*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์*
ภาพยนตร์เรื่อง “จูราสสิค พาร์ค” (1993) กำกับโดย Steven Spielberg เป็นภาพยนตร์แนวผจญภัยระทึกขวัญของฮอลลีวูดอีกเรื่องหนึ่งที่ชุบชีวิตไดโนเสาร์ขึ้นมาให้เราได้เห็น ด้วยเทคโนโลยี CGI ในยุค 90 ทำให้เราได้มีโอกาสเห็นเจ้ายักษ์ใหญ่ดึกดำบรรพ์ออกมาโลดแล่นบนจออย่างสมจริงมากขึ้น โดยเรื่องราวของภาพยนตร์จูราสสิค พาร์คนั้นมาพร้อมกับไอเดียที่ว่า เมื่อมนุษย์สามารถนำเลือดไดโนเสาร์ออกมาจากฟอสซิลยุงดึกดำบรรพ์สภาพดี และใช้ดีเอ็นเอที่อยู่ในเลือดนั้นชุบชีวิตพวกกิ้งก่ายักษ์ขึ้นมาได้สำเร็จ
ตัวละครเอกของเรื่องจากฝั่งมนุษย์คือดร.อลัน แกรนต์ (แสดงโดย Sam Niel) และคนรักของเขา ดร.เอลลี แซตต์เลอร์ (แสดงโดย Laura Dern) ทั้งสองเป็นนักบรรพชีวินวิทยาที่มีความเชี่ยวชาญด้านการศึกษาไดโนเสาร์ ดร.อลันและดร.เอลลีได้รับเชิญจากเศรษฐี จอห์น แฮมมอนด์ ไปยังเกาะลึกลับแห่งหนึ่งที่ตนเป็นเจ้าของ ซึ่งแฮมมอนด์ได้ผุดไอเดียสร้างสวนสนุกบนเกาะของเขา โดยมีไดโนเสาร์เป็นจุดขาย
นอกจากตัวละครฝั่งมนุษย์แล้วเราก็ยังมีฝั่งไดโนเสาร์เช่นกัน แน่นอนว่าภาพแรกที่เราได้เห็นคือไดโนเสาร์คอยาว “บราคิโอซอรัส” เจ้ายักษ์ใหญ่ใจดี ที่เข้ามาสร้างความรู้สึกอันท่วมท้นให้กับผู้ชม ขนาดตัวอันใหญ่ยักษ์ของไดโนเสาร์คอยาวที่ปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงเพลงที่ให้ความรู้สึกชวนขนลุกและยิ่งใหญ่ ราวกับความฝันในวัยเด็กได้ถูกเนรมิตขึ้นมาให้เป็นจริง และการปรากฏตัวของมันนั้นก็เป็นการต้อนรับว่าเราได้มาถึงจูราสสิค พาร์คเรียบร้อยแล้ว ในขณะเดียวกันภาพยนตร์ก็ได้แนะนำให้เราได้รู้จักกับฝั่งไดโนเสาร์จำพวกกินเนื้ออย่าง “ทีเร็กซ์” และ “เวโลซีแรปเตอร์” (หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า แรปเตอร์) ที่เข้ามามีบทบาทอันโดดเด่นด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ผู้เขียนกำลังจะนำเสนอต่อไปนี้คือการใช้เลนส์ ecocinema หรือ “ภาพยนตร์นิเวศ” ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติในภาพยนตร์เพื่อศึกษาแนวคิดบางอย่างที่แฝงอยู่ในจูราสสิค พาร์ค ปี 1993 โดยเน้นไปที่แนวคิด Anthropocentric หรือ แนวคิดที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางของธรรมชาติ
ถ้าหากมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นเหมือนกับศูนย์กลางของโลกในปัจจุบันแล้ว เป็นไปได้ว่าไดโนเสาร์นั้นก็อาจถือได้ว่าเป็นสปีชีส์ที่เคยเป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้อยู่เช่นกัน เพียงแต่ว่ายุครุ่งเรืองของพวกมันได้เกิดขึ้นและจบลงก่อนที่พวกเราเหล่ามนุษย์จะได้ทันเห็น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าภาพยนตร์จูราสสิค พาร์คเป็นเหมือนกับสะพานเชื่อมที่พาโลกอดีตและโลกปัจจุบันมาบรรจบกันในที่สุด
เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้
