เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryMarmax Sa-ngakong
CARABAO VELODROME RETURNS CONCERT (REVIEW )
  • บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 2737110 Music Appreciation 

    คาราบาว เวโลโดรม รีเทิร์น ( CARABAO VELODROME RETURNS CONCERT )
    หนึ่งในคอนเสิร์ตมหกรรมดนตรี 30 ปี คาราบาว ณ อาคารเวโลโดรม สนามกีฬาหัวหมาก 19 มีนาคม 2554 หรือเมื่อ 10 ปีมาแล้วนั่นเอง ทำไมถึงมารีวิวคอนเสิร์ตที่ผ่านมานานขนาดนี้?

    ต้องบอกก่อนเลยว่าโดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบฟังดนตรีแนว Folk song แต่ผูกพันกับดนตรีเพื่อชีวิตมาตั้งแต่เด็ก พอมาเจอคอนเสิร์ตของคาราบาวครั้งนี้ในช่วงเมดเล่ย์ ดนตรีมีการผสมผสานกับดนตรีไทยได้อย่างลงตัว จังหวะเร้าใจ รวมถึงยังมีความ Flock song จึงทำให้สนใจที่หยิบขึ้นมารีวิว มาเล่าสู่กันฟัง


    นับว่าห่างหายไปนานกับวงดนตรีระดับตำนานอย่างคาราบาว ที่ได้ขึ้นกระหน่ำความมันส์อีกครั้งในปี 2554 ในมหกรรมดนตรี 30 ปี คาราบาว เป็นมหกรรมคอนเสิร์ตเพื่อฉลองครบรอบ 30 ปี คาราบาว โดยทัวร์จัดแสดงตามที่ต่าง ๆ ตลอดทั้งปี 2554 ในที่นี้ขอยกการแสดงคอนเสิร์ตแรกของมหกรรมนั่นก็คือ คาราบาว เวโลโดรม รีเทิร์น(CARABAO VELODROME RETURNS) ที่จัดขึ้น ณ อาคารเวโลโดรม สนามกีฬาหัวหมาก เมื่อวันที่ 19 มีนาคม2554 ซึ่งคอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไม่มีการการบัตร เพียงแค่ร่วมกิจกรรมจากผู้สนับสนุนเท่านั้น เกิดการเรียกร้องการขายบัตรจากแฟนเพลง จึงทำให้ต้องเปิดแสดงอีกรอบในวันที่ 20 มีนาคม 2554 คอนเสิร์ต คาราบาว เวโลโดรมรีเทิร์น (CARABAO VELODROME RETURNS CONCERTS) นับว่าเป็นคอนเสริร์ตที่ประสบความสำเร็จ เสมือนการแก้ตัวในคอนเสริร์ต ณ สถานที่เดียวกัน เนื่องจากมีเหตุอัฒจรรย์ล่มจึงทำให้แสดงไม่จบต้องยกเลิกกลางคัน


    มารู้จักกับวงคาราบาวกันสักนิด วงคาราบาวก่อตั้งโดยนักเรียนไทยที่ศึกษอยู่ประเทศฟิลิปปินส์ 3 คน โดย แอ๊ด - ยืนยง โอภากุล, เขียว - กิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร และไข่ - สานิตย์ ลิ่มศิลา ในปี 2523 โดยใช้ชื่อ “คาราบาว” ที่เป็นภาษาพื้นเมืองฟิลิปปินส์ เป็นชื่อวงเพื่อใช้ในการประกวดดนตรี ขึ้นแสดงเวทีมหาลัย เล่นดนตรีแนวโฟล์คในเนื้อหาเพื่อชีวิต สะท้อนสภาพปัญหาและความเป็นจริงของสังคม


    เมื่อกลับมาประเทศไทย แอ๊ด - ยืนยง โอภากุล, และ เขียว - กิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร ร่วมกันเล่นดนตรีในตอนกลางคืน ส่วนไข่ได้ลาออกจากวงไปอยู่ภาคใต้ ทั้งคู่ได้ออกอัลบั้มชุดแรก “ขี้เมา” ทำให้คาราบาวเริ่มเป็นที่รู้จักบ้างต่อมาคาราบาวได้ทำอัลบั้มขึ้นมาเรื่อย ๆ จนอัลบั้มที่ 3 “วนิภพ” ซึ่งได้หมู - พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เล่นเครื่องเคาะบทเพลงในอัลบั้มนี้มีเนื้อหาที่แปลกแยก และดนตรีที่เป็นท่วงทำนองแบบไทย ๆ ผสมกับเครื่องดนตรีตะวันตก มีจังหวะสนุกสนาน คึกคัก ชวนเต้นรำ ทำให้วงคาราบาวประสบความสำเร็จและมีแฟนเพลงจำนวนมากจนกระทั่งปัจจุบัน 


    สมาชิกของวงคาราบาว มีการปรับเปลี่ยนเข้า-ออกบ้าง จนลงตัวที่ 7 คน ยุคนั้นเรียกกันว่า “คาราบาวคลาสสิค” ได้แก่

    1. แอ๊ด - ยืนยง โอภากุล : หัวหน้าวง, ร้องนำ, กีต้าร์, แต่งคำร้องและทำนอง

    2. เล็ก - ปรีชา ชนะภัย : กีต้าร์, ร้องนำ, แต่งคำร้องและทำนอง

    3. รี่ - เทียรี่ เมฆวัฒนา : กีต้าร์, ร้องนำ, ร้องประสาน, แต่งทำนอง

    4. เขียว - กิตติ พรหมสาขา ณ สกลนคร : กีต้าร์, เบส, ร้องนำบางส่วน, ร้องประสาน, คีย์บอร์ด, ควบคุมการผลิต, เพอคัสชั่น

    5. อ๊อด - อนุพงษ์ ประถมปัทมะ : เบส, ร้องนำบางส่วน

    6. เล็ก - อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี : คีย์บอร์ด, ขลุ่ย, ฟลุต, แซกโซโฟน, ประสานเสียง, ร้องนำบางส่วน

    7. เป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ : กลอง, เพอคัสชั่น



    คอนเสิร์ต คาราบาว เวโลโดรม รีเทิร์น (CARABAO VELODROME RETURNS CONCERT) ในที่นี้ขอกล่าวถึงช่วงเมดเล่ย์ของคอนเสิร์ต ที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าเป็นจุดที่ทำให้สนใจในคอนเสิร์ตนี้ ซึ่งช่วงนี้ใช้เวลาประมาณเกือบ30 นาที มันส์ยาว ๆ 17 เพลงกันเลยทีเดียว





    ในมุมมองของผู้เขียน ต้องบอกเลยว่าสนุกมาก ๆ   ด้วยทำนองดนตรีที่ฟังและใช้ภาษาที่สามารถเข้าใจได้ง่าย เป็นเพลงที่ฟังเท่าไหร่ก้ไม่รู้สึกเบื่อ อาจจะดูเหมือนเกินไป แต่สามารถพูดได้ว่าดนตรีช่วยเยียวยาความรู้สึกได้จริง ๆ ในคอนเสิร์ตคาราบาว เวโลโดรม รีเทิร์น ช่วงเมดเล่ย์นี้ ด้วยการผสมผสานของดนตรีไทยและดนตรีสากล โดยเฉพาะช่วงการเปิดตัวเข้าเมดเล่ย์ การโดดของเสียงดนตรีไทยและสากล ทั้งซอ ขลุ่ย อังกะลุง แซกโซโฟน การปรับเสียงคีย์บอร์ดที่ทำให้เหมือนดนตรีไทย เรามองว่าการที่นำดนตรีไทยมาผสมกับดนตรีสากล นอกจากจะใส่เอกลักษณ์ความเป็นชาติไทยเข้าไปแล้ว ยังสามารถพัฒนาสู่สากลโลกให้รู้จักกับประเทศไทยได้มากขึ้น ดนตรีไทยไม่จำเป็นต้องเชยและโบราณเสมอไป มันมีเสน่ห์ของมันหากรู้จักปรับให้เข้ากับยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ยังสามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่ได้หันมาสนใจดนตรีไทยได้มากขึ้น


    สุดท้ายนี้อยากบอกทุกคนว่าคนเราต้องก้าวต่อไปข้างหน้า แต่อย่าลืมความเป็นเอกลักษณ์และความเป็นตัวของตัวเองรู้จักปรับตัวอย่าให้เค้าดูถูกความเป็นไทยของเรา

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in