คิดว่าควรรีบมาเขียนทริปนี้ให้จบก่อนที่ทริปถัดไปจะเริ่ม
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราอยู่ที่ญี่ปุ่น ไฟลต์บินขากลับเราอยู่ที่เวลาประมาณ 16.30 ซึ่งก็เกือบเย็นเลยแหละ พอจะมีเวลาเดินเล่นนิดหน่อย
วันนี้เราตื่นราว ๆ 9 โมงเช้า ตื่นปุ้บก็รีบอาบน้ำแต่งตัวปั้บแบบไม่มีอิดออด เพราะเราต้องเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมก่อน 10 โมง หลังจากเช็คเอาท์เรียบร้อย เราก็เดินโต๋เต๋ลากกระเป๋าออกมาจากโรงแรม เวลาอีก 6 ชั่วโมงที่เหลือก่อนต้องขึ้นเครื่องกลับดูจะมากเกินไปสำหรับคนที่ไม่มีแพลนเที่ยวที่ไหนอยู่ในหัวเลยอย่างเรา ที่เดียวที่เราคิดออกคือห้างสรรพสินค้าตรงสถานีรถไฟ
(ห้างสรรพสินค้าที่สถานีรถไฟฮากาตะตอนกลางวัน)
เราก็เดินไปตามทางเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน มองดูถนนหนทางรอบข้าง พยายามซึมซับบรรยากาศการได้มาเหยียบต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตให้ได้มากที่สุด (เว่อร์ปะ เว่อร์แหละเนอะ 55555555555)
พอมาถึงห้าง แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ต้องมองหาเลยสำหรับคนติดคาเฟอีนอย่างเราก็คือร้านกาแฟ เราเลือกเดินเข้าสตาร์บัค ด้วยความที่ไม่อยากเสี่ยงดวงกับรสกาแฟที่ไม่ถูกปากจากคาเฟ่อื่น ๆ ในญี่ปุ่นอีกแล้ว
และแน่นอนว่าสตาร์บัคก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เราไม่เห็นถึงความต่างใด ๆ เมื่อเทียบกับที่ไทย รสชาติของกาแฟถือว่าสเถียรเลยแหละ จนทำให้แอบสงสัยว่ากาแฟสตาร์บัคจะรสเดียวกันแบบนี้ทั้งโลกเลยหรือเปล่านะ
(คาราเมลมัคคิอาโต้ของสตาร์บัคที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง)
เพราะของฝากอะไรก็ซื้อไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้เราไม่มีที่ไป เรานั่งแช่อยู่ที่สตาร์บัคได้พักใหญ่ ก็ดื่มกาแฟไป ไถทวิตเตอร์ไป แชทคุยกับเพื่อนไป
และระหว่างที่ไถทวิตเตอร์อยู่นั้นเอง เราก็ดันไปเห็นทวิตลายแทงร้านอาหารที่เอ็นซีทีไปกินมาเมื่อคืน และด้วยความที่เป็นติ่งอะเนอะ เราก็รู้สึกว่าไม่ได้การณ์ละ ไหน ๆ ก็อยู่ที่นี่แล้ว โอกาสที่จะได้มาที่นี่อีกก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ คงต้องไปตามรอยสักหน่อยแล้วแหละ
ใจจริงตอนแรกสุดเลยที่คุยกับเพื่อนคือเราอยากไปกินมทสึนาเบะ ซึ่งเป็นนาเบะขึ้นชื่อของฟุกุโอกะและเพื่อนเราก็บอกว่าน้องโดยองชอบเมนูนี้ แต่คือเมื่อคืนน้องโดยองไม่ได้ไปกินนาเบะอะ น้องไปกินราเมง ส่วนคนที่ไปกินนาเบะเมื่อคืนคือแจฮยอน(หนึ่งในเมมเบอร์ของ NCT127)
แล้วเราดันเข้าใจว่าร้านในลายแทงที่เขาเอามาแปะ ๆ กันในทวิตเตอร์คือร้านอาหารที่มีทั้งราเมงและนาเบะ เราก็เลยตรงดิ่งไปยังร้านดังกล่าวแบบทันที ซึ่งความจริงแล้วร้านที่ว่านั่นเป็นร้านที่ขายราเมงเพียงอย่างเดียว ส่วนร้านมทสึนาเบะที่แจฮยอนไปกินน่ะคือร้านอื่น เมมเบอร์เขาแยกกันไป เขาไม่ได้ไปด้วยกัน!!!
แน่นอนว่าร้านดังกล่าวเรียกได้ว่าอยู่คนละฟากของเมืองจากจุดที่เราอยู่ ณ ตอนนั้นเลย แต่เพราะการเดินทางในประเทศญี่ปุ่นที่แสนจะสะดวกรวดเร็วและง่ายดาย ทำให้เราเชื่อว่าต่อให้เราไปที่ร้านนั้น รออาหาร นั่งกินจนเสร็จและเดินวนรอบเมืองอีกสักรอบ เราก็ยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับการเดินทางไปยังสนามบิน (ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ)
เราเลือกเดินทางโดยบัสเหมือนเดิม ใช้เวลาไม่นานนักเราก็มาถึงป้ายที่ใกล้ร้านราเมงร้านนั้นมากที่สุด เราก็เดินลากกระเป๋าโต๋เต๋ตามกูเกิ้ลแมปไป จนในที่สุดก็ถึงหน้าร้าน
ภายในร้านถือว่าคนค่อนข้างแน่นทีเดียว ด้วยความที่เราไปถึงร้านนั้นช่วงเที่ยง ทำให้ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ในร้านถูกจับจองด้วยซาลารีมังในชุดสูท บางคนก็นั่งสูดราเมงแบบรีบร้อน บางคนก็สูดราเมงไปเม้ามอยกับเพื่อนที่นั่งโต๊ะเดียวกันไปอย่างใจเย้นใจเย็น
ส่วนพื้นที่อีกครึ่งของร้านถูกจับจองด้วยใครน่ะเหรอ? ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นเหล่าเอ็นซีทีเซ่น แฟนคลับของวงเอ็นซีทีวันทูเซเว่นน่ะสิ!
(มวลมหาประชากรชาวเอ็นซีทีเซ่นที่มายืนรอคิวหน้าร้าน)
ถามว่ารู้ได้ไง หึฟ์ เพราะพวกเขาเหล่านั้นต่างก็ลากกระเป๋าเดินทางใบเขื่องมาเหมือนเรา แถมบางคนยังห้อยออฟฟิเชียลกู้ดส์ไว้ที่กระเป๋าอีกต่างหาก ของมันเห็นกันอยู่จะจะ ดูไม่ออกก็ตาบอดแล้ววว
แม้จะแอบผิดหวังไม่ได้กินมทสึนาเบะ แต่เซ็ตราเมงเซ็ตเดียวกับที่น้องโดยองกินก็อร่อยจนสามารถปลอบประโลมใจเราไปได้บ้าง หลังจากอิ่มหนำและชำระเงินเสร็จเรียบร้อย เราก็กลับมาอยู่ในสภาวะของคนไร้ที่ไปอีกครั้ง
(สายข่าวในทวิตเตอร์บอกมาว่าน้องโดยองเลือกเซ็ต A)
(ปิ๊งงง! ราเมงเซ็ต A ได้แล้วค่าาา)
เราลากกระเป๋าเดินไปยังสถานีรถไฟใกล้ ๆ เพราะตั้งใจว่าจะนั่งรถไฟใต้ดินจากตรงนี้รวดเดียวไปที่สนามบินเลย ซึ่งแถว ๆ สถานีรถไฟนั้นเหมือนเป็นย่านการค้าอะ มีห้างสรรพสินค้าเยอะมาก เราก็เดินเข้า ๆ ออก ๆ ดูของในห้างไปเรื่อยเปื่อย คือเดินจนเมื่อยขา ห้างแต่ละห้างไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารอะไรมาก แต่มีทางเดินที่เชื่อมต่อถึงกันจนทำให้เหมือนเป็นห้างเดียวกันยังไงยังงั้น อารมณ์เหมือนห้างแถว ๆ สยามบ้านเรานี่แหละ แต่เดินแล้วไม่ได้รู้สึกอึดอัดเหมือนที่สยาม ซึ่งจุดนี้เราคิดว่าอาจเป็นเพราะสถานีรถไฟของเขาอยู่ใต้ดินด้วยแหละมั้ง พอเงยหน้าขึ้นไปก็มองเห็นท้องฟ้าโล่ง ๆ มันเลยทำให้รู้สึกถึงความปลอดโปร่ง
(เราชอบร้านดอกไม้/ต้นไม้ที่ญี่ปุ่นมากกก น่ารักแถมโคตรจะละลานตา เดินวนดูเป็นสิบรอบก็ไม่เบื่อ)
เดินจนพอใจก็ถึงเวลาไปสนามบิน ครั้งนี้เราสามารถซื้อตั๋วที่ตู้ได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากใคร วิธีก็คือเปิดชื่อสถานีในมือถือแล้วลองเทียบกับชื่อที่ขึ้นบนหน้าจอตู้ขาย ก็จิ้ม ๆ จนได้ตั๋วมา จากนั้นก็ตรงไปยังสนามบิน
(ตั๋วรถไฟที่ซื้อมาได้ด้วยความสามารถของตัวเอง)
ด้วยความที่เรามาถึงสนามบินไว คือไฟลต์บินประมาณ 16.30น. แต่เราไปถึงราว ๆ 14-15.00น. อะ (จำเวลาแน่นอนไม่ได้) เราก็เลยเดินวนไปเวียนมาอยู่ในนั้น แวะเข้า ๆ ออก ๆ ร้านของฝากในสนามบิน หาขนมหาของกระจุกกระจิกไปเรื่อยเปื่อย เสียเงินไปอีกหนึ่งแมทช์ พอใกล้ถึงเวลาก็เช็คอินอะไรต่าง ๆ แล้วก็ไปรอขึ้นเครื่องที่เกท
(ได้เวลากลับแล้ว!)
(วิวท้องฟ้าจากบนเครื่องบินคือสวยมากจริง ๆ)
เรากลับมาถึงไทยตอน 5 ทุ่มกว่า ๆ ออกจากสุวรรณภูมิก็เกือบ ๆ เที่ยงคืน ซึ่งตอนนั้น mrt ปิดให้บริการแล้ว เราเลยต้องโบกแท็กซี่ ในที่สุดก็กลับมาถึงห้องโดยสวัสดิภาพ
เป็นอันจบทริปติ่ง 4วัน3คืน ที่ญี่ปุ่น! เย้ ๆ ๆ
รายละเอียดและค่าใช้จ่ายในทริปนี้ :
- บัตรคอนเสิร์ต NCT127 Arena Tour Fukuoka : 6,000฿
- ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ + ที่พักที่ฟุกุโอกะ 3คืน (จองเป็นแพ็คเกจกับเว็บ Expedia) : 15,352.05฿
- Pocket Money (กิน+เดินทาง+ซื้อกู้ดส์หน้าคอน+ซื้อของฝาก) : 10,000฿
รวมทั้งหมด : 31,352.05฿
ถามว่าคุ้มมั้ย สำหรับเรานะ รู้สึกว่าพอถูไถ คือถ้ามีกำลังพอก็มาเถอะ
ส่วนตัวเลยคิดว่าถ้ามีคนหารค่าที่พักด้วยก็ถือว่าคุ้ม แต่พอมาคนเดียวแล้วต้องแบกค่าที่พักคนเดียวก็แอบรู้สึกว่าหนักอยู่อะ
แต่ถ้าถามว่าอยากมาอีกมั้ย ตอบได้เลยทันทีว่าแน่นอน! อยากมาอีกแน่นอน!!!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in