เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รีวิวชีวิตฉันนี่แหละhbrxnct
รีวิวไปมีตศิลปินไทยที่เวียดนาม - Day 1
  • ไม่ได้เขียนรีวิวไปเที่ยวมาหลายปี กลับมาอีกทีก็เป็นทริปติ่งอีกแล้วจ่ะ 555555555 จริง ๆ ก่อนหน้านี้ก็มีทริปที่ไปเที่ยวเชียงใหม่กับพัทยา แต่ไม่มีเวลาว่างมาเขียนเลย ดองไว้นานจนแค่จะไถหารูปก็รู้สึกเหนื่อยแล้วอะ เมื่อยนิ้ว

    ละเอาจริงตอนนี้ก็ไม่ได้ถือว่าว่างนะ แต่คิดว่าอยากมาเขียนเป็นบันทึกเอาไว้สักหน่อย อย่างที่เคยบอก เราไม่ใช่คนที่ถ่ายรูปเก่ง เวลาไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่ค่อยจะมีรูปกลับมาเท่าไหร่ แล้วเราก็ไม่ใช่คนที่จำเก่งด้วย ที่พอจะถนัดก็เขียนเนี่ยแหละ เลยขอลัดคิวมาเขียนทริปนี้เก็บไว้ก่อนที่จะลืมรายละเอียดหลาย ๆ อย่างไป

    เรื่องมันเริ่มจากเราตามติ่งศิลปินไทยคู่นึงมาได้สองสามปีละ พูดชื่อเลยแล้วกัน คุณปอนด์กับน้องภูวินทร์(เมนเรา) เพราะในรีวิวนี้น่าจะเมนชันถึงชื่อบ่อย

    (คนซ้ายคุณปอนด์ คนขวาน้องภูวินทร์)

    แต่ช่วงปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้แอคทีฟเรื่องการติ่งเท่าไหร่ เพราะเรางานเดือดสุด ๆ คือก็มีเข้ามาเช็คข่าวซีรี่ส์ของน้องเป็นระยะ ๆ กับมีไปงานมีตวันเกิดน้อง แค่นั้น แล้วพอดีว่าปีนี้ก็มีโอกาสได้ไปงานมีต Final EP. ซีรี่ส์เรื่องล่าสุดของทั้งคู่

    นี่แหละ จุดเริ่มต้นการคัมแบควงการติ่งแบบบ้าคลั่งของเรา

    หลังจากงานมีต Final EP. จบไปก็มีประกาศงานมีตของน้องที่เมืองโฮจิมินห์ เวียดนาม ตอนแรกเราก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปหรอก แต่ก็สมัครแอคเค้าท์เว็บขายบัตรไว้ กะว่าจะลองเข้ามากดดู ถ้าได้ก็ไป ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร และแน่นอน ไม่ได้จ่ะ 5555555555

    แต่สุดท้ายก็ไปได้บัตรมาจากคนที่ประกาศขายต่อในแท็กทวิตเตอร์ (อีกแล้ว! นังทวิตเตอร์ตัวดี! รอบก่อนที่ไปคอน NCT127 ที่ญี่ปุ่นนั่นก็ได้บัตรมาจากแท็กในทวิตเตอร์เหมือนกัน)

    เราจ่ายค่าบัตรตอนเย็น แล้วคืนนั้นก็ได้ทริปเลย คือจองตั๋วเครื่องบิน ที่พักอะไรเสร็จสรรพในค่ำวันนั้น ความไวเป็นของปีศาจที่แท้

