เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storychinneythesloth
ดงมะไฟ
  • ดงมะไฟ28/03/2009


    อากาศไม่ใคร่จะเย็นสักเท่าไหร่

    เพราะผมรู้สึกได้ว่าเหงื่อของผมกำลังไหลจากขมับใต้หมวกสานเก่าเปรอะลงไปตามแก้ม ก่อนจะหยดลงที่ปลายคาง ท้องฟ้าเบื้องหน้ากว้างใหญ่และใสไร้เมฆเหมือนเครื่องแก้วสีสวย ผมกำลังใส่เสื้อตัวเก่าแขนยาวที่ตอนนี้พับแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อพับ มือซ้ายถือน้ำหนักถ่วงของถังผสมปูน มือขวามีเกรียงเก่าๆ

    อากาศไม่ใคร่จะเย็นสักเท่าไหร่ เมื่อลมอุ่นร้อนพัดเอาฝุ่นแดงที่พื้นให้ตลบขึ้นคละคลุ้งทั่วบริเวณ เสียงผสมปูนยังดังอื้ออึงอยู่ข้างๆ ผสมไปกับเสียงกีต้าร์ และเสียงเด็กๆคละเคล้ามากับลมร้อน ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ ปล่อยให้ฝุ่นแดงพัดพาไปเบื้องหน้าราวกับกำลังดูภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ในจอเงิน อากาศไม่ใคร่จะเย็นสักเท่าไหร่หรอก

    แต่ผมก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย




    ผมจำได้ว่าเย็นวันนั้นมีอะไรดลใจสักอย่าง ท่ามกลางความร้อนอบอ้าวกลางเดือนมีนา  เสียงพัดลมระบายความร้อนจากซีพียูคอมพิวเตอร์ดูจะสร้างความรำคาญใจให้ไม่น้อย และเมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผมสนใจในมอนิเตอร์เครื่องเก่านั้นอีกต่อไปผมจึงปิดเครื่องลงอย่างเหนื่อยหน่าย มองไปทางนาฬิกาดิจิตอลเครื่องใหม่ มันแสดงตัวเลขสองหลักที่บ่งบอกว่าเย็นย่ำแล้วเต็มที และหากผมจะออกเดินทางก็คงต้องรีบเสียเดี๋ยวนี้และโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน (อันที่จริงผมแทบจะไม่ได้คิดอะไรเลยต่างหาก)

    ผมวิ่งขึ้นบันไดไม้ กระชากประตูตู้เสื้อผ้าออก รื้อได้เสื้อผ้าเก่าๆสองสามชุดยัดเข้าเป้ใบเล็ก
    ผมวิ่งลงบันไดไม้ ตะโกนบอกยายที่อยู่ในครัวว่า ผมจะไปอยู่ที่แม่ฮ่องสอนสักสองสามอาทิตย์

    ผมกระโดดขึ้นรถเมล์สายเจ็ดในเวลาสองทุ่ม หวั่นๆใจว่าจะไปได้ทันเที่ยวรถไฟสู่เชียงใหม่หรือไม่  ใจของผมเต้นระรัวราวกับมันกำลังสูบฉีดโลหิตให้ขึ้นไปหล่อเลี้ยงได้ถึงสมอง แต่ก็เพราะไม่ใช่ว่ากังวลถึงเที่ยวรถไฟหรอกนะ หากผมกำลังตื่นเต้นกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ต่างหาก และผมรู้ตัวว่าผมคงจะวู่วามมากเกินไปจริงๆ

    ขณะที่มองรถติดไฟแดงที่สี่แยก ตัวอักษรดิจิตอลกำลังนับถอยหลงรอเวลาออกตัวนั้น หัวใจที่เต้นแรงของผมก็ค่อยสงบลง ผมกำลังทบทวนถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดของตัวเอง


    เมื่อสองสามวันแรกของการปิดเทอมฤดูร้อน ความเบื่อหน่ายก็เข้าจู่โจมหัวใจของผมอย่างรุนแรง หลังเสร็จสิ้นจากงานทุกอย่างเมื่อสิ้นเทอม ความสงบสุขก็กลับคืนสู่โลกอีกครั้ง แต่ก็เป็นเช่นทุกปี ความสงบนั้นนำพาสิ่งเลวร้ายหลายอย่างเข้ามา

