เปิดประสบการณ์ทำใจกล้าดู psychological thriller สัญชาติเสปนคนเดียว... #ThePlatform หนังที่แฝงอะไรไว้มากมายให้ขบคิด แต่สิ่งหนึ่งที่จะยังคงติดตรึงและฝังรากลึกในห้วงความคิดต่อไปก็คือ สรุปแล้วสารนั้นถูกส่งไปถึงจริงหรือ?
*มีการสปอยเนื้อหาของหนัง
คงต้องออกตัวก่อนว่าประทับใจหนังเรื่องนี้มาก ๆ ชอบตั้งแต่คอนเซ็ปต์ พล็อต สกรีนเพลย์ การแสดง แอบไม่ชอบการตัดสลับระหว่างฉากไคลแมกซ์และฉากเร้าอารมณ์ตื่นเต้นอื่น ๆ ส่วนตัวคิดว่าควรทำได้ลื่นไหลมากกว่านี้ โดยรวมแล้ว มุมกล้อง ฉาก แสงเงาอะไรสวยดี แต่ถ้าลองเทียบกับหนังที่นำเสนอเรื่องราวความเหลื่อมล้ำใกล้เคียงกันอย่าง Parasite (2019) ที่มีการแอบแฝงและใช้ลูกเล่นในการถ่ายทำมากกว่า หนังเรื่องนี้ก็ยังอาร์ตไม่เท่า เพราะมีความละเอียดอ่อนน้อยกว่า หากทว่าในแง่ของการสื่อสาร ถ้า Parasite ใช้สัญลักษณ์ในการบอกเล่า The Platform ก็ใช้บทพูดที่กระชับ, Setting ที่ถูกตั้งไว้ในโลกดิสโทเปีย และ character development ของตัวละครหลักเป็นการเล่าเรื่องราวน่าเหลือเชื่อเหล่านี้สื่อถึงผู้ชมได้อย่างง่ายดาย
The Platform เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโครงสร้างแห่งหนึ่งที่ประกอบไปด้วยแพลตฟอร์มนับร้อยเรียงต่อกันในแนวตั้ง มี “รู” ตรงกลางที่มีขนาดใหญ่พอให้โต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยอาหารเดินทางผ่านลงไปได้ คนที่อยู่ข้างล่าง จะได้กินอาหารที่เหลือบนโต๊ะจากคนที่อยู่ชั้นบน ส่วนตัวถือว่าเป็นคอนเซ็ปต์ที่แปลกใหม่และดึงดูดให้จับตาดูมาก ๆ อีกทั้งเทคนิกการเล่าเรื่องผ่านตัวละครตัวเดียวที่เรียบง่ายแต่มีพลัง “โกเร็ง” เราจะได้ข้อมูลในสิ่งที่โกเร็งได้รู้ เห็นในสิ่งที่โกเร็งเห็น คิดว่าในส่วนนี้สร้างอิมแพคต่อการดำเนินเรื่องได้มากทีเดียว
ลุงคนแรกเปิดเรื่องได้เยี่ยม เปิดมาเพื่ออธิบายในสิ่งที่คนที่อยู่มานานเข้าใจ ถ้าให้เปรียบโกเร็งเป็นคนรุ่นใหม่ ไฟแรง มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน งั้นลุงก็คือคนรุ่นเก่า ที่หมดไฟและใช้ชีวิตเพื่อความอยู่รอด เมื่อก่อนรอดมาได้อย่างไรก็ทำเช่นนั้นต่อไป เพราะนั่น (ในมุมมองของลุง) คือสิ่งที่ทำให้รอดมาได้ คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว คือสิ่งที่ยอมรับได้
ในแพลตฟอร์ม คุณมีเวลาหนึ่งเดือนในการอยู่บนชั้นนั้น ก่อนที่เดือนหน้าจะถูกสุ่มไปอยู่บนชั้นใหม่ สิ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้ คุณจะสามารถถูกแรนด้อมให้ไปอยู่ยังชั้นไหนก็ได้ จะสูงกว่า จะต่ำกว่า มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ มันคือการควบคุมของ “ระบบ” มันไม่ใช่ “บทลงโทษ” หรือ “รางวัล” มันไม่ได้วัดจากเกณฑ์อะไรใด ๆ เลย เพราะฉะนั้นในตอนที่โกเร็งและลุงในเดือนถัดมาถูกส่งไปถึงชั้นที่ 171 จากที่เคยเป็นมิตรกันบนชั้นที่ 48 สถานการณ์ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบบทสนทนาของทั้งคู่บนชั้นนี้มาก ตอนที่โกเร็งบอกว่าอย่าโทษใคร อย่าโทษอะไรเลยนอกจากตัวลุงเอง ลุงนั่นแหละ ถ้าลุงตัดสินใจฆ่าเขามันก็คือความผิดของลุงเอง แต่พอถึงคราวที่สถานการณ์นั้นตกเป็นของโกเร็งเองบ้างแล้ว เขากลับพูดได้ไม่เต็มปากเลยว่าสุดท้ายแล้วมันคือความผิดของใครกันแน่ การที่เขาโทษว่ามันคือความผิดของลุงนั้นถูกต้องแล้วหรือ? อะไรบีบบังคับให้สัญชาตญาณดิบของมนุษย์ถูกหยิบขึ้นมาใช้กันแน่ ระหว่างตัวมนุษย์ ความโชคร้ายที่ตกเป็นเหยื่อ หรือระบบที่บัดซบเกินกว่าจะแก้ไข
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน จากที่ไม่มีอาหารตกถึงท้อง จนตรอกและจำยอมจนสภาพจิตใจแหลกสลายไม่มีชิ้นดี โกเร็งรอดมาเจอตัวละครที่ฉีกมุมมองให้เห็นถึงอีกด้านของเหรียญ ป้าที่ทำงานให้ “องค์กร” มา 25 ปี เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่คุมการส่งคนเข้ามาในแพลตฟอร์มนรกนี้ ป้ามีความเชื่อมั่นว่าจุดประสงค์ของแพลตฟอร์มแห่งนี้คือการสอนให้ผู้คนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ปัญหาที่โลกเผชิญคือมนุษย์ที่ขาด solidarity ขาดความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และด้วยความที่ป้าเป็นวงใน เราจึงได้ข้อมูลใหม่หลัก ๆ นั่นก็คือ แพลตฟอร์มนี้มีทั้งหมด 200 ชั้น และคนที่จะสามารถเข้ามาในแพลตฟอร์มแห่งนี้ได้ต้องมีอายุเกิน 16 ปีเท่านั้น คำพูดของป้ามีน้ำหนักมากพอให้เราผู้ชมและโกเร็งสามารถเชื่อถือและรับฟังสิ่งที่ป้าพูดได้
ป้ามีอุดมการณ์ที่จะสร้าง solidarity ในแพลตฟอร์ม ด้วยการพยายามโน้มน้าวให้ทุกคนทำอย่างที่ป้าบอก ซึ่งนั่นก็คือการแบ่งอาหารให้คนด้านล่างโดยกินอาหารจากบนโต๊ะเท่าที่จำเป็นสำหรับตัวเอง ด้วยความคิดตรงไปตรงมาที่ว่า “ถ้าทุกคนกินเท่าที่จำเป็น อาหารก็จะเหลือไปถึงชั้นที่ 200” เราคนดูต่างเห็นด้วยกับป้าอย่างแน่นอน แต่ถามว่าณ เวลานั้น ณ สถานที่แห่งนั้น ในสภาพจิตใจนั้น ใครจะฟัง? ในแพลตฟอร์มที่ไม่มีใครรู้ว่าวันข้างหน้าชะตาชีวิตของตัวเองจะเป็นอย่างไร จะร่วงลงไปอยู่ชั้นเรี่ยดินอีกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ตอนนี้ก็ต้องกอบโกยสิ ต้องรีบกอบโกยในตอนที่ยังมีโอกาสไม่ใช่หรือ?
สิ่งที่ชอบอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยว่าหนังเรื่องนี้เล่นได้ดีคือ ถึงแม้ว่าแพลตฟอร์มจะถูกเปลี่ยนทุก ๆ เดือน แต่ในเดือนนั้นถ้าคุณได้อยู่ในแพลตฟอร์มที่ต่ำกว่า คุณจะไม่ได้รับความเห็นใจใด ๆ จากคนที่อยู่บนชั้นที่สูงกว่า เพราะไม่ว่าอย่างไร อาหารก็จะผ่านพวกเขาก่อนจะมาถึงคุณ เพราะเช่นนั้นส่วนตัวคิดว่าเหล่าแพลตฟอร์มทั้งหลายนั้นอาจเปรียบได้กับ “อำนาจ” ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือตอนที่โกเร็งใช้อำนาจนี้ขู่บังคับให้คนชั้นถัดไปด้านล่างทำตามที่ป้าบอก แสดงให้เห็นไปในคราวเดียวกันว่าการประนีประนอมนั้นเห็นผลช้า หรืออาจไม่เห็นผลเลยเมื่อเทียบกับการใช้อำนาจเป็นเครื่องมือต่อรอง ยิ่งตอกย้ำระบบบัดซบที่เป็นดั่งโครงสร้างแนวตั้งของเพลตฟอร์มไร้ที่สิ้นสุดนั่นเอง
หนึ่งเดือนถัดไป คราวนี้โกเร็งและป้าร่วงลงมาอยู่ชั้นที่ 202... ตอนที่หนังดำเนินมาถึงจุดนี้ก็เกิดอาการอ้าปากค้างร้องอ้าวเสียงดังเลยทีเดียว ไหนป้าบอกว่ามี 200 ชั้นไง? ศรัทธาในตัวป้าหายวับไปพร้อม ๆ กับที่ป้าหมดศรัทธาในองค์กรและอุดมการณ์ของตัวเอง เราตาสว่างเลยว่าป้าก็เป็นแค่มดตัวเล็ก ๆ ที่วิ่งวนอยู่ในระบบเหมือนกับพวกคนในแพลตฟอร์มเท่านั้น จากที่โกเร็งบอกว่าป้ามีอำนาจในการเลือกคู่ที่จะอยู่ด้วยในแพลตฟอร์มนรกนี้ (เพราะป้าเลือกจะมาอยู่กับโกเร็ง) อำนาจนั้นไร้ค่าในทันทีเมื่อก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบ
เมื่อรู้แล้วว่ามีมากกว่าสองร้อยแพลตฟอร์ม คำถามต่อมาก็ตามมา แล้วมันสิ้นสุดเมื่อไหร่กันล่ะ? จุดที่ต่ำที่สุดมันอยู่ที่ไหนกันแน่? ในเมื่อตอนที่อยู่สูงกว่านี้ไปเกือบห้าสิบชั้นยังไม่มีอะไรเหลือลงมาให้กิน แต่หากมองลงไปจากชั้นที่ 202 แล้วก็ยังมองเห็นแพลตฟอร์มลึกลงไปไม่จบสิ้น ส่วนตัวคิดว่าหนังต้องการจะสื่อว่าจุดต่ำสุดที่แท้จริงนั้นไม่มีทางรู้ได้เลยหากไม่ได้ลงไปสัมผัสด้วยตัวเองจริง ๆ ที่คิดว่าต่ำแล้ว มันก็อาจจะต่ำได้เกินกว่าที่ใครจะสามารถจินตนาการได้
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนอย่างทุลักทุเล โกเร็งรอดตายขึ้นมาอยู่ที่ชั้น 6 สูงที่สุดเท่าที่ผ่านมา ตื่นมาเจออาเฮียไฟแรงที่เอาแต่ตะโกนว่าใกล้จะเป็นอิสระแล้ว อีกแค่ห้าชั้นเท่านั้นเอง วิงวอนอ้างอิงต่อพระเจ้าให้คนที่อยู่ชั้นบนช่วยดึงขึ้นไปสู่อิสรภาพ แต่แล้วสุดท้ายก็เป็นเพียงเครื่องมือเอนเตอร์เทนให้พวกเขาเท่านั้น ในส่วนนี้ส่วนตัวรู้สึกว่าสร้างความตระหนักได้มาก เพราะแม้จะห่างกันแค่ชั้นเดียวเท่านั้น อำนาจที่คนบนชั้นที่ 5 มีนั้นมันกลับมากมายมหาศาลเมื่อเทียบกับโกเร็งและเฮียที่ชั้นที่ 6 มากพอให้สามรถทำอะไรกับคนที่อยู่ในแพลตฟอร์มที่ต่ำกว่าก็ได้ เหมือนดังเช่นที่ผ่านมาที่ลุงคอยบอกว่าการเงยหน้าขึ้นไปพูดกับคนที่อยู่ชั้นเหนือกว่านั้นไม่มีประโยชน์อะไร
ขอแทรกด้วยตัวละครที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ มิฮารุที่คอยนั่งบนโต๊ะและเคลื่อนลงไปตามแพลตฟอร์มเพื่อตามหาลูกของเธอ ตอนที่ป้าบอกไม่มีเด็กอายุต่ำกว่า 16 มาอยู่ที่นี่หรอกนะ เราก็เกิดอาการอ้าวไปที แล้วป้าก็บอกอีกว่ามิฮารุน่ะมาที่นี่คนเดียว มาเพื่อทำตามความฝันของตัวเอง แล้วข่าวลือนั้นมันแพร่สะพัดไปขนาดนั้นได้อย่างไร หรือป้าก็โดนหลอกมาเหมือนกัน ปมนี้ถูกเฉลยแบบปลายเปิดเมื่อโกเร็งและเฮียตัดสินใจสร้างการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ทั้งคู่จะละทิ้งพื้นที่อภิสิทธิ์ที่ชั้น 6 ลงไปตามโต๊ะเพื่อแบ่งจ่ายอาหารให้พอดีกับทุกคน ลงไปให้ถึงชั้นล่างสุดและกลับขึ้นไปอีกครั้งจนถึงชั้นที่ 0 หวังจะได้รับอิสรภาพ หนังสื่อความโหดร้ายที่ระบบและมนุษย์ฝากไว้ในแต่ละชั้นได้เป็นอย่างดี โกเร็งในตอนที่อยู่ที่ชั้นที่ 202 คำนวนคร่าว ๆ จากเสียงของกลไกว่าคุกแนวตั้งนี้น่าจะมีทั้งหมด 250 ชั้น แต่ผิดคาด มันมีมากกว่านั้น มากกว่านั้นอีกหลายชั้น ลงไปเรื่อย ๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด อาหารหมดตั้งแต่ชั้นที่สองร้อยกว่า แม้จะบังคับให้ชั้นที่ 6 ถึง 50 อดอาหาร ความจริงที่ว่าอาหารบนโต๊ะไม่ได้เพียงพอจะให้คนทุกคนในคุกนรกนั้นก็แทบจะไม่น่าประหลาดใจอีกต่อไป จนกระทั่งแพลตฟอร์มมาหยุดลงที่ชั้นสุดท้าย ชั้นที่ 333 ชั้นที่โกเร็งได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ตอกย้ำอีกครั้งว่าข้อมูลที่เราได้จากป้าไม่เป็นความจริงเลยสักอย่างเดียว
เด็กคนนั้นคือสาร ทำไมถึงเป็นสาร ส่วนตัวคิดว่าเพราะเด็กไร้รอยขีดข่วนใด ๆ เลยแม้ว่าจะผ่านขุมนรกนี้มาผิดกับโกเร็งและคนอื่น ๆ เห็นได้ชัดว่าท่ามกลางการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ ความบริสุทธิ์ของมนุษย์ก็ไม่ได้ถูกสัญชาตญาณดิบกลืนหายไปเสียหมด คำถามมากมายที่ว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงยังรอดมาได้คือคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงเป็นสารที่ตามหา
สารไม่จำเป็นต้องมีผู้ส่งสาร เห็นด้วยกับประโยคนี้มาก ๆ เกี่ยวเนื่องกับที่คิดว่าจุดต่ำสุดไม่สามารถรับรู้ได้หากไม่สัมผัสด้วยตัวเอง ไม่มีใครเป็นผู้ส่งสารได้ดีเท่ากับตัวสารเอง สารที่เดินทางผ่านจุดที่ต่ำที่สุดมาแล้วย่อมดังมากพอให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
แต่ว่า สารนั้นถูกส่งไปถึงจริงหรือ?
นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นในหัวทันทีที่เครดิตขึ้น บ่งบอกว่า 94 นาทีนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เด็กผู้หญิงที่ถูกส่งขึ้นไปยังชั้นที่ 0 ถูกส่งไปถึง “คน” ที่ถูกต้องแล้วจริงหรือ? มองขึ้นไปเหนือคุกแนวตั้งคือครัวชั้นเลิศ หากมองดูดี ๆ แล้วเหล่าพ่อครัวแม่ครัวก็ไม่ต่างอะไรจากพวกคนในแพลตฟอร์มเลย ทุกคนคือมดตัวเล็ก ๆ ในระบบบัดซบ ก้มหัวทำหน้าที่ภายใต้การสั่งการของชายสูทขาวอีกที งั้นชายสูทขาวหรือที่เป็นจุดสูงสุด? ถ้าจุดที่ต่ำที่สุดคือแพลตฟอร์มชั้นที่ 333 แล้วจุดสูงสุดล่ะ ชายสูทขาวทำงานให้ใคร? เราที่เป็นเพียงมดตัวเล็ก ๆ นั้นไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครคือคนที่อยู่จุดสูงสุด คุณกระโดดลงไปด้านล่างได้เพราะใคร ๆ ก็มองว่านั่นคือการฆ่าตัวตาย ใครจะอยากลงไปอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าที่เคยยืนอยู่กันล่ะ? แต่กลับกันคุณไม่สามารถปีนขึ้นไปยังชั้นที่สูงกว่าได้ หลักฐานก็เฮียไฟแรงที่โดนหัวเราะเยาะใส่ที่กล้าแม้แต่จะฝันที่จะปีนขึ้นไป
สุดท้ายแล้วหากสารถูกส่งขึ้นไปถึงพ่อครัวคนหนึ่งในชั้นที่ 0 การเปลี่ยนแปลงอะไรจะเกิดขึ้น? หากชายสูทขาวได้รับสารนั้นอะไรจะเกิดขึ้น? การจบแบบปลายเปิดของ The Platform สร้างคำถามมากมายให้ตามมารอการหาคำตอบ โดยส่วนตัวนั้นคิดว่าหนังเปรียบดั่งเด็กผู้หญิงคนนั้น หนังคือสารที่ถูกส่งมายังพวกเรา เหล่าผู้คนที่อยู่ในแพลตฟอร์มแต่ละชั้น หนังต้องการให้เราตั้งคำถาม ตั้งคำถามกับสิ่งที่มีอยู่ ตั้งคำถามกับการจำยอมของตัวเราเองว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ตั้งคำถามว่าอะไรอยู่บนนั้น บนชั้นที่อยู่เหนือกว่าเรา ตั้งคำถามว่าอะไรอยู่ด้านล่างนั่น ว่าการเอาตัวรอดในจุดต่ำสุดของปิระมิดมันเป็นเช่นไร และตั้งคำถาม... ว่าสิ่งที่เรารับรู้นั้นสุดท้ายแล้วเป็นความจริงอยู่กี่เปอร์เซ็นต์กันแน่
The Platform เป็นหนังที่หนักหน่วงและเต็มไปด้วยความโหดร้าย แอบเบือนหน้าหนีจอไปหลายครั้งเลยทีเดียวเพราะมีหลายฉากที่ค่อนข้างโหดจนถึงขั้นน่าขยะแขยง แต่โดยรวมก็เป็นหนังที่เล่าเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งรู้สึกยาวนานราวผ่านไปสามชั่วโมง ดึงรั้งอารมณ์ให้ดำดิ่งไปพร้อมโกเร็ง ดนตรีประกอบสร้างความรู้สึกหลอนประสาท เข้ากับแต่ละฉากได้เป็นอย่างดี หากต้องให้คะแนนเต็มสิบ The Platform ก็ได้ไป 9 อย่างง่ายดายโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ
warmthindecember
25/03/2020
*หากมีข้อมูลผิดพลาดใด ๆ ทักท้วงมาได้ และขออภัยมา ณ ที่นี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in