เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อวันที่ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า (Depression Diary)Tongg Pongsathorn
ซึมเศร้า Diary (14) คำถามที่ไม่มีคำตอบ
  • จริงๆเราข้ามการเล่ากับการหาหมอไปครั้งนึง  เนื่องจากไม่มีสาระอะไรมาก เนื่องจากเราอยู่ในช่วงย้ายฝ่ายงาน ทำให้แรงกดดันจากการทำงานน้อยลง จะถือว่าอาการดีขึ้นก็เป็นได้ แต่เรามีโอกาสได้เล่าเรื่องของเราให้นักศึกษาแพทย์ฟัง แต่ก็นั่นแหละคือสิ่งที่เราเคยเล่าไปหมดแล้ว เราเข้าใจว่านักศึกษาแพทย์ก็มีคำถามเท่าที่เขาเคยเรียนมา จนมาท้ายๆเราเริ่มได้คุยกับอาจารย์หมอเราบอกอาจารย์หมอว่าเราตั้งคำถามหลายคำถามกับหมอประจำ แต่เราไม่เคยได้รับคำตอบกลับมาเลย แถมยังเป็นฝ่ายหมอเองซะอีกที่ถามเรากลับมาว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น อาจารย์หมอถามอีกครั้งแล้วเพราะคิดว่าอะไร เราบอกไปว่าเพราะคำตอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งใช่เพราะคำตอบหรือเป้าหมายของคนเราไม่เหมือนกัน การที่จะหาคำตอบจากคนอื่นมันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อาจารย์หมอย้ำอีกครั้ง สิ่งที่เราหวังอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แต่ใช่ว่าเราจะทำสิ่งที่คิดให้เป็นไปตามที่ตัวเองหวังไว้ไม่ได้ จากนั้นเราก็ไปพบหมอประจำสั่งยาตามปกติ

    13  ก.พ. 2561
    เราพบหมออีกครั้ง ด้วยอาการที่ดีขึ้น แต่น้ำหนักตัวเราดีดขึ้นมา 5 กิโลกรัม เนื่องจากการเปลี่ยนยา ทำให้มีบางช่วงที่เราอยากกินต้องได้กิน ต้องยอมรับว่าการย้ายฝ่ายงานทำให้สุขภาพจิตจากการทำงานดีขึ้นมาก เราไปตื่นไปทำงานได้โดยที่ไม่มีอารมณ์ไม่อยากตื่นเหมือนก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันอยากไปมากๆๆ แต่ปัญหาภายในบ้านยังค้างคาอยู่ในใจเรา หมอถามเราและเราบอกว่าเราไม่คิดจะกลับไปแก้ไขมันอีกแล้ว เพราะเราไม่เข้าใจความต้องการของทางบ้านแม้ใครจะว่าเราเราก็ไม่แคร์แล้ว เรายอมเลวและไม่เคยตอบโต้มานานแล้ว หมอขอให้เรามาพบหมอและอาจารย์หมอในอาทิตย์ต่อไปเพื่อวิเคราะห์การรักษา เพราะหมอเริ่มลังเลว่าเราจะเป็นโรคที่ใกล้เคียง และยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด เลยอยากให้ไปอีกครั้ง...

    20 ก.พ. 2561
    เราได้เข้าไปในวงที่ประชุมหมอเพื่อหาทางรักษา โดยที่ประชุมก็จะมีหมออยู่แล้วและนักศึกษาแพทย์ เราเริ่มเล่าปัญหาอีกครั้งเหมือนเดิม โชคไม่ดีที่วันก่อนหน้าที่เราไปหาหมอเรามีปัญหากับที่บ้านจนตัวเราเองอาละวาด เหตุเพราะถ้าเรามีอะไรหงุดหงิดคาอยู่ในใจวันนั้นเราจะทำงานไม่ได้ ถึงบ้านเราก็อาละวาดจนถึงขั้นตวาดกับลูกอีกแล้ว เรารู้ว่าลูกไม่ได้ผิดนะแต่มีสิ่งอื่นมาโยงให้รู้สึกว่าลูกเราเป็นตัวต้นเหตุ ทำให้เราพาลใส่ลูก เราบอกหมอนะว่าเรารู้สึกผิดมากเวลาที่ลูกน้ำตาค่อยๆไหลออกมา เราสะเทือนใจมาก สู้ให้ลูกร้องให้ออกมาเลยดีกว่า เราเหนื่อยกับตอนนี้มากๆ เราไม่ได้คิดอยากฆ่าตัวตาย แต่ตัวเราเองตอนนี้ก็ไม่รู้มีชีวิตไปทำไม ไม่รู้วันๆจะทำไปทำไม เราสามารถนอนได้ทั้งวันเพราะเราไม่รู้จะทำอะไร เราห่างจากลูกโดยลูกเข้าหาน้องเรามากกว่า เพราะน้องเราเข้ากับลูกได้ดีกว่า เราเลยห่างจากลูกเพราะมองว่าเราเป็นปัญหา เรากลัวที่จะต้องทำร้ายลูกทางจิตใจ หมอบอกว่าให้มาเริ่มแก้ปัญหากันที่ลูกก่อน เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดและยึดเหนี่ยวเราไว้ตอนนี้ โดยหมอจัดยาใหม่ แล้วเจอกันใหม่ในอีกสามอาทิตย์ สุดท้ายก่อนแยกกับหมอเราถามหมอที่เป็นหมอประจำเราว่าที่นี่มีแอดมิดไหม หมอก็ถามว่าทำไมถามอย่างนั้น แต่เราไม่ได้ตอบกลับไป แค่ยิ้มเฉยๆแล้วเดินออกมา..

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in