ตัวเราเองเป็นคนพุทธโดยกำเนิด แต่เรียนโรงเรียนคริสต์มาตั้งแต่เด็กจนจบ ม.ปลาย ก็คงไม่แปลกที่จะคุ้นเคยกับวัฒนธรรมของศาสนานี้ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เปลี่ยนศาสนาจริงๆ
จากความทรมานกับโรคซึมเศร้าที่เรื้อรังมานานและตัดสินใจคร่าชีวิตตัวเอง เราก็พบว่าจริงๆแล้วเราไม่ได้อยากมีชีวิตเพื่อคนอื่น และมีอะไรบางอย่างบอกให้เราทำอะไรบางอย่างกับความรู้สึกนั้น
การเป็นคริสตชนคือการใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข ช่วยเหลือ และรักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือความรัก เรารักตัวเองมากขึ้น และรักคนรอบข้างมากขึ้น เราคิดว่ามันคงเป็นสิ่งที่คริสตชนควรทำนั่นแหละ
การเริ่มเป็นคริสตชนนั้นต้องเข้าพิธีล้างบาปก่อน แต่นั้นก็ต้องเรียนคำสอนให้เข้าใจและรับพระพรเข้าสู่ชีวิต ใครจะไปเชื่อว่าคนอย่างเราที่คิดว่าศาสนานี้เพ้อเจ้อ ทำอัศจรรย์ มีพระเจ้าดลใจ สิ่งเหล่านี้เราไม่เคยเชื่อเลย แต่วันแรกกับการเรียนคำสอนของพระเจ้า ไม่ได้สอนให้เชื่อและงมงายเลย
การเล่าเรียนคำสอนนั้นคือหนทางการใช้ชีวิตที่ดี และ เมตตา มีหัวใจที่อ่อนโยน
เราเป็นคนที่พบเจอความทุกข์และความเศร้ามามาก ทั้งหมดก็เกิดจากตัวเราเอง และการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น ก็ต้องเริ่จากตัวเราเองด้วยเช่นกัน
เรื่องแรกที่เราอยากจะแบ่งปันคือเรื่องความรักที่หยิบยื่นให้ผู้อื่นและความทุกข์ที่ได้รับมา
"ถ้าเราให้ความรักกับผู้อื่นแล้วหวังให้เขารักเรากลับก็ไม่ผิด แต่มันก็อาจทำให้เราเป็นทุกข์ ให้เรามีความสุขที่ได้มอบความรักดีกว่า"
- เราเป็นคนที่คาดหวังความรักตอบจากผู้อื่น เราให้ความรักไปก็อยากได้รับคืนเช่นกัน แต่ก็เคยให้ใจเพื่อนคนนึงไป แต่สุดท้ายก็โดนทิ้งไป ก็คิดว่า เรามันผิดเองแหละ ครั้งต่อไปจะไม่ให้ใจใครอีกแล้ว แต่วันนี้เราก็กลับมารักใหม่ รู้สึกรักเพื่อนเก่าคนนั้นที่ทิ้งเราไป หรือใครก็ตามที่ทำให้เราเสียใจ เรารักหมดทุกคน เราให้อภัยทุกคนที่ทำให้เราเสียใจ ทุกคนที่ทำให้เราป่วย เราขอให้ชีวิตของทุกคนอยู่ในพระพรของพระเจ้า
เรื่องที่สอง
"สิ่งไม่ดีต่างๆเหมือนมูลสปกรกที่เราหยิบมาทาตัวเรา ใส่ตัวเรา ต้องชำระล้างออกไปให้หมดให้ใจเราสะอาด รับแต่สิ่งที่ดี เป็นพระพรเข้ามาสู้หัวใจ"
- เราเป็นคนที่เอาเรื่องแย่ๆเข้ามาในใจเยอะมาก พูดได้ว่าก็ทุกอย่าง เรื่องนู่นนี่นั่นประดังประเดใส่เข้ามาในใจเรา ถึงด้านนอกจะดูนิ่งสงบแต่กัