เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ในเพลงลิสต์Tatiya Kaewchan
เบื้องหลังแรงบันดาลใจเศร้าๆของ 10 เพลงดังที่มีคนเปิดฟังทุกวันทั่วโลก
  • ในบรรดาบทเพลงนับหมื่นนับแสนเพลงที่โลดแล่นอยู่ในแวดวงดนตรี มันจะต้องมีเพลงจำนวนหนึ่งที่สามารถทะยานทะลุชาร์ทขึ้นมาท็อปฟอร์มและครองใจผู้คนทั่วโลกได้ ซึ่งศิลปินแต่ละวงก็จะต้องมีเพลงฮิตประจำตัว ที่เพียงแค่เริ่มขึ้นอินโทร...แฟนเพลงก็กรีดร้องกันระงมแล้ว ทุกครั้งที่ทัวร์คอนเสิร์ตเพลงเหล่านี้ถูกนำมาร้องเอาใจแฟนๆไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง แต่เคยสงสัยกันไหมว่า อะไรคือแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงเหล่านี้ขึ้นมา ? เพลงดังๆหลายเพลงนั้นมีความเศร้าอยู่เบื้องหลังเสียงดนตรี จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเพลงเหล่านี้ถึงสื่ออารมณ์ไปถึงคนฟังได้อย่างน่าประทับใจ

    เราเลยลองเขียนถึงที่มาและแรงบันดาลใจเศร้าๆของ 10 เพลงดังระดับโลกให้ได้ลองอ่านกัน บางเพลงน่าจะเป็นเพลงดีที่อยู่เหนือกาลเวลา เพราะยังครองใจแฟนเพลงได้เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่ เชื่อว่าในทุกๆ วันจะต้องมีผู้คนที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ ที่กำลังเปิดเพลงต่อไปนี้ฟังอยู่อย่างแน่นอน ...อย่างน้อยก็ในอีกไม่กี่นาทีถัดจากนี้  :P

    ปล. เลือกเพลงตามความชอบล้วนๆ บางเพลงมันจะบริทป๊อบ-บริทร็อค 90s หน่อยๆ

    _________________________________________________________________________________________________

    1. Hey Jude - The Beatles


    วงดนตรีอังกฤษฉายา 'สี่เต่าทอง' ที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ผงาดครองโลกดนตรีในยุค 60s-70s มีอิทธิพลอย่างมากต่อวงดนตรีในปัจจุบัน ไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนสาวๆต้องกรีดร้องกันแทบคลั่ง แม้ว่าจะผ่านมาเกือบครึ่งศตวรรษ แต่ความนิยมต่อวง The Beatles ไม่มีลดน้อยลงเลย ปัจจุบันนี้แฟนๆก็ยังคงตามล่าหาแผ่นเสียงของพวกเขาอยู่ รวมทั้งเพลงของวงนี้ก็ยังถูกนำมาขับร้องอยู่ทุกๆวันจากทั่วทุกมุมโลก สำหรับเพลง Hey Jude นั้น 'พอล แม็กคาร์ตนีย์' (กลายเป็นท่านเซอร์ไปแล้ว) หนึ่งในสมาชิกของวงได้แต่งขึ้นเพื่อให้กำลังใจเด็กน้อย 'จูเลียน เลนนอน' ลูกชายของ 'จอห์น เลนนอน' หลังจากที่เลนนอนประกาศหย่าร้างกับอดีตภรรยา 'ซินเธีย' เพื่อไปหา 'โยโกะ โอโนะ' 

    ลุงพอลจึงเกิดความสงสารหลานขึ้นมา ก็เลยเป็นที่มาของเพลงฮิตเพลงนี้ ตอนแรกกะจะตั้งชื่อเพลงว่า Hey Jules ซึ่งย่อมาจากชื่อของ Julian นั่นเอง แต่ก็ตัดสินใจใช้ชื่อ Hey Jude เพราะมันฟังดูมีความเป็นตะวันตกและเท่กว่า ! โดยในทีแรกทางจอห์น เลนนอน เข้าใจผิดมาตลอดว่า เพลงนี้พอลแต่งขึ้นเพื่อให้กำลังใจเขา (ไม่ใช่โว้ยยย) 
    _________________________________________________________________________________________________

    2. High Hopes - Kodaline


    วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟจากไอริชที่เป็นวงโปรดที่สุดวงหนึ่งของเรา ว่ากันว่าเป็นวงที่แสดงสดได้ยอดเยี่ยมและเพลงของวงนี้มีความอีโมชั่นนอลมากๆ เอาจริงเราว่า Kodaline เป็นวงที่ Underrated (คือเพลงดีมาก มาตรฐานเยี่ยม แต่ได้รับยกย่องต่ำกว่าความเป็นจริง) เริ่มรู้จักวงนี้จากเพลง Honest  หลังจากนั้นก็ฟังมาตลอด วงนี้ยังไม่เคยมาทัวร์คอนเสิร์ตในไทยเลย แต่อัลบั้มใหม่นี้มีลุ้นแน่ๆ ! เพลงชาติประจำวงคงหนีไม่พ้นเพลง High Hopes ในอัลบั้ม In a Perfect world ที่ถูกนำไปเป็นเพลงประกอบหนังเรื่อง Love Rosie (2014) เราว่าเป็นเพลงที่เพราะมากและก็เศร้าเว่อร์ๆ แม้เนื้อเพลงจะพูดถึงความหวังที่อยากให้คนรักเก่ากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า "But the world keeps spinning around" (โลกก็ยังคงหมุนต่อไป) 

    เพลงนี้ถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาที่ฟร้อนท์แมนประจำวงอย่าง Steve Garrigan กำลังอยู่ในช่วงที่ย่ำแย่สุดๆ เขาเพิ่งเลิกกับแฟน แถมยังต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยเพราะเรียนกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ไม่ไหว แต่ก็ไม่กล้าบอกครอบครัว ก็เลยเขียนเพลงนี้เพื่อระบายความอัดอั้น แต่ทว่าเนื้อหาเพลงนั้นกลับเต็มไปด้วยกำลังใจและความหวังให้ก้าวเดินต่อไป หลังจากแต่งเพลงเสร็จ คนแรกที่เขาเลือกที่จะร้องให้ฟังก็คือ คุณพ่อของตัวเอง หลังเล่นเพลงจบพ่อถามเขาว่า ลูกยังไปเรียนอยู่ไหม ? Steve เลยบอกพ่อไปตรงๆว่าเขาอยากจะไปตามหาความฝันในการเป็นนักดนตรี ในที่สุดเขาก็ฟันฝ่าจนได้ออกซิงเกิลเพลงจนได้ ลองดูวิดิโอ Live เวอร์ชั่นนี้จะเห็นว่า เป็นวงดนตรีที่มีอินเนอร์ศิลปินสูงมากๆ มือกีตาร์เล่นไปร้องไห้ไป นักร้องก็ร้องไห้ แฟนเพลงก็ร้องไห้ เออเอาเข้าไป อ่อนไหวกันเหลือเกิน (ซับน้ำตาแป๊ป) 

    รู้ไหมว่า 'โนล กัลลาเกอร์' อดีตมือกีตาร์วง Oasis ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องปากหมา (พูดกันตามตรง 55) ศิลปินหลายๆคนต้องเคยโดนป๋าแกเจิม (วิจารณ์) กันมาแล้วทั้งนั้น แต่ในปี 2013 ป๋าแกโผล่มาดูคอนเสิร์ตของวง Kodaline นะจ๊ะ ทางวงถึงกับตกอกตกใจ พระเจ้ามาดูคอนเสิร์ตกูเหรอนี่ ! Holy F*ck  
    _________________________________________________________________________________________________

    3. Wake Me Up When September Ends - Green Day


    เชื่อว่าทุกวันที่ 30 กันยายน จะต้องมีคนทั่วโลกจำนวนมากโพสต์เพลงนี้ แปลเป็นไทยง่ายๆว่า 'ปลุกฉันทีเมื่อเดือนกันยายนสิ้นสุดลง' เป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม American Idiot ใครฟังเพลงนี้ก็ต้องหลงรักแน่นอนเอาสิ หลายคนอาจคิดว่ามันคือเพลงที่พูดถึงช่วงเวลาที่เจ็บปวดเมื่อความรักสิ้นสุดลง ไม่อยากตื่นแม่งเลยตลอดเดือนนี้ ผ่านไปเร็วๆเหอะ แต่ความจริงแล้วเพลงนี้เขียนโดย 'บิลลี โจ อาร์มสตรอง' นักร้องนำของวงที่ต้องสูญเสียคุณพ่อไปในเดือนกันยายน ปี 1982 ตอนอายุ 10 ขวบ เขาวิ่งกลับมาที่บ้านและขังตัวเองร้องไห้อยู่ในห้อง แม่มาเคาะเรียกบิลลีก็ตะโกนบอกแม่ว่า "Wake me up when September ends." ซึ่งต่อมา 20 ปีหลังจากวันนั้น เขาได้นำมาเขียนเป็นเพลงโดยใช้ชื่อเดียวกัน พูดถึงความเศร้าที่ต้องสูญเสียพ่อ จนอยากจะนอนให้หลับนานมากที่สุดเท่าที่จะหลับได้ แม้ว่าความทรงจำจะค่อยๆเลือนลางไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยลืมว่าได้สูญเสียอะไรไป
     
    แน่นอนว่าในวันที่ 30 กันยายนของทุกๆปี จะมีแฟนเพลงทั่วโลกโพสต์ทวิตไปหาวง Green Day พร้อมกับข้อความทำนองว่า 'ตื่นสิ สิ้นสุดเดือนกันยายนแล้วนะ' และเพลงๆนี้ก็กลายเป็นเพลงชาติประจำเดือนกันยายนไปแล้ว นอกจากนี้ยังถูกใช้เป็นเพลงไว้อาลัยเหตุโศกนาฎกรรม 9/11 ด้วย (ทำนองเดียวกับเพลง Don't Look Back In Anger ของ Oasis ที่ถูกใช้เป็นเพลงไว้อาลัยเหตุการณ์ก่อการร้ายที่แมนเชสเตอร์)

    _________________________________________________________________________________________________

    4. Don't Go Away - Oasis


    Oasis ตำนานร็อกแอนด์โรลวงสุดท้ายของโลกยังไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหน เขาเพียงแค่รอวันรียูเนี่ยน (เลียมเหลือทนแล้วนั่น...) เพลงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงโปรดจากอัลบั้ม Be Here Now แน่นอนว่าแต่งโดย 'ป๋าโนล กัลลาเกอร์' (เจ้า Potato ของเลียม) แม้ว่าจะฟังเหมือนเป็นเพลงอ้อนวอนคนรักไม่ให้จากไปไหน แต่แรงบันดาลใจของเพลงนี้จริงๆแล้วเขียนขึ้นมาตอนที่ 'คุณแม่เป็กกี้ กัลลาเกอร์' ป่วยเข้าโรงพยาบาล เนื้อเพลงก็ประมาณว่า So don’t go away, say what you say, But say that you’ll stay forever and a day in the time of my life. (อยากจะพูดอะไรก็พูดไปเลย แต่ช่วยบอกกับผมก่อนว่าจะอยู่ ตลอดไปในช่วงชีวิตของผม) ซึ่งเป็นการบรรยายความรู้สึกที่ไม่อยากสูญเสียคุณแม่ไปนั่นเอง แต่ปัจจุบันนี้คุณแม่ก็ยังมีชีวิตอยู่นะ

    ท่อนที่เราคิดว่าโดนใจร็อกเกอร์จริงๆก็น่าจะเป็น Damn my education I can’t find the words to say about the things caught in my mind. (การศึกษาห่านี้ก็แม่งไม่ช่วยอะไรกูเลย ไม่สามารถหาคำไหนมาอธิบายสิ่งที่ติดค้างอยู่ภายในใจได้) ประมาณว่าบางทีคนเราก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายสิ่งที่รู้สึกยังไงเหมือนกัน เออแม่งการศึกษาไม่ช่วยอะไรว่ะ 
    _________________________________________________________________________________________________

