าอุตส่าห์เสียเงินสมัครและเดินทางมาเสียดิบดี แต่มาตกม้าตายเอาหน้าห้องสอบ

    เจ้าหน้าที่สั่งให้ฉันออกจากห้องรายงานตัวไปจริงๆ ค่ะ
    แต่ไม่ได้ไล่กลับบ้าน แค่บอกให้ไปดูเลขห้องสอบมาใหม่เพราะฉันจำห้องสอบไม่ได้ บัตรประชาชนใช้ได้ โอเค หายห่วง

    พอคลายกังวลเรื่องสิทธิ์การเข้าสอบเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ส่งใบให้ฉันกรอกรายละเอียดเพิ่มเติมอีกหน่อย จนสุดท้าย เขาก็ให้คัดลอกข้อความยินยอมสอบ โดยจะต้องคัดเป็นตัวเขียน แบบ Handwriting ของภาษาอังกฤษที่เขียนเป็นตัวติดๆ กันค่ะ




    ความจริง ทักษะการคัดตัวเขียน ในความเห็นของฉันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลนัก เพียงแต่หากเขียนเป็นบ้างจะพอช่วยให้ประหยัดเวลาในการรายงานตัวค่ะ อาจจะฝึกไว้หน่อยก็ได้

    หลังจากรายงานตัวเสร็จ พอใกล้เวลา เจ้าหน้าที่ก็เรียกผู้สมัครไปต่อแถวรอหน้าห้อง เข้าไปแล้วก็จะต้องถ่ายรูปหน้าผู้สมัครอีกที (ฉันไม่คิดว่าจะต้องได้ถ่ายรูปในวันนั้น ผลปรากฏคือรูปประจำตัวที่ติดแนบผลสอบดูตลกมากเลยค่ะ) ลักษณะของห้องสอบสนามมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตเป็น Sound Lab ที่จัดโต๊ะคอมพิวเตอร์ให้หันหน้าเข้าหากันเป็นวง แต่ละวงมีโต๊ะประมาณ 4-5 ตัว ซึ่งในวันนั้นเจ้าหน้าที่ให้สิทธิผู้เข้าสอบนั่งโต๊ะตัวไหนก็ได้ ตามใจชอบ และถึงจะนั่งใกล้กันมาก แต่โต๊ะทุกตัวก็มีกำแพงกั้นไม่ให้มองคนข้างๆ ได้ ทำให้หมดปัญหาเรื่องการลอกข้อสอบ อย่างเดียวที่ฉันคิดว่าเป็นอุปสรรคในระดับหนึ่งที่เกิดจากการที่ทางสนามสอบจัดห้องเช่นนี้ ก็คือการที่ทุกคนอยู่ใกล้กันเกินไป ทำให้เสียงของผู้สมัครรบกวนกันและกันขณะสอบพาร์ท Speaking ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไปค่ะ





  • The Exam
    สิ่งที่ฉันพบ และสิ่งที่ฉันคิดว่าน่าจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นระหว่างสอบ

    หากมีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังไม่ได้บอก แต่สมควรบอกใครก็ตามที่คิดจะสอบ TOEFL แต่ยังไม่ทราบก่อนหน้าอยู่ สิ่งนั้นก็คือ การสอบนี้เป็น TOEFL iBT 

    ไม่มีกระดาษคำตอบ (แต่มีกระดาษทด) ไม่มีดินสอ 2B ให้ฝนตัวเลือก ไม่มีแม้แต่สมุดให้เขียนคำตอบความยาวระดับเรียงความให้ส่ง เพราะทุกอย่างอยู่ในคอมพิวเตอร์
    หลังจากนั่งประจำที่แล้ว เจ้าหน้าที่จะเข้ามาเปิดโปรแกรมการสอบให้ผู้เข้าสอบทีละเครื่อง โดยตัวโปรแกรมจะทำงานได้เมื่อคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ท เพื่อส่งข้อมูลคำตอบทุกอย่างที่ผู้เข้าสอบคลิกเลือก พูดตอบ (ในพาร์ท speaking) หรือพิมพ์ตอบในพาร์ท writing) ไปยังทีมงานตรวจข้อสอบของ TOEFL อีกที

    (และเพราะเป็นเช่นนี้เอง ฉันกับผู้เข้าสอบอีกหลายคนจึงได้มีช่วงเวลานั่งว่างเกือบชั่วโมง เมื่อจู่ๆ ไฟก็ในมหาวิทยาลัยก็ดับ และระบบอินเตอร์เน็ทขัดข้องอยู่สักระยะ)

    เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าระบบให้เรียบร้อยแล้ว การทำข้อสอบของฉันจึงเริ่มขึ้น

    คุณที่กำลังอ่านบทความนี้กำลังคิดอะไรกันอยู่บ้าง? คิดว่า TOEFL จะอุดมไปด้วยข้อสอบ Grammar เติมคำในช่องว่าง หรือ Error แบบที่อาจารย์ไทยนิยมอยู่หรือเปล่า?

    ฉันได้แต่ตอบว่า TOEFL เป็นข้อสอบที่จะวัดว่าคุณสามารถศึกษาหาความรู้ในสถานศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้หรือไม่เท่านั้นค่ะ


    Reading

    การมีความรู้ที่กว้างขวาง แม้จะไม่ลึกมากก็เป็นประโยชน์ในการทำข้อสอบนี้ ฉันคิดเช่นนั้น

    ฉันอาจจะจำทุกอย่างไม่ได้ แต่คิดว่ารอบที่ฉันสอบ มี Passage ให้ฉันอ่านสามหัวข้อ หัวข้อแรกเกี่ยวกับภาวะ Depression ของเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐอเมริกา หัวข้อที่สองเกี่ยวกับภาษาศาสตร์และความคล้ายคลึงทางคำศัพท์ของภาษาที่มีรากฐานร่วมกัน ส่วนหัวข้อสุดท้าย จำได้ว่าเกี่ยวกับเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

    ฉันจำได้ว่าตอนสมัครสอบ ฉันระบุไปเพียงว่าฉันกำลังศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ แต่สิ่งที่มีในข้อสอบนั้น มีทั้งคำศัพท์ที่มาจากความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และชีววิทยา เขากำลังวัดจริงๆ ว่าฉันจะเอาตัวรอดในรั้วมหาวิทยาลัยต่างประเทศได้หรือไม่

    ถึงแม้จะมีแถบบอกเวลาที่เหลือสำหรับพาร์ทนี้ให้เห็น และเมื่ออ่านแต่ละ Passage จบยังสามารถย้อนไปอ่านได้อีกเสมอ แต่ทั้งสามหัวข้อมีเนื้อหาค่อนข้างเยอะ ชนิดที่อาจทำให้ตกใจมากหากตื่นสนาม 
    คำถามส่วนใหญ่เน้นถามเนื้อหาที่มีอยู่แล้วในตัว Passage ถามหา Implication (ความหมายแอบแฝง) เช่น จากประโยคดังกล่าว สามารถตีความได้ว่า ผู้เขียนต้องการสื่ออะไร 
    นอกจากนั้นที่เห็นอยู่เรื่อยๆ คือ คำถามถามศัพท์ ตัวข้อสอบอาจจะยกประโยคที่มีศัพท์ที่ดูน่ากลัวแฟนตาซีมากมาคำหนึ่ง พร้อมกับถามเราว่า ศัพท์นั้นแปลว่าอะไร หรือถามอย่างอ้อมๆ ว่า ประโยคนี้ มีความหมายว่าอย่างไร ซึ่งบางคำฉันก็ไม่เคยพบมาก่อน หรือเคยเห็นผ่านตาบ้าง แต่ก็ไม่เคยทราบความหมาย อย่างไรก็ตาม หากคลังศัพท์ของใครไม่มากนัก ก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะตัว Passage เองมักจะให้ประโยคขยายความประโยคก่อนหน้ามาให้ด้วยเสมอ ทำให้ผู้เข้าสอบสามารถเดาความหมายของศัพท์นั้นจากประโยคเสริมได

    อาจจะเป็นเพราะความตื่นสนาม หรือเตรียมตัวมาไม่ดีพอ ฉันจึงคิดว่าพาร์ทนี้ค่อนข้างยากเทียบกับอีกสามพาร์ท อาจเป็นเพราะตัวข้อสอบให้ Passage ที่เราสามารถย้อนกลับไปอ่านกี่รอบก็ได้ (ตราบใดที่ยังมีเวลาเหลือ) คำถามและเนื้อหาจึงยากเป็นพิเศษด้วย


    Listening

    ความเห็นส่วนตัวของฉัน คือ พาร์ทนี้ง่ายที่สุดในทั้งสี่พาร์ท
    เพราะ TOEFL เป็นแบบทดสอบวัดระดับความสามารถในการเอาตัวรอดในสังคมการศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษ (ฉันคิดว่าฉันย้ำบ่อยมาก) สิ่งที่ฉันได้ยินเมื่อสวมหูฟังจึงไม่พ้นเสียงอาจารย์บรรยายในคาบเลคเชอร์ และนักศึกษาคุยกับอาจารย์ (หรือกับเพื่อน) เรื่องกิจกรรมที่พบได้ในรั้วมหาวิทยาลัย 