    แต่ทริปนี้เราไม่ได้ฉายเดี่ยวเหมือนทริป NCT127 นะ พอดีร้านที่ขายบัตรให้เราเขามีบัตรสองใบ แล้วอีกใบก็ปล่อยให้พี่อีกคน เราก็เลยได้คุยกับพี่คนนั้น ประกอบกับเราลองเสิร์ชทวิตหาดูว่ามีคนไทยคนอื่นไปงานมีตนี้อีกบ้างมั้ย แล้วก็เจอกับเพื่อนอีก 2 คน เลยคุย ๆ ว่าจะมาหารค่าห้องกัน แล้วเราก็เจอเพื่อนเพิ่มอีก 1 คน สิริรวมแล้วเป็น 5 คน(รวมเรา) แต่ไม่ได้พักด้วยกันทั้งหมดนี้นะ คนที่หารค่าห้องกับเรามีแค่ 2 คนเท่านั้น

    เกริ่นมายาวมากละ เรามาเริ่มทริปกันเลยดีกว่า รอบนี้เราจองตั๋วเครื่องบินไป 4 วัน 3 คืน 6-9 เมษายน คืองานมีตจัดวันที่ 8 ที่เป็นวันเสาร์ แต่เราบินไปตั้งแต่วันพฤหัสเช้า แล้วกลับวันอาทิตย์บ่าย และจุดเริ่มต้นของความ(เกือบ)หายนะก็เริ่มขึ้น

    เพราะตอนจะออกจากห้องเราเกือบลืมพาสปอร์ต! ดีที่นึกขึ้นได้ก่อนขึ้นแท็กซี่แล้ววิ่งกลับมาเอาทัน ไม่งั้นถ้าไปรู้ตัวเอาที่สนามบินก็คือตกเครื่องแน่จ่ะ เพราะเราออกจากห้องแบบโคตรคาบเส้น แบบไม่เผื่อเวลาใด ๆ แบบที่เครื่องขึ้นตอน 07.30 แล้วเราออกจากห้อง 06.10 อะไรประมาณนั้น ด้วยความเคยชินว่าเช็คอินออนไลน์ ไม่ได้โหลดกระเป๋า ไปถึงสนามบินก็สแกนกระเป๋าแล้วเข้าเกทเลย

    แต่คือ เราลืมว่าถ้าบินไปต่างประเทศมันมีตรวจพาสปอร์ตด้วยไง แล้ววันนั้นคือแถวยาวมากกก ยาวแบบสุดดด เรานี่ซีดเลย เพราะตอนนั้นคือ 06.45 แล้วแต่เรายังไม่ได้ตรวจพาสปอร์ต ยังไม่ได้แสกนกระเป๋าอะ แต่สุดท้ายก็ทัน แล้วโชคดีมากที่มีพี่บินไฟลท์เดียวกันกับเรา(ก็พี่คนที่ซื้อบัตรจากร้านเดียวกับเรานั่นแหละ คือไปพร้อมกันแต่ไม่ได้พักด้วยกันนะ เราจะเรียกพี่คนนี้ว่าพี่ N1) แล้วพี่เขาซื้อน้ำกับครัวซองต์ไว้ให้เพราะเราต้องกินยาหลังอาหารตอนเช้า เราก็คือรีบยัดหน้าเกทนั่นแหละเพราะคนอื่น ๆ เขาขึ้นเครื่องกันไปหมดแล้ว

    เราถึงเวียดนามช่วงสาย ๆ จำเวลาแน่นอนไม่ได้แต่ประมาณ 9-10 โมง คือไฟลท์มันประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่กว่าจะเดิน กว่าจะตรวจพาสปอร์ตอะไรเสร็จสรรพมันก็ประมาณ 2-3 ชั่วโมงอะ เราก็กดแกร้บไปที่พักของเราก่อน แล้วมันยังไม่ถึงเวลาที่เขาให้เช็คอิน เรากับพี่ N1 เลยขอฝากกระเป๋าเอาไว้แล้วตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวกันก่อนแล้วค่อยกลับมาเช็คอินตอนเย็น ๆ ซึ่งเมืองโฮจิมินห์มันจะมี City Bus Tour อยู่ ฟีลนั่งรถบัสชมเมืองอะ เรากับพี่ N1 ก็ไปถามข้อมูลจาก Tourist Information เขาก็บอกว่าต้องไปซื้อตั๋วที่หน้า Opera House เราขอแผ่นพับที่เป็นแผนที่จากเขามาดูก็เอ๊อ ไม่ได้ไกลเท่าไหร่นะ พอจะเดินได้อยู่ ก็เลยติดสินใจว่าจะเดินไปกัน

    (แผนที่ในแผ่นพับคือรูปนี้เลย Tourist Information ที่เราอยู่คือจุดที่ 7 แล้ว Opera House คือจุดที่ 1)

    ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ จะว่าไงดี มันก็ไม่ได้พลาดหรอก แต่มันเหนื่อยมากกก เหนื่อยแบบสุดดด

    คือต้องบอกก่อนว่าก่อนที่เราจะมา เราก็เสิร์ชกูเกิ้ลเช็คสภาพอากาศของเมืองโฮจิมินห์ดูแล้วนะว่าเป็นยังไง ในกูเกิ้ลมันบอก 25-26 องศา เราเห็นอย่างนั้นก็เชื่อสนิทใจ คือก็ลืมไปอะว่าเมืองมันก็อยู่ในเส้นศูนย์สูตรระนาบเดียวกับไทย อุณหภูมิมันจะหนีไปไหนกันพ้น และใช่จ่ะ เมืองโฮจิมินห์ร้อนมากกก ฟีลไลค์ 40 องศา เดินกันหน้าแทบมืดดด

    แต่ข้อดีของเมืองโฮจิมินห์คือเมืองสวยมากกก พับลิคสเปซเยอะมาก ทางเดินเท้าค่อนข้างกว้าง ไม่มีสายไฟ(คือเขาก็เอาลงดินลงอะไรไปหมดละไง) และที่สำคัญคือมีต้นไม้ตลอดทางเดิน แล้วบ้านเมืองเขา(โซนที่เราพัก)มันก็มีพวกร้านขายของ ร้านอาหารที่เป็นสแตนด์อโลนเยอะมาก และการตกแต่งของเขาทั้งภายในภายนอกคือสวยมาก ๆ อะ เรากับพี่เลยใช้วิธีเดินไปแวะดูของตามร้านค้าไป เนียนตากแอร์เขาบ้าง อุดหนุนเขาบ้างตามเรื่องราว ใด ๆ คือเป็นเมืองที่อากาศร้อนนะ แต่เดินสนุก เพลินสุด ๆ

    เรากับพี่คือเดินกันมานานมาก ๆ แล้วก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกัน ระหว่างทางก็เลยตัดสินใจแวะเข้าร้านอาหารร้านหนึ่ง

    และร้านนั้นก็คือร้านไก่ทอดเกาหลีจ่ะ

    ช่ายยย มื้อแรกที่เวียดนามของเราคือไก่ทอดเกาหลี

    (ไก่ทอดที่ว่า)

    ส่วนตัวรู้สึกว่าซอสที่เราเลือกมาไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ คือมันหวานไปอะ ฟีลคาราเมลผสมซีอิ๊วขาวนิดหน่อย ละมันมีกลิ่นแปลก ๆ ที่อธิบายไม่ถูก แต่เราไม่ค่อยถูกใจ ส่วนราคาคือแพงกว่าไก่ทอดเกาหลีแฟรนไชส์เจ้าดังในไทยนะ แต่คิดว่าร้านนี้น่าจะเป็นร้านดังพอสมควรแหละ เพราะมีเดลิเวอรี่มารับออเดอร์เรื่อย ๆ แล้วพอช่วงเที่ยงก็คือลูกค้ามากันเต็มร้านเลย

    พอนั่งพักนั่งกินอาหารเพิ่มพลังกันเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลากลับไปเผชิญนรกกันต่อ

    เพราะระยะทางมันไม่ได้ใกล้อย่างที่คิดไว้เลย ตอนกลับมาแล้วเสิร์ชกูเกิ้ลดูมันประมาณ 1.5 กิโลเมตรได้อะ ละเรากับพี่เดินในสภาพอากาศที่ 40 กว่าองศา เรานี่ซับเหงื่อแล้วซับเหงื่ออีก ร้อนมาก อยากระเหิด คือตอนแรกเราเข้าใจว่าเดินแปป ๆ 5 นาที 10 นาทีก็ถึง เลยไม่เรียกแกร้บ แต่เอาเข้าจริงคือมันก็เกือบชั่วโมงอยู่นะที่เดินกันไปอะ

    และในที่สุดเรากับพี่ก็ลากสังขารกันจนมาถึง Opera House จนได้ ก็พากันไปคุยกับพนักงานที่ตู้ขายตั๋ว นี่ก็สื่อสารแบบงู ๆ ปลา ๆ ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยแข็งแรง แต่สุดท้ายก็ได้ตั๋วแบบ Hop on-off pass มา

    คือไอ่ตั๋ว City Bus Tour เนี่ยมันก็มีหลายแบบอะ แบบที่นั่งชมอย่างเดียว หรือแบบที่สามารถแวะลงไปยังจุดต่าง ๆ ได้ ซึ่งไอ้ตั๋ว Hop on-off pass ที่เรากับพี่ได้มาเป็นตั๋วแบบหลัง แต่คือเรากับพี่มาซื้อกันก็ช่วงบ่ายแล้ว เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าตั๋วมันมีระยะเวลาประมาณชั่วโมงกว่า (มั้งนะ เราจำไม่ค่อยได้ละ) คือถ้าเลยเวลานั้นไปมันจะไม่มีบัสแล้ว เราก็ต้องมาแพลนกันว่าจะแวะที่ไหนบ้าง เพราะเวลามันจำกัด เลยแวะได้จำกัดไปด้วย เพราะงั้นถ้าใครจะไปนั่ง City Bus Tour เราแนะนำให้ไปตั้งแต่เช้าเลยจะคุ้มกว่า

    (Opera House)

    เรากับพี่ก็นั่งบัสชมเมือง ละคืออากาศมันร้อนอะ ขนาดรถบัสมีแอร์นะ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเย็นอะไรขนาดนั้น และช่าย เราหลับ 555555555 แบบเผลอหลับไปแวบนึง พอสติกลับมาก็ถึง Notre Dame Cathedral of Saigon คือมันเป็นโบสถ์ที่ดังของที่นี่อะ เรากับพี่ก็เลยตัดสินใจแวะที่จุดนี้ และช่าย มันปิดปรับปรุงอยู่จ่ะ โอ่ยยย ความดวงอะเนอะ เรากับพี่ก็เลยถ่ายรูปกันนิด ๆ หน่อย ๆ แถวหน้าโบสถ์ แล้วก็แว้บเข้าร้านกาแฟแถวนั้นเพื่อตากแอร์และใช้ไวไฟระหว่างรอบัสคันต่อไป

    (โบสถ์ที่ปิดซ่อม)

    คือต้องบอกก่อนว่าที่เวียดนามเนี่ย คาเฟ่เยอะมากกก คือเดินไปสองสามก้าวเจออีกละ ที่สำคัญคือมีไวไฟฟรีทุกร้าน เพราะงั้นถ้ารู้สึกร้อน เหนื่อย อยากนั่งพักนั่งเล่นมือถือ เราแนะนำให้แวะคาเฟ่นี่แหละ เครื่องดื่มอร่อยไม่ไก่กาเลย กาแฟดีมากกก ส่วนตัวเรารู้สึกว่าคาเฟ่ที่นี่สามารถคาดหวังกับเครื่องดื่มและของหวานได้มากกว่าคาเฟ่ที่ไทยอะ