    5. Tears In Heaven - Eric Clapton


    ใครฟังเพลงนี้แล้วไม่ซึมบ้างอ่ะ คือเราว่ามันเป็นเพลงที่เศร้ามากๆเลย อีโมชั่นนอลสุดๆ และก็เป็นอีกหนึ่งเพลงฮิตตลอดกาลของลุงเอริก แคลปตัน ด้วย แต่เบื้องหลังเพลงดังกลับมีเรื่องราวโศกนาฎกรรมเศร้าๆซ่อนอยู่ เพราะเพลงนี้ลุงแกแต่งให้ 'Conor' ลูกชายตัวน้อยวัย 4 ขวบที่เสียชีวิตไปในปี 1991 จากเหตุพลัดตกหน้าต่างอพาร์ทเมนท์ในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ลุงแกตั้งใจว่าจะทำหน้าที่พ่อที่ดี ดูแลลูกๆและครอบครัว หลังจากก่อนหน้านี้ระหองระแหงกับภรรยาและไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก แต่ช่วงเวลาดีๆก็อาจจากเราไปเร็วกว่าที่คาดคิด เอื้อมมือคว้าเท่าไหร่ก็ไม่ทัน ความเศร้าทวีคูณขึ้นอีกหลังจากที่ลูกชายเสียชีวิตไปแล้ว ลุงแกไปพบกระดาษโน๊ตที่ลูกชายเขียนไว้ประมาณว่ารักและคิดถึงพ่อมากๆ อยากให้พ่อมาหาบ่อยๆ 

    โศกนาฎกรรมในครั้งนั้นทำให้เอริกต้องเศร้าโศกอย่างมาก ร้องไห้ทุกวัน จนกระทั่งได้ถ่ายทอดความเศร้าออกมาเป็นบทเพลงที่ชื่อว่า Tears in Heaven เพื่อระลึกถึงลูกชายสุดน่ารักที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ... ลูกจะรู้ชื่อพ่อไหม ถ้าเราได้พบกันบนสวรรค์ ? อะไรๆจะเหมือนเดิมไหม ถ้าเราได้พบกันบนสวรรค์ ?

    Would you know my name 
    If I saw you in heaven ? 
    Would it be the same  
    If I saw you in heaven ?


    _________________________________________________________________________________________________

    6. Creep - Radiohead


    เพลงชาติประจำวง Radiohead ไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนก็ต้องเอาเพลงนี้มาร้อง แฟนเพลงก็กรี๊ดกร๊าดกันคอแทบพัง ยิ่งสมัยหนุ่มๆนี่ 'ทอม ยอร์ก' นักร้องนำก็มาดเซอร์โดนใจเด็กแนวมากๆ แถมยังมีความโปรในการร้องเพลงขึ้นเสียงสูงแหลมปรี๊ด ไปร้องเพลง Creep ที่ไหน แฟนเพลงเต็มสนามทุกที่  โดยเฉพาะผู้หญิงนี่กรี๊ดกันเป็นลม มันจะมีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งที่ร้องว่า You're so very special, I wish I was special. (เธอน่ะพิเศษมากๆเลย ผมก็อยากจะพิเศษแบบนั้นบ้าง) พอร้องท่อนนี้จบจะมีเสียงสาวๆตะโกนขึ้นมาจากด้านล่างเวทีว่า You are ! (คุณพิเศษนะ !) ไปลองหา Live เก่าๆดูได้เลย บางทีสังเกตว่าพี่ทอมแกก็มีแอบอมยิ้มเขินๆเหมือนกัน เพลงนี้ต้องการอธิบายอารมณ์ของคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ แต่ไปหลงรักหรือไปอยู่ท่ามกลางคนที่ดีพร้อมอะไรทำนองนั้น