ด้วยการกลับมาของเจ้าโลกในอดีต ไดโนเสาร์ จากยุคครีเทเชียสมาสู่ยุคโฮโลซีน หรือยุคสมัยแห่งมนุษย์ เป็นไปได้หรือเปล่าว่าจะเกิดการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าโลกระหว่างทั้งสองสปีชีส์ ในโลกปัจจุบันที่มนุษย์กำลังเป็นผู้ขับเคลื่อนช่วงเวลาและสร้างวิทยาการต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย จูราสสิค พาร์คนั้นได้เล่าว่ามนุษย์ได้ใช้เทคโนโลยีในการชุบชีวิตสัตว์เลื้อยคลานยุคดึกดำบรรพ์หรือไดโนเสาร์ขึ้นมาได้สำเร็จแล้ว และพวกเขายังตัดต่อพันธุกรรมของไดโนเสาร์เพื่อยับยั้งไม่ให้ไดโนเสาร์สืบพันธุ์เองตามธรรมชาติ ส่งผลให้ในเกาะแห่งนี้จะมีเพียงไดโนเสาร์เพศเมียเท่านั้น ดังนั้นบทบาทของมนุษย์ในเรื่องก็เป็นเหมือนผู้กุมอำนาจเหนือไดโนเสาร์ พวกมันเป็นเพียงแค่สัตว์เลื้อยคลานที่เคยมีชีวิตอยู่ในอดีตเท่านั้น สติปัญญาของพวกมันหาได้เทียบเท่ามนุษย์ไม่ นอกจากนี้มนุษย์ยังเป็นผู้ชุบชีวิตไดโนเสาร์ขึ้นมา สามารถใช้ความรู้ เทคโนโลยีอันเกิดจากปัญญาของตนควบคุมและแทรกแซงธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตสปีชีส์อื่น ๆ ได้ตามใจชอบ สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความหยิ่งทะนงและการตั้งตนเป็นศูนย์กลางของมนุษย์
อย่างไรก็ตาม เราพบว่ามนุษย์ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวที่กำลังพัฒนาเพื่อเอาชนะ ฝั่งของไดโนเสาร์เองก็ได้เกิดวิวัฒนาการเพื่อหลบหลีกการกักขังนี้เช่นกัน ตามคำพูดของตัวละครดร.เอียน มัลคอล์ม (แสดงโดย Jeff Goldblum) เขาได้กล่าวไว้ว่า “เราจะควบคุมสิ่งมีชีวิตไม่ได้ ชีวิตต้องการอิสรภาพ” และ “ชีวิตจะหาหนทางของมัน” ซึ่งก็เป็นจริงดังที่เขาว่า นักวิทยาศาสตร์นำดีเอ็นเอของกบชนิดหนึ่งมาผสมเข้ากับดีเอ็นเอที่ไม่สมบูรณ์ของไดโนเสาร์ ทำให้พวกมันได้รับการถ่ายทอดความสามารถในการเปลี่ยนเพศของกบมาด้วย ไดโนเสาร์บนเกาะจึงวิวัฒนาการตนเองจนสามารถสืบพันธุ์ได้ตามธรรมชาติในที่สุด เราทราบเรื่องนี้พร้อม ๆ กับตัวละครดร.แกรนต์ที่บังเอิญพบกับเปลือกไข่ของแรปเตอร์เข้า
มนุษย์อาจคิดว่าตนเองเป็นผู้กุมชัยชนะเหนือกว่าด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาด แต่กลับลืมไปว่าธรรมชาติก็มีวิวัฒนาการของตนเองเช่นกัน
เมื่อไดโนเสาร์ต้องมาสวมบทบาท
นอกเหนือจากแนวคิดในตัวเนื้อเรื่องแล้ว การที่มนุษย์เข้าไปยุ่มย่ามกับธรรมชาติก็ยังรวมไปถึงการถ่ายทอดลักษณะของไดโนเสาร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
เราจะเห็นได้ว่าทีเร็กซ์เป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาด มันได้รับบทเป็นผู้ร้ายในช่วงแรก ๆ ของการปรากฏตัว การถ่ายทอดสัตว์ในลักษณะนี้นั้นเรียกว่า Anthropomorphization อันหมายถึง การใส่ลักษณะความเป็นมนุษย์ลงไปในสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งในทีนี้ก็หมายถึงการใส่บทบาทผู้ร้ายให้กับทีเร็กซ์นั่นเอง
ภาพยนตร์ใช้ภาพลักษณ์ความเป็นสัตว์กินเนื้อ ความเป็นนักล่าขนาดใหญ่ยักษ์และน่าเกรงขามของทีเร็กซ์มาสร้างความระทึกขวัญให้กับผู้ชม มันปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสายฝนและรั้วไฟฟ้าแรงสูงดูอันตราย และยังเป็นฉากแรกที่เราได้เห็นตัวละครเสียชีวิตอีกด้วย (ทนายของแฮมมอนด์ “โดนัลด์ เจนนาโร”) แต่ทว่าในช่วงท้ายของภาพยนตร์ ทีเร็กซ์กลับได้รับบทฮีโร่ที่เข้ามากอบกู้ช่วยชีวิตตัวละครผู้เป็นมนุษย์เอาไว้ ตามคำให้สัมภาษณ์ของสปีลเบิร์กที่บอกว่า “ผู้ชมคงจะเกลียดผมแน่ ๆ ถ้าผมไม่ให้ทีเร็กซ์โผล่มาอีกครั้งเพื่อรับบทฮีโร่” ส่วนบทผู้ร้ายที่แท้จริงถูกนำไปยัดให้กับนักล่าขนาดเล็กทว่าเฉลียวฉลาดอย่างแรปเตอร์แทน
ในตอนจบของฉาก ทีเร็กซ์คำรามด้วยเสียงก้องกังวาลเพื่อประกาศชัยชนะ ป้ายผ้าที่มีข้อความ “When Dinosaurs ruled the Earth” ก็ได้ร่วงลงมาราวกับกำลังสรรเสริญให้กับชัยชนะของทีเร็กซ์ แต่จะสังเกตได้ว่ารูปประโยคนั้นเป็นแบบอดีต ก็อาจมองได้ว่าสุดท้ายแล้วการสรรเสริฐทีเร็กซ์ในครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่การกล่าวอ้างไปถึงยุคอดีต ไม่ใช่ยุคปัจจุบันอันเป็นยุคของมนุษย์
อย่างไรก็ดี การนำเสนอทีเร็กซ์ออกมาในรูปแบบของการเป็นฮีโร่นั้นก็ถือได้ว่าเป็นการยัดเยียดความเป็นมนุษย์ให้กับไดโนเสาร์อย่างแยบยล หากมองทีเร็กซ์ในฐานะสัตว์ชนิดหนึ่งแล้ว การกระทำของมันก็เป็นเพียงแค่สัญชาตญาณ ไม่ใช่เพื่อปกป้องมนุษย์หรือเพื่อจะเป็น “ฮีโร่” แต่อย่างใด
เวโลซีแรปเตอร์เองนั้นเรียกได้ว่าถูกนำเสนอออกมาในลักษณะของผู้ร้ายจอมเจ้าเล่ห์เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ชมเช่นกัน คราวนี้เป็นการงัดกันระหว่างไดโนเสาร์สายพันธุ์หนึ่งที่อาจเรียกได้ว่าค่อนข้างฉลาด (เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ ในเรื่อง) กับมนุษย์วัยเด็กที่ประสบการณ์ชีวิตยังน้อยนิด ฉากที่น่าสนใจคงจะเป็นฉากที่แรปเตอร์เห็นตัวละคร “เล็กซ์ เมอร์ฟี” (หลานสาวของเศรษฐีแฮมมอนด์) นั่งคุดคู้อยู่ในตู้โลหะและพยายามจะงับประตูลงเพื่อไม่ให้แรปเตอร์เข้าถึงตัวเธอได้ แต่เธอกลับปิดประตูไม่สำเร็จ แรปเตอร์จวนจะเข้าถึงตัว เด็กหญิงกรีดร้องลั่น ทว่าสิ่งที่แรปเตอร์พุ่งตัวเข้าใส่นั้นเป็นเพียงแค่เงาสะท้อนเด็กหญิงจากเงาของโต๊ะโลหะ แสดงให้เห็นว่าแม้แรปเตอร์จะถูกนำเสนอออกมาว่าเป็นสายพันธุ์ที่ฉลาด แต่ในฉากนี้มันกลับดูโง่เขลามากเพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นเป็นเพียงแค่เงาสะท้อนของมนุษย์เท่านั้น สัตว์ก็ยังคงเป็นสัตว์อยู่วันยังค่ำ
มนุษย์จอมจุ้นกับทุนนิยมสามานย์
การแทรกแซงธรรมชาติของมนุษย์นั้นก็ยังเกี่ยวข้องไปถึงทุนนิยมอีกด้วย บางครั้งก็ดูเหมือนว่ามนุษย์จะปล่อยธรรมชาติไปเฉย ๆ ไม่ได้ ไดโนเสาร์ในเกาะเกือบจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน แม้ว่าความตั้งใจจริงของเศรษฐีแฮมมอนด์อาจจะไม่ใช่เพื่อสร้างกำไรให้กับตนเอง แต่เราก็จะเห็นได้ว่าทนายของแฮมมอนด์ดูระริกระรี้กับโปรเจ็กต์สวนสัตว์นี้เสียเหลือเกิน เพราะเขาเชื่อว่ามันจะทำเงินเข้ากระเป๋าได้อย่างมหาศาล แต่แล้วในที่สุดทนายก็ได้รับบทลงโทษจากธรรมชาติไปเป็นที่เรียบร้อย เขากลายเป็นเหยื่ออันโอชะรายแรกของทีเร็กซ์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของมนุษย์ พวกเรามักคิดว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ นั้นเป็นสินค้า
เมื่อมนุษย์ในเรื่องเริ่มรับรู้ว่าการสร้างสวนสัตว์ไดโนเสาร์นั้นคงจะเกิดขึ้นได้ยาก พวกเขาไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ดั่งใจนึก สุดท้ายแล้วเกาะของแฮมมอนด์นั้นก็ถูกทิ้งร้าง มนุษย์ทิ้งขวางสิ่งที่ตนเองได้สร้างไว้อย่างไร้ความรับผิดชอบ และในที่สุดแล้วโลกของอดีตและปัจจุบันถูกแบ่งแยกออกอีกคราด้วยผืนน้ำอันกว้างใหญ่ รอวันที่มนุษย์จะย่างกรายเข้าไปยุ่มย่ามกับโลกของไดโนเสาร์บนเกาะแห่งนั้นอีกครั้ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in