    เสร็จจากนั่ง City Bus Tour เรากับพี่ก็เดินกลับที่พัก ใช่จ่ะ เดินกลับ เพราะตอนเย็นมันไม่ได้ร้อนเท่าเมื่อตอนกลางวัน ก็เลยพอเดินไหว ช่วงเย็น ๆ ค่ำ ๆ เราจะเห็นคนเวียดนามออกมาใช้ชีวิตตามพับลิคสเปซกันเยอะมาก คือด้วยความที่มันมีสวนสาธารณะเกือบทั้งเมือง จุดไหนที่ไม่มีเขาก็มากั้นพื้นที่ตรงถนนให้คนมาใช้ คนก็พากันมาเดินเล่น นั่งคุย ล้อมวงเต้น ล้อมวงร้องเพลง เล่นสเกต ฯลฯ ทำสารพัดกิจกรรมที่คนจะออกมาทำกันอะ ซึ่งเราเห็นแล้วรู้สึกชอบมากนะ มันทำให้เมืองนี้ดูเป็นเมืองที่คึกคักและมีชีวิตชีวามาก ๆ อะ

    เรากับพี่ตัดสินใจว่าจะแยกย้ายกันไปเช็คอินที่พัก แล้วพอค่ำ ๆ ค่อยไปหามื้อค่ำกินกันที่ The Cafe Apartments ที่เป็นตึกที่มีคาเฟ่ทั้งตึก ซึ่งพี่เราเดินกลับมาที่พักกับเราเพื่อเอากระเป๋าแล้วโบกแท็กซี่ไปโรงแรมตัวเอง

    และพี่เราก็โดนแท็กซี่เวียดนามโกงจ่ะะะ คือเราฟังแล้วยังโมโหแทน แบบแท็กซี่มันพาพี่เรานั่งอ้อม จนมิเตอร์เด้งเป็นสองเท่าจากที่กดแกร้บอะ แย่มาก ๆ เพราะงั้นถ้าใครไปเวียดนาม เราแนะนำให้กดแกร้บเอาดีที่สุด คือมันอาจจะแพงกว่าหน่อยแต่ก็ดีกว่าต้องไปเสี่ยงดวงอะว่าจะเจอคนโกงให้เรารู้สึกเฟลมั้ย

    หลังจากที่เราเช็คอิน ขนของเข้าห้อง นั่ง ๆ นอน ๆ ตากแอร์ เพื่อนอีกคนที่มาถึงเวียดนามแล้ว(คือบินมาวันเดียวกันแต่ไม่ได้พักด้วยกัน เราจะเรียกเพื่อนคนนี้ว่า H)ก็ทัก DM ในทวิตมาหา เราก็เลยชวนมาเจอกันที่ The Cafe Apartments

    พอพี่ N1 นั่งแกร้บมาหาเราที่ที่พัก เรากับพี่ N1 ก็นั่งแกร้บไป The Cafe Apartments ต่อเลย ซึ่งหน้า The Cafe Apartments มันจะเป็นลานกว้าง ๆ แล้วก็มีคนออกมาทำกิจกรรมกันเยอะมากกก คึกคักสุด ๆ

    (The Cafe Apartments)

    ระหว่างรอ H มา เรากับพี่แวะร้านสกินแคร์กันไป 1 กรุบ เพราะเราอยากได้โลชันทาตัว แต่คือมันไม่มีโลชันขวดเล็ก ๆ เลย มันมีแต่แบบขวดปั๊มอะ ซึ่งซื้อไปเราก็ไม่มีทางใช้หมดใน 4 วันอยู่แล้ว ละจะขนกลับไทยก็ไม่ได้ด้วยเพราะมันเกิน 100ml แล้วเราไม่ได้โหลดกระเป๋ามาอะ เราก็เลยซื้อชีทมาส์กมาทาตัวแทน

    (ชีทมาสก์ที่ได้มา อันนี้ถ่ายจากที่ซื้อกลับไทย)

    และเราก็พบว่าอิชีทมาส์กแผ่นละ 15-20 บาท(ตีเป็นเงินไทยแล้ว)ยี่ห้อนี้คือเริสมากกก แบบมันซึมไวและทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งอะ ใช้กับหน้าเป็นไงไม่รู้นะ ยังไม่ได้ลอง แต่ถ้าใช้กับตัวบอกเลยว่าสุดปังงง