    'คอลิน กรีนวูด' มือเบสประจำวงช่วยกันแต่งเพลง Creep ร่วมกับทอม ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย Exeter ในประเทศอังกฤษ และก็ยังไม่ฟอร์มวง Radiohead เลย โดยทอมได้แรงบันดาลใจมาจากหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งที่แกปลื้มและหลงใหลมาก ทอมมักจะเจอสาวคนนี้ที่บาร์ และแอบเดินตามเธอไป แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปคุยสักที สุดท้ายก็ต้องกลับมากินเหล้าย้อมใจก่อนจะหาโอกาสไปสารภาพรัก เรื่องจบลงด้วยการที่สาวคนนี้ตกใจและหนีหายไปเลย โดยเวอร์ชั่นแรกของเพลงนี้เป็นอะคูสติกใสๆ ซึ่งมือกีตาร์ 'จอห์นนี่ กรีนวูด' บอกว่าเพลงแม่งปวกเปียกว่ะ เลยตั้งใจจะทำลายเพลง (ให้เข้มยิ่งขึ้น) โดยการใส่ซาวด์กีตาร์โหดๆก่อนขึ้นท่อนฮุคอย่างที่ทุกคนได้ยิน 

    ความขลังของเพลงนี้ก็คือ ทอม ยอร์กเล่นเพลง Creep ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2009 ในคอนเสิร์ต Reading Festival และหลังจากนั้นวง Radiohead ไม่หยิบเพลงนี้มาร้องและเล่นอีกเลยเป็นเวลา 7 ปี ! แม้ว่าแฟนเพลงจะดิ้นพล่านๆอยากฟังมากแค่ไหนก็ตาม ทอมให้เหตุผลว่า "เลี่ยนและเอือมเพลงนี้ว่ะ"  แต่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2016 จู่ๆวงติสท์อย่าง Radiohead ก็เล่นเพลง Creep อีกครั้งใน Le Zenith ของกรุงปารีส แน่นอนว่าทำเอาแฟนเพลงแทบบ้า นี่ฝันไปหรืออย่างไร เหตุผลง่ายๆที่พี่ทอมแกหยิบเพลงนี้มาร้องอีกครั้งก็คือ รำคาญไอ้แฟนเพลงผู้ชายข้างหลังนั่นตะโกนขอเพลง Creep อยู่ได้ เลยอยากทำให้ทุกคนช็อคพร้อมๆกัน เล่นแม่งโชว์ซะเลย นับว่าเป็นบุญหูชาวฝรั่งเศสยิ่งนัก 555

    _________________________________________________________________________________________________

    7. Everglow - Coldplay


    Everglow เป็นเพลงใหม่ในอัลบั้ม A Head Full of Dreams ซึ่งเป็นอัลบั้มล่าสุดของ Coldplay วงร็อคจากอังกฤษ ประกอบด้วยผู้ชายไนซ์ๆ 4 คน เพลงของวงนี้ขึ้นชื่อเรื่องการใช้คำที่สวยงาม สัมผัสกันราวกับบทกลอน ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่มีความหมายดีมากๆเพลงหนึ่งเลย พูดถึงความงดงามของสิ่งที่ผู้คนทิ้งร่องรอยเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ ความรัก ความทรงจำ หรือแม้แต่ความดีที่ผู้คนได้ฝากไว้ในโลกนี้ในยามที่พวกเขาจากไปแล้ว เพลงๆนี้พี่คริส มาร์ติน เขาช่วยกันแต่งกับอดีตภรรยา 'กวินเน็ธ พัลโทรว์' ซึ่งแม้ทั้งคู่จะหย่ากันแล้ว แต่ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน คริสถึงกับบอกว่าเขาโชคดีมากๆที่ได้พบเจอความสัมพันธ์แบบนี้ เพราะคู่รักบางคู่เมื่อเลิกรากันไปแล้ว ก็ตัดขาดการติดต่อทุกช่องทางเลย  

    ตอนที่วง Coldplay มาเล่นคอนเสิร์ตใหญ่ที่สนามราชมังคลาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยก่อนร้องเพลงนี้พี่คริสแกบอกว่า ขออุทิศเพลง Everglow ให้ในหลวง ร.9 ของคนไทย ซึ่งคำว่า Everglow นั้นมีความหมายถึงแสงสว่างที่สุกใสตลอดกาล

    Oh they say people come, say people go
    This particular diamond was extra special
    And though you might be gone
    And the world may not know
    Still I see you celestial

    เขาว่ากันว่า ผู้คนเข้ามาในชีวิตเรา และก็จะไปจากชีวิตเรา
    เพชรเม็ดงามเม็ดนี้ ช่างพิเศษยิ่งกว่าเม็ดไหนๆ
    ถึงแม้คุณจะจากไป
    และโลกนี้อาจจะไม่รู้
    แต่ฉันยังคงเห็นคุณเป็นเสมือนดั่งดวงดาวบนสวรรค์นะ

    _________________________________________________________________________________________________

    8. Apologize - OneRepublic


    วงร็อคที่แฟนๆชาวไทยอยากชมพวกเขาแสดงสดมากที่สุดในนาทีนี้ เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงแรกๆ ที่ทำให้วง OneRepublic เป็นที่รู้จักในวงกว้าง  ส่วนแรงบันดาลใจก็มาจากชีวิตจริงของหนุ่ม 'ไรอัน เท็ดเดอร์' นักร้องนำนั่นเอง ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่า สาวๆที่เคยเดทหรือเป็นแฟนกับเขามักจะพูดเสมอว่า คุณน่ะเป็นผู้ชายที่ดีมากเลยนะ เอ๊ะ ! ดีเกินไปหรือพอเหมาะ ที่ว่าดีดีดีแล้วไงต่อ พูดอย่างนี้ทำไม เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องราวมันเศร้าง่ะ ไรอันมักจะโดนสาวๆเหล่านี้เทตลอด จนเขาคิดว่า  'Nice guys always finish last' ผู้ชายที่ดีจะกลายเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอสินะ โถพ่อคุณ !

    แต่จุดพีคมันอยู่ที่ตรงนี้ แฟนเก่าของเขาจะหายไปประมาณ 3-4 เดือน พอครบไตรมาสปุ๊บก็จะซมซานกลับมาหาไรอันเพื่อขอคืนดีทุกครั้งและเป็นอย่างนี้ทุกคน เรียกว่าถ้าเป็นหนังก็เดาตอนจบได้ทุกเรื่อง และสาเหตุนี้เองทำให้นักร้องหนุ่มของเราเอาปมในใจมาระบายเป็นบทเพลงเพราะๆ ที่แฟนๆรู้จักกันในชื่อ Apologize  แต่สุดท้ายแล้วไรอันเขาบอกนะว่า จะกลับมาทำไมล่ะเธอ เพราะ It's too late to apologize นะจ๊ะ มันสายเกินไปแล้วที่จะเอ่ยคำขอโทษ กลับมาแบบนี้มันทุเรศ (Too late)
    _________________________________________________________________________________________________

    9. I Don't Want to Miss a Thing - Aerosmith 


    ใครได้ดูหนังเรื่อง Armageddon (1998) คงจำเพลงประกอบเพราะๆเพลงนี้ได้ดี ร้องโดยวง Aerosmith น่าจะเป็นเพลงที่อมตะอีกเพลงหนึ่งและอยู่เหนือกาลเวลาแน่นอน ด้วยเนื้อร้องที่กินใจสุดๆ แต่รู้ไหมว่าเพลงนี้น่ะแต่งโดยผู้หญิงที่ไม่ถนัดในเรื่องของความสัมพันธ์เอาซะเลย ! เธอคนนั้นมีชื่อว่า 'Diane Warren' เป็นนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน แต่งเพลงให้ศิลปินดังๆมาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น บียอนเซ่ , วิตนีย์ ฮิวสตันตัน , เลดี้ กาก้า, เอริก แคลปตัน ฯลฯ โดยเธอได้แรงบันดาลในการแต่งเพลงนี้มาจากการที่ได้ฟังบทสัมภาษณ์ของนักแสดงชาย James Brolin ที่เล่าถึงความทรมานจากการที่ต้องสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไป ความโศกเศร้านี้มันทำให้เขาคิดถึงภรรยาแทบจะขาดใจ แม้ในยามที่นอนหลับก็ยังรู้สึกคิดถึง ซึ่งประโยคนี้มันกินใจเธอมาก และนำมันไปถ่ายทอดเป็นเพลง I Don't Want to Miss a Thing นั่นเอง 

    ผู้หญิงที่แต่งเพลงออกมาได้สุดโรแมนติกขนาดนี้ ใครๆก็ต้องคิดว่าเธอเอาประสบการณ์ชีวิตตัวเองมาเขียนแน่ๆ แต่โนค่ะ นางบอกว่าเป็นคนอินในเรื่องพวกนี้ได้จากการฟังเรื่องเล่าผ่านคนอื่น แล้วจินตนาการเอาว่ามันจะต้องรู้สึกยังไง เพราะชีวิตจริงๆของเธอนั้นประกาศแล้วว่าจะไม่แต่งงาน เพราะเธอไม่ถนัดกับเรื่องพวกนี้จริงๆ เออเอาเซ่ #เขียนเพลงรักโดยไม่ต้องมีความรัก ก็ได้เว้ย
    _________________________________________________________________________________________________

    10. Photograph - Ed Sheeran


    เพลงโคตรซึ้งที่ทำให้โลกต้องหันมาสนใจผู้ชายที่ชื่อ Ed Sheeran เพลงนี้เขียนร่วมกับ Johnny McDaid (มือกีตาร์วง Snow Patrol) สำหรับแรงบันดาลใจของเพลงนี้ Ed บอกว่านำประสบการณ์ด้านความรักของตัวเองมาเขียน ซึ่งจะพูดถึงความสัมพันธ์ระยะไกลของเขาและอดีตแฟนสาวที่ต้องห่างกันในเวลาที่ต้องออกทัวร์คอนเสิร์ต ส่วนเนื้อเพลงที่ขึ้นต้นร้องว่า Loving can hurt, loving can hurt sometimes พวกเขาดัดแปลงมาจากเสียงฮัมเพลงของพนักงานโรงแรมคนหนึ่งในรัฐมิสซูรี ซึ่งกำลังฮึมฮัมว่า "Loving can hurt, loving can hurt"  เออเข้าท่าดีแฮะ เอามาตบๆประโยคสักหน่อยดีกว่า

    ส่วนแฟนสาวของหนุ่ม Ed ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เพลงนี้มีชื่อว่า 'Nina Nesbitt' เป็นนักร้องชาวสก็อต ซึ่งเธอคนนี้แหละที่เป็นสาวที่พกรูปของเขาไว้ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ ก็เลยเป็นที่มาของเนื้อเพลงท่อนที่ว่า So you can keep me inside the pocket of your ripped jeans เป๊ะๆเลย 

    _________________________________________________________________________________________________

    พอรู้ที่มาที่ไปของเพลงบางเพลง มันทำให้เรารู้สึกว่าเพลงนั้นมีความไพเพราะขึ้นมากกว่าเดิม เพราะมันถูกเขียนขึ้นมาจากประสบการณ์ตรงของศิลปิน ถ่ายทอดอารมณ์เพลงไปยังผู้ฟัง เพื่อให้พวกเขาเชื่อมโยงทำนองและเนื้อหาเพลงให้เข้ากับความรู้สึกของตัวเอง  


    ไม่รู้สิ...เราว่านี่คงเป็นความสัมพันธ์สุดพิเศษระหว่างศิลปินและคนฟังมั้ง 
    แต่ที่แน่ๆ เพลงที่มันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้
    มันสามารถ steal your soul ไปได้แบบเต็มๆเลยล่ะ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Paradorn Vesurai (@fb2329888913696)
Coldplay เป็นวงอัลเทอเนทีฟ ร็อคเหรอครับ
ไม่ใช่ม้างงง 5555
Tatiya Kaewchan (@artiaomz)
@fb2329888913696 แง้ตอนนี้ไม่อัลเทอร์ฯ แล้ว แก้ไขแล้ว ขอบคุณค่ะ