    ฉันจำได้ว่าตัวเองได้นั่งฟังส่วนหนึ่งของการบรรยายเรื่องประวัติศาสตร์วรรณกรรมยุค Romanticism เฟื่องฟู การวิเคราะห์อาวุธสงครามของคนสมัยโบราณ และการทำงานของเซลล์สมอง ฉันได้ยินเสียงอาจารย์ผู้บรรยายพูดเป็นส่วนใหญ่ และในบางบทก็จะได้ยินเสียงนักศึกษาถามคำถาม หรือแสดงความเห็นร่วมกับอาจารย์ด้วย เหมือนกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียนวิชานั้นก็ไม่ปาน
    บอกจากบทบรรยาย ฉันก็จำได้ว่าได้นั่งฟังบทสนทนาของนักศึกษาสองคนที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจกรรม Workshop ฝึกการพูดให้สัมภาษณ์งานสำหรับนักศึกษาปีสุดท้าย และอาจารย์ให้คำปรึกษานักศึกษาที่กำลังเขียนบทพูดสำหรับตัวแทนนักศึกษากล่าวในงานจบการศึกษา

    หากถามว่าความเร็วในการพูดและสำเนียงของคนในไฟล์เสียงเป็นอย่างไร ฉันคิดว่าแม้พวกเขาพยายามทำให้การสนทนาดูเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนคนมานั่งอ่านบทพูดให้ฟังก็ตาม แต่ความเร็วในการพูดของพวกเขาก็ไม่เร็วจนเกินไป ไม่ถึงขั้นเร็วมากหรือฟังยากมากอย่างในภาพยนตร์ น่าจะใกล้เคียงกับความเร็วของผู้ประกาศข่าวภาษาอังกฤษ หรือของตัวการ์ตูนในช่อง Disney Channel 

    ส่วนคำถาม เพราะเราไม่สามารถย้อนกลับไปโจทย์ได้อย่างในพาร์ท Reading ฉันจึงคิดว่า TOEFL กำหนดให้ง่ายกว่า Reading พอสมควร หากระหว่างฟังไฟล์เสียง ผู้พูดกล่าวถึงศัพท์เฉพาะที่ค่อนข้างยาก หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็จะมีคำคำนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็น คำถามหลายข้อจะเล่นเสียงทวนให้บางประโยคด้วยเพื่อถามเอาใจความ และนอกจากนี้ ทางสนามสอบยังแจกกระดาษทดกับดินสอให้ผู้เข้าสอบจดบันทึกเพื่อช่วยให้จำเนื้อหาได้มากขึ้นด้วยค่ะ

    หลังจากจบไปครึ่งหนึ่งของการสอบทั้งหมด เจ้าหน้าที่ก็ให้เวลาพักเบรกก่อนเข้าสู่ครึ่งหลังค่ะ


    Speaking

    พาร์ทนี้ไม่ได้ยากที่สุด แต่อาจเป็นพาร์ทที่คุมสมาธิได้ยากที่สุด หากใครได้อยู่ในสนามสอบสภาพเดียวกันกับฉัน




    ที่จริงแล้ว ก่อนหน้าจะเริ่มทำข้อสอบตั้งแต่แรก โปรแกรมจะขอให้ผู้เข้าสอบทดสอบไมโครโฟนด้วยการทดลองพูด (วันนั้นโปรแกรมของให้ฉันพูดเกี่ยวกับบ้านเกิดตัวเองประมาณ 1 นาที) โดยฉันได้รับคำแนะนำให้พูดด้วยเสียงที่ดังระดับปกติ ไม่ต้องตะโกนหรือกระซิบใส่ไมโครโฟน ตัวโปรแกรมขอให้ฉันพูดหัวข้อเดิมอีกครั้งก่อนเริ่มสอบ Speaking

