เรื่องราวของเจ้าชายน้อยเกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่มาจากดวงดาว B612 ท่องไปยังดาวดวงต่าง ๆ ที่มีทั้งพระราชา นักธุรกิจ ชายขี้เมา นักภูมิศาสตร์ คนจุดตะเกียง จนกระทั่งเขาได้เดินทางมายังโลกและได้รู้จักกับสุนัขจิ้งจอกที่สอนให้เขารู้จักกับการสร้างความสัมพันธ์บนความรับผิดชอบรวมถึงความลับของชีวิตที่ง่ายนิดเดียวกับประโยคอมตะของหนังสือที่บอกว่า"สิ่งสำคัญไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา"
เจ้าชายน้อยเป็นวรรณกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหา และความขัดแย้งต่างๆ ที่ตัวละครมีต่อตัวละครอื่น ๆ ในเรื่อง ทั้งความคิดความอ่านและความสงสัยใคร่รู้ของเจ้าชายน้อย ที่มักจะตั้งคำถามเสมอเมื่อเจอคนบางประเภทระหว่างออกเดินทางเพื่อตามหาบางสิ่งที่หัวใจเขายังมิอาจรู้ได้ว่าคืออะไร
ตัวละครดูมีความลึกซึ้งและยากที่จะเข้าใจหากเราไม่ยอมเปิดใจที่จะยอมรับเขาเข้ามาภายในซอกเล็ก ๆ ของหัวใจ เท่ากับว่าหากอ่านแค่พอผ่าน ๆ ตาเราคงไม่มีวันรู้ว่าในหนังสือเล่มนี้มีอะไรที่ใครหลายคนคิดไม่ถึงซ่อนอยู่บ้างอย่างในเรื่องที่ผู้เขียนนั้นพยายามจะสื่อให้เราได้เห็นถึงบ่อเกิดของความรักที่มักจะเริ่มต้นจากความสัมพันธ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จนกระทั่งก่อเกิดเป็นมิตรภาพเล็ก ๆ ที่เรียกว่า "เพื่อน" ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และความหมายต่อจิตใจเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งหลังจากเจ้าชายน้อยได้พบกับเจ้าสุนัขจิ้งจอกก็ทำให้เขาได้ค้นพบบางสิ่งที่ตัวเขาเองไม่เคยมองเห็นหรือสัมผัสมันได้เลยสักครั้งสิ่งนั้นก็คือมิตรภาพและความรักระหว่างเพื่อน เพราะเจ้าสุนัขจิ้งจอกได้บอกกับเขาไว้ก่อนจากกันว่า"สิ่งที่สำคัญนั้นไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา เราจะสามารถมองเห็นมันได้ด้วยหัวใจเท่านั้น" ประโยคนี้เชื่อว่าหลายคนคงจะชอบและเริ่มคิดตามว่าภายใต้คำพูดประโยคนี้แฝงไปด้วยความนัยอะไรบ้าง
หลังจากที่เจ้าชายน้อยได้ออกเดินทางจากบ้านเกิดและจากดอกกุหลาบที่เป็นเพื่อนรักของเขามาแล้ว เขาได้พบเจอกับคนมากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นพระราชา นักภูมิศาสตร์คนหลงตัวเอง หรือชายชอบดื่ม ซึ่งหลาย ๆตัวละครที่ปรากฏในแต่ละช่วงเวลาเหล่านั้นทำให้เราได้ข้อคิดต่าง ๆ ตามมามากมาย
แน่นอนว่าผู้ใหญ่ทุกคนล้วนเคยผ่านช่วงเวลาเป็นเด็กมาก่อนพอเริ่มเติบโตขึ้น ชีวิตและความคิดก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัย พอโตแล้วก็จะคิดแต่สิ่งที่จริงจังและหาเหตุผลมาอ้างเพื่อความจริง และความสมเหตุสมผล จนอาจมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไปในขณะที่เด็กนั้นแทบจะไม่รู้สึกถึงเหตุผลที่ผู้ใหญ่พยายามหยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างเหล่านั้นเลย
เจ้าชายน้อยออกเดินทางเพื่อตามหาบางสิ่งจนกระทั่งตระหนักได้ถึงความจริงของชีวิตที่ว่า "แท้ที่จริงแล้วคนเราทุกคนต้องการความรัก"เราไม่สามารถขาดมันได้เพราะมันเปรียบเสมือนน้ำที่ร่างกายขาดไม่ได้ หากขาดน้ำไปแล้วร่างกายคนเราคงแห้งเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาสุดท้ายก็จะดับสะลาย และเลือนหายไปจากโลกใบนี้
เช่นเดียวกับชีวิตของใครหลายคนที่ขาดเพื่อนไม่ได้เพราะคนเรานั้นไม่อาจอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ได้เมื่อเจ้าชายน้อยค้นพบความจริงในข้อนี้แล้ว เขาก็ได้เดินทางกลับบ้านที่เขาจากมา เพื่อกลับไปหากุหลาบที่เขารัก ถึงแม้จะมีดอกกุหลาบนับล้านดอก ก็มิอาจเทียบได้กับดอกกุหลาบดอกเดียวที่เขาเฝ้าทะนุถนอมและรดน้ำมาเป็นเวลานาน
จะเห็นได้ว่าผู้เขียนพยายามบอกให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงคุณค่าของบางสิ่งบางอย่างที่ตัวเราเองอาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเช่นว่า เราจะรู้คุณค่าของบางสิ่งบางอย่างก็ต่อเมื่อเราได้สูญเสียสิ่ง ๆนั้นไปแล้ว และเมื่อเรารู้คุณค่าของมันแล้ว เราก็ต้องรู้จักที่จะดูแลทะนุถนอมและเอาใจใส่รับผิดชอบต่อสิ่งๆ นั้น ดังนั้นแล้วจะเห็นได้ว่า ภายใต้หนังสือเล่มนี้มีข้อคิด และอะไรหลาย ๆอย่างที่สอนให้เรารู้จักคิด รู้จักที่จะรักและรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองมีเพื่อไม่ให้สูญเสียสิ่งที่รักไปในเวลาอันสั้น เพราะบางครั้ง สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดเราก็อาจมองไม่เห็นหากไม่ยอมเปิดใจมองมัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in