    ผมยอมรับว่าชีวิตของผมนั้นซวยตั้งแต่ต้นปี คุณพ่อของผมเสียในคืนที่สามหลังผู้คนจุดพลุฉลองปีใหม่  ผมไม่ได้รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องเหนือการคาดหมายสักเท่าไหร่นักในเมื่อท่านเองก็ป่วยมาแล้วหลายเดือน ผมเองก็รู้สึกได้ตั้งแต่คุณหมอบอกให้ทุกคนเริ่มทำใจ  และแล้วพ่อก็ไปหาแม่ในคืนนั้น  ผมไม่ได้ร้องไห้ในงานศพท่าน ทั้งยังไม่ได้อยู่เฝ้าท่านตอนที่นำท่านขึ้นบำเพ็ญกุศล ผมเลือกที่จะสะสางงานให้เสร็จมากกว่าการจะอยู่กับคนไม่มีชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย

    และหลายคนบอกว่าผมนั้นแล้งน้ำใจ แต่อย่าคิดว่าผมจะสนใจในคำพูดเหล่านั้นหรอก เพราะไม่มีใครสักคนที่รู้ว่าจริงๆแล้วผมกำลังโศกเศร้าเพียงไหน ไม่มีทาง

    ผมอยู่กับคุณยายหลังจากนั้น อันที่จริงท่านก็เป็นสมาชิกเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในบ้านหลังนี้ ชานเมืองกรุงเทพไม่แออัดหากก็ยังหนีไม่พ้นฝุ่นควัน บรรยากาศนั้นก็ยังคงหดหู่อย่างเหลือแสนอย่างที่ใครๆก็พากันบอกเช่นนั้น แต่ผมจะบอกได้เลยว่าผมไม่เคยคิดมาก ไม่ตัดพ้อต่อโชคชะตา เพราะผมไม่มีเวลามากพอ แต่ดูเถิดถึงจะพูดกับใครต่อใครเช่นนั้นให้โดนต่อว่าว่าใจดำ แต่ทุกครั้งที่สมองผมว่างจากงาน ความรู้สึกต่างๆก็ถาโถมเข้ามาในทันที

    ผมไม่เคยฝันเห็นพ่อ แม้ว่าผมจะอยากเจอท่านสักแค่ไหน พ่อไม่ได้สั่งเสียในวันที่ท่านจากไป เงินที่ท่านทิ้งไว้อยู่ในหลักที่ไม่มากหรือน้อยเกินไปนักแต่จะเพียงพอต่อการดำรงชีวิตก่อนที่ผมจะเดินได้บนขาของตัวเองนั้นก็เป็นเรื่องที่จะต้องดูต่อไปอีกที


    เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ
    แต่ผมกลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยราวกับเดินทางผ่านทะเลทรายผืนร้อนที่สุดแห่งหนึ่ง

    หนักหนา เรียบง่าย โศกเศร้า เหงาหรือเย็นชืด ผมไม่อาจแยกแยะได้ว่ามันควรจะเรียกว่าอะไรกันแน่ แต่ผมก็รู้ได้ว่าตัวเองกำลังเหนื่อยเหลือเกิน ไม่ใช่แค่ที่ร่างกาย ผมไม่อยากหลอกกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้นหากตัวผมเองเอาแต่นั่งอธิษฐาน ผมไม่กล้าฝันว่าวันหนึ่งจะมีใครคนหนึ่งยื่นมือให้ พาผมเดินไปด้วยกัน และกอดผมเวลาที่ไม่มีใคร ผมไม่กล้าคิด ไม่กล้าคิดและไม่อยากยอมรับเลย....ว่าผมปรารถนาเช่นนั้นจริงๆ

    เมื่อสองวันก่อน กัมปนาท เพื่อนที่มหาลัยชวนผมออกไปทำค่ายที่แม่ฮ่องสอน กัมปนาทกับผมมักไปไหนมาไหนด้วยกัน กินข้าวด้วยกันทุกวัน ทำงานด้วยกัน แต่ผมก็พยายามบอกกับใครเสมอๆว่าผมกับมันไม่ได้สนิทกันมากนัก อย่างไรก็ตามเถิด มันก็ชวนผมแล้ว ดังนั้นมันจะคืนคำไม่ได้

    ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ผมก็ยอมรับโดยดุษฎี ว่าผมคงคิดแค่เพียงอยากจะไปให้พ้นจากตรงนี้เสียที