    ฉันรู้สึกว่าตัวเองจำอะไรเกี่ยวกับพาร์ทนี้ไม่ได้มานัก นอกจากจะเป็นการพูดตามหัวข้อและคำสั่งต่างๆ เช่น โจทย์ข้อหนึ่งสั่งให้ฉันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ในหอพักนักศึกษา อีกข้อให้ฟังนักศึกษาคนหนึ่งปรึกษากับเพื่อนว่า ตัวเองควรจะไปดูคอนเสิร์ตของศิลปินโปรด หรือไป audition คัดตัวนักแสดงละครเวทีที่ตนเองใฝ่ฝันมานานดี แล้วให้พูดสรุปว่าสองคนนั้นเขาคุยอะไรกัน อีกข้อเป็นการอ่าน Passage สั้นๆ ร่วมกับฟังคลิปเสียงอาจารย์บรรยายเรื่องวงจรชีวิตของปลาแซลมอน เพื่อที่จะให้เราพูดสรุปความจากการอ่านและฟังเลคเชอร์ว่าได้ใจความอะไรบ้าง 

    หลังโปรแกรมให้โจทย์เสร็จ ผู้เข้าสอบมีเวลาเตรียมตัวพูดประมาณ 2-5 นาที ฉันเองก็จำไม่ค่อยได้ จากนั้นจึงให้พูดคำตอบใส่ไมโครโฟนเป็นเวลา 1-2 นาที แน่นอนว่าระหว่างเตรียมตัว สามารถคิดหรือเขียนโพยเรียบเรียงคำพูดในกระดาษทดได้




    ฉันบอกว่าพาร์ทนี้คุมสมาธิยาก เพราะห้องสอบของฉันไม่มีการกั้นผู้เข้าสอบแต่ละคนออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะทำข้อสอบ ฉันจึงได้ยินเสียงผู้เข้าสอบคนอื่นพูดตอบคำถามด้วยเป็นระยะ ขอให้ใครก็ตามที่จะไปสอบสนามเดียวกับฉันตั้งสติให้ดี


    Writing

    มาสู่พาร์ทสุดท้าย ที่ใครหลายคนอาจกลัว
    เพราะในขณะที่พาร์ทก่อนหน้า เป็นการสอบแบบ Multiple Choice (หรือแบบพูดตอบในกรณีของ Speaking) พาร์ทนี้คือฝันร้ายของเด็กไทยหลายคนที่รังเกียจอัตนัยและช่องเว้นให้ตอบยาวๆ

    อาจจะเป็นฝันร้ายของคนที่พิมพ์คอมพิวเตอร์ช้าด้วย เพราะนี่คือ TOEFL iBT

    ฉันจำได้ว่าฉันได้รับโจทย์สองข้อ ข้อแรกคล้ายกับพาร์ท Speaking ข้อหนึ่ง แต่อาจมีความยากกว่า เมื่อโปรแกรมให้ฉันฟังบทบรรยายและอ่าน Passage เรื่องการเปรียบเทียบผลดีผลเสียของการใช้โลหะอุดฟัน ปะทะ การใช้ปูนหรือวัสดุอื่นที่ไม่ผสมปรอท เพื่อนำมาเขียนสรุปใหม่ในภาษาของตัวเอง 
    ข้อที่สอง ให้เขียนแสดงความคิดเห็นว่าอย่างไหนดีกว่ากัน ระหว่างการเริ่มงาน/เรียนในตอนเช้า กับการเริ่มงาน/เรียนในช่วงสายหรือบ่าย 
    พอมาถึงพาร์ทนี้ โปรแกรมจะมีช่องว่างให้เราเขียนเหมือนกับเป็นโปรแกรม notepad พร้อมแถบบอกเวลาเจ้าเก่า เพิ่มเติมคือแถบ word count ที่จะคอยนับให้เราว่าเขียนไปได้กี่คำแล้ว หากจำไม่ผิด จำนวนคำขั้นต่ำอยู่ที่ 300 คำ ซึ่งสามารถเขียนเกินได้ (แต่เนื่องจากฉันเป็นคนขี้เกียจไม่เชื่อในวิถีแห่งการบรรยายน้ำท่วมทุ่ง ยิ่งเยอะยิ่งดี ทันทีที่ word count ขึ้นตัวเลข 300 ฉันจึงหยุดพิมพ์ทันที)

    หลังจากทวนคำตอบของตัวเองสักรอบสองรอบ ฉันก็กดส่งและออกจากห้องสอบ เป็นอันเสร็จสิ้นการวัดระดับภาษาอังกฤษของฉันในวันนั้นไป
  • After Words
    เบ็ดเตล็ด ผลการสอบ และสรุปบทเรียน

    ฉันหวังว่าตัวเองจะพอสื่อให้ใครก็ตามที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ว่าการวัดทักษะทางภาษาอังกฤษที่เป็นมาตรฐานยี่ห้อหนึ่งของโลกไม่ได้เน้น grammar จ๋า หรือมีพาร์ทตรวจหา error อย่างที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคย

    TOEFL วัดการอ่านจับใจความจาก Passage ต่างๆ เพื่อให้คนที่รับเราไปเป็นนักศึกษาของเขามั่นใจได้ว่าเราจะสามารถอ่าน Textbook รู้เรื่องและใช้อ้างอิงเพื่อการศึกษาได้
    วัดความสามารถในการฟังบทบรรยายจากหลายห้องเรียน เพื่อให้แน่ใจได้ว่าเราจะฟังอาจารย์กับเพื่อนๆ ออก ไม่ใช่เข้าไปนั่งงงในดงนักศึกษาอินเตอร์เนชั่นแนล
    วัดความสามารถในการพูดแสดงความคิดเห็น และพูดสรุปความ เพื่อให้เราสื่อสารกับอาจารย์รู้เรื่อง
    และวัดความสามารถในการเขียนเพื่อ...ก็นั่นล่ะ สักวันคุณจะต้องได้เขียนบทความภาษาอังกฤษยาวเป็นพรืดแน่ๆ 

    สำหรับคนไทยที่ชินกับการศึกษาไวยากรณ์อังกฤษในรั้วโรงเรียนมาหลายปีอาจจะแย้งว่า ไม่มี grammar ได้ไง? grammar ก็สำคัญนะ! ซึ่งฉันเองก็เห็นด้วย และคิดว่า TOEFL ก็ไม่เห็นต่าง เพราะฉันพบว่าในใบประกาศผลการสอบ นอกจากจะมีคะแนน และ ranking (วัดระดับว่าคะแนนของเราอยู่ในเกณฑ์ไหน เช่น good, high, fair) แล้ว เขายังมีหมายเหตุกำกับเพิ่มเติมว่า คนที่ได้คะแนน ranking เท่านี้ๆ แสดงว่ามีระดับการฟัง พูด อ่าน เขียนในระดับดีหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พาร์ท Speaking และ Writing จะมีคอมเมนท์อธิบายว่า คุณพูดฟังรู้เรื่องหรือเปล่า การเขียนของคุณถูกหลักไวยากรณ์ดีหรือไม่ คุณเขียนสื่อความได้ตรงประเด็นที่ผู้ตรวจต้องการหรือไม่

    แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่สำคัญเหนือ grammar คือการสื่อความให้ผู้รับสารรู้เรื่อง หากคุณมัวแต่กังวลว่าเอ๊ ฉันพูดถูก tense หรือเปล่า คุณจะ tense (เกร็ง) จนพูดผิดๆ ถูกๆ ไม่รู้เรื่องเอาเสียเอง

    (ความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติม คือ ฉันคิดว่าคนที่มีบุญเก่า เช่น เคยไปสัมผัสประสบการณ์การเรียนต่างประเทศ เคยเรียนโปรแกรมอินเตอร์ฯ  พวก English Program หรือเคยใช้ตำราเรียนภาษาอังกฤษในการอ้างอิงความรู้มาก่อนบ้างจะค่อนข้างได้เปรียบในการทำข้อสอบ TOEFL เชื่อเถอะ ความมึนงงที่คุณหมดไปกับการนั่งฟังอาจารย์ชาวต่างชาติสอนกับดั้นด้นค้นข้อมูลที่อาจารย์กำชับว่าต้องเป็น Standard Textbook จะไม่เหนื่อยเปล่าแน่นอน หากคุณต้องการศึกษาต่อต่างประเทศ)

    โดยรวมแล้ว ฉันคิดว่าการสอบ TOEFL เป็นการสอบที่สนุกในระดับหนึ่ง ฉันตื่นเต้นกับเนื้อหาที่เขาเอามาออกสอบมาก (และอาจตื่นเต้นมากที่ต้องพยายามเขียน handwriting ด้วย) และขอส่งผ่านความรู้สึกนี้ให้กับใครก็ตามที่คิดจะสอบเช่นกัน



    ขอให้ความรู้และสติอยู่ข้างฉันและเธอ เสมอ เสมอ
    ปลาเอง

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Pai Sujittra (@fb1392570904177)
เราเอาผลสอบจากไหนได้บ้างค่ะตามที่อยู่ที่ให้ไว้ตอนสมัครหือในเว็บค่ะ
Gimleng Gimhot Adisonpunkul (@fb1015668180197)
เป็นประโยชน์มากค่ะ เข้าใจง่าย น่ารักด้วย
ขอบคุณนะคะที่เขียนบทความนี้ขึ้นมา เลิฟๆ