    หลังจากที่ H มาถึง เราก็ขึ้นตึก The Cafe Apartments กัน คือตึกเนี้ยมันมีประมาณ 9 ชั้น ซึ่งถ้าเดินขึ้นบันไดก็คือขิตจ่ะ เราก็เลยต้องจ่ายเงินเพื่อขึ้นลิฟต์กัน ค่าลิฟต์ก็ประมาณ 5-10 บาท(ตีเป็นเงินไทยแล้ว) ด้วยความที่ H เคยมาที่นี่แล้ว H เลยแนะนำคาเฟ่ร้าน Good Day ที่อยู่ชั้น 8

    เรากับพี่ N1 ก็ไปด้วยความคาดหวังว่าจะได้กินข้าว แต่คาเฟ่มันมีแค่เครื่องดื่มกับไอติมอะ อาหารหมด เรากับพี่ N1 เลยสั่งเครื่องดื่มมาพอกรุบกริบ ก็นั่งเม้ามอยจุ๊กจิ๊กกันพักหนึ่งก่อนจะแยกย้าย เรากับพี่ N1ก็ตั้งใจว่าจะไปหามื้อค่ำกินกัน เพราะจำได้ว่าตอนที่นั่ง City Bus Tour ผ่านโซนนี้มาเมื่อตอนกลางวันมันมีร้านอาหารร้านหนึ่งอยู่แถว ๆ ริมแม่น้ำ เราก็เลยตัดสินใจเดินไปที่นั่น

    (น้ำที่เราสั่งมา แต่จำไม่ได้แล้วว่าเป็นอะไร)

    แล้วเหมือนว่าที่ริมแม่น้ำเองก็จะจัดนิทรรศการหรืออะไรสักอย่าง คือเขาจัดไฟที่พื้นเป็นดอกไม้อะ ตอนกลางคืนเปิดไฟแล้วสวยมากกก เดินเพลินมากกก

    (นิทรรศการที่ว่า แต่ดูด้วยตาสวยกว่าในรูปเยอะมาก ๆ)

    แต่คือร้านอาหารปิดจ่ะ กรี๊ดดด คือเราไม่มั่นใจว่ามันปิดหรือว่ามันต้องจองคิวแล้วเขาไม่รับคิวแล้ว แต่ที่แน่ ๆ คือเราไม่ได้กินร้านนั้น แล้วสภาพเราคือหิวโซไม่ไหวอะ เหนื่อยมากยมมากแล้ว เรากับพี่ก็เลยตัดสินใจกดแกร้บกลับไปหาอะไรกินแถวที่พักเรา เพราะโซนที่เราอยู่เป็นโซนนักท่องเที่ยว ฟีล ๆ ข้าวสารบ้านเราอะ มีโฮสเทสและร้านเหล้าที่เปิดดึก ๆ กระจุกอยู่รวมกัน ละชาวต่างชาติก็เยอะมาก

    และถ้าคุณคิดว่าลงจากแกร้บแล้วเราจะได้กินข้าวกัน คุณคิดดด...ผิดจ้าาา!

    เพราะไอ่ตรงข้ามที่พักเรามันเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่มาก ๆ แล้วเหมือนเขาจัดงานอะไรสักอย่างอยู่ เรากับพี่ก็เข้าใจว่าคงเป็นประมาณงานกาชาดบ้านเราที่จะมีร้านอาหารร้านของกินไรงี้มาเปิดซุ้มขาย แต่พอเดินเข้าไปแล้วมันไม่ใช่อะ คือเราจำไม่ค่อยได้ว่ามันเป็นงานที่มาเพื่อจัดแสดงล้วน ๆ แล้วไม่มีร้านอาหารเลย หรือว่ามันพอจะมีร้านอาหารอยู่แต่ปิดไปหมดแล้วกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ คือเราเดินกันจนครบรอบละก็ยังไม่ได้กินข้าวอะ

    (งานที่ว่า คือถ้ามองไกล ๆ พวกซุ้มที่เขาจัดมันเหมือนซุ้มของกินเลย
    แต่มันไม่ใช้ซุ้มของกินนน ฮือออ)

    สุดท้ายข้ามถนนกลับมาฝั่งที่พักเราแล้วไปเจอร้านเฝอร้านนึง ฟีลร้านโลคอลอะ แต่มีแอร์นะ ละก็มีคนนั่งกินอยู่ด้านในโต๊ะนึง เรากับพี่ก็เลยตัดสินใจเดินเข้าร้านนี้แหละ เพราะหิวไม่ไหวแล้ว ไม่มีแรงจะก้าวเดินอีกต่อไปแล้ว

    ซึ่งเราก็ไม่รู้นะว่าเพราะเราหิวหรือเปล่า พอได้กินเฝอร้านนี้เข้าไปเลยรู้ึกว่ามันอร่อยมากกก แบบสุดดด ให้ 10/10 เลย

    (ของเราเป็นเฝอเนื้อ อร่อยยย เนื้อไม่เหนียวเลย)

    และสิ่งที่อร่อยกว่าเฝอก็คืออิน้ำมันพริกนี่!

    (น้ำมันพริกที่อร่อยค่สสส อร่อยมาก อร่อยจนงง อร่อยสุสที่กินมาในทริปนี้ละ)

    แบบมันเค็ม ๆ เผ็ด ๆ หอม ๆ อร่อยแบบบอกไม่ถูก แต่ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร ไปหาซื้อที่ซุปเปอร์ก็หาไม่เจอ เศร้ามาก ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กินสิ่งนี้อีกมั้ย ฮื่อออ

    หลังจากอิ่มกันแล้ว เรากับพี่ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน พี่กดแกร้บกลับโรงแรม ส่วนเราก็เดินกลับที่พัก แต่ถ้าคุณคิดว่าเราจะกลับเข้าห้องเลยก็คือผิดจ่ะะะ

    เราเดินไปร้านสะดวกซื้อเพราะอยากได้แผ่นแปะแก้ปวด คือวันนี้ทั้งวันเราเดินเยอะมากกก เดินจนปวดขาปวดเท้าไปหมด แต่เหมือนที่เวียดนามถ้าไม่ใช่ร้านขายยาเขาจะไม่ขายพวกยาหรือเวชภัณฑ์เลย เราเดินดูร้านสะดวกซื้อหลายเจ้านะแต่ก็ไม่เจอ คือไม่มีแม้กระทั่งพลาสเตอร์ยาอะ เพราะงั้นไอ้พวกแผ่นแปะแก้ปวด ยาพาราอะไรงี้เลิกหวังไปเลย แล้วตอนนั้นก็ดึกแล้วด้วย สี่ห้าทุ่มได้แล้วอะ ร้านยาก็ปิดไปแล้ว ร้านที่เปิดนอกจากร้านสะดวกซื้อก็มีแต่ร้านเหล้านี่แหละ เราก็เลยตัดใจ แล้วก็ซื้อพุดดิ้งในร้านสะดวกซื้อมาชิมแทน เพราะที่นี่ก็มีพุดดิ้งขาย หลายยี่ห้อด้วย แต่มันเป็นพุดดิ้งถ้วยเล็ก ๆ ไม่ใช่บิ๊กพุดดิ้งแบบของญี่ปุ่นอะ

    (พุดดิ้งเต็มไปหมดดด)

    เรากลับห้องมานั่งกินพุดดิ้ง ซึ่งไอ่อันที่ราคา 11,000 vnd เป็นอันที่อร่อยสุสในใจเรา จากนั้นก็ลุกไปอาบน้ำ ปีนขึ้นเตียง แล้วก็ว้าปสู่เช้าวันใหม่

    บ้ายบายวันแรกที่เวียดนาม...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in