    ผมไม่ได้ตอบคำถามของกัมปนาทตอนที่มันถาม รู้แต่ภายในเวลาเกือบสองวันของการเดินทางผมก็ยืนอยู่บนผืนดินสีแดงเรียบร้อยแล้ว ณ เวลาที่เรือนหลังเล็กๆถูกปลูกขึ้นในโรงเรียนชาวเขาที่ห่างไกล ไม่มีแม้ไฟฟ้าหรือน้ำประชาที่เพียงพอเวลาของผมก็แทบจะหยุดหมุนไปในทันที อันที่จริงมันคงจะหยุดตั้งแต่ที่รถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาในคืนวันนั้นแล้วก็เป็นได้ โลกอีกครึ่งใบที่ฝังอยู่ในผืนดินถูกพลิกงัดขึ้นมา โลกใบนั้นเล็กเพียงนิดเดียว เล็กไม่ถึงเสี้ยวของโลกเก่าที่อยู่เหนือหน้าดินมาโดยตลอด แต่มันกลับเป็นโลกที่อุ่นสบายและสงบสุขที่สุด สายลมอุ่นร้อนในตอนกลางวันและหนาวจับใจตอนกลางคืนไม่ได้สร้างความลำบาก และถึงแม้จะมีเวลาว่างอีกสักสามล้านชั่วโมง ผมก็จะไม่คิดฟุ้งซ่านอีกต่อไป

    คงไม่มีใครคาดคิดว่าอะไรๆจะสามารถเปลี่ยนโลกได้จากหน้ามือเป็นหลังมือได้เพียงย้ายสถานที่ๆเราอยู่ออกไปราวห้าร้อยกิโลเมตร หรือในเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง แค่บรรยากาศของทิวอ้อยที่เรียงรายข้างทางก็ทำให้ใจสงบลง ความนึกคิด ความสนใจต่อเพื่อนร่วมโลกที่แทบไม่เคยมี บัดนี้เสียงหัวเราะของพวกเขายังดังก้องอบอุ่นอยู่ในหัวของผม บางที อาจไม่ใช่ทั้งระยะทาง หรือเวลากระมังที่เปลี่ยนทุกอย่างไป หากคงเป็นแต่จิตใจของผมเองที่เปลี่ยน บางที อาจจะไม่ต้องเดินทางรอนแรมมาไกลขนาดนี้ แต่แค่จากฟากหนึ่งของห้องสู่อีกมุมหนึ่งโลกอีกครึ่งใบก็อาจจะถูกพลิกขึ้นมาได้เหมือนกันถ้ามันอยู่ในกาลเทศะที่เหมาะสมและถูกต้อง เพียงแต่ในกรณีนี้ผมเชื่อว่าเวลากำลังเยียวยาหัวใจของผม

    เสื้อผ้าสองสามชุดที่ผลัดกันเวียนใส่คงดูน้อยไปสำหรับเวลาร่วมเดือน น้ำที่แล้งในหน้าร้อนคงไม่ได้เพียงพอต่อการใช้งาน กองเพลิงสีแดงจากตะเกียงให้แสงสว่างแทนไฟฟ้าและโทรศัพท์ไร้สัญญาณก็กลายเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารที่มีค่าเพียงบอกเวลา และถึงทุกอย่างเหล่านี้จะฟังดูไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยผมก็มีข้าวกินครบสามมื้อ แถมด้วยขนมง่ายๆอีกนิดหน่อย

    เสียงเด็กชาวเขาวิ่งเล่น ภาษาไทยของเขาอาจไม่แข็งแรงนักแต่แค่รอยยิ้มก็เพียงพอแล้วที่กำลังสื่อสารให้ผมรู้ว่าพวกเขากำลังมีความสุข ความสุขที่หาได้ง่ายๆจากโลกใบเล็กใบนี้


    อากาศไม่ใคร่จะเย็นสักเท่าไหร่นัก
    แต่ผมก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย


    ถังผสมปูนอยู่ในมือซ้าย เกรียงอยู่ในมือขวา หลังคาซีเมนต์ลอนคู่ถูกปูเสร็จแล้วเมื่อเย็นวาน แต่ประตูยังไม่ได้ติดลงบนวงกบที่ว่างเปล่า เหลือแค่ฉาบผนังอีกนิดหน่อยก็จะจบงานได้ในวันนี้ แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้กลัวว่าเวลาจะเดินช้าหรือเร็วหรอก ผมมีความสุข แต่ก็ไม่ได้ความว่าอยากให้เวลานั้นยาวขึ้น หรือตอนที่มีความทุกข์ผมก็ไม่หวังว่าจะมีใครทำให้เวลานั้นจบสิ้นไปเพราะอย่างไรก็ตามถึงจะปรารถนาสักแค่ไหนก็ไม่มีใครที่จะสามารถขยับเวลานั้นได้จริงๆ

    รวมถึงโชคชะตา

    ดินสีแดงบนยอดดอยแม่ฮ่องสอนสอนผมอย่างนั้น


    กัมปนาทเรียกผมอีกครั้ง แดดยามบ่ายแรงกล้า และผมจะต้องรีบฉาบปูนให้เสร็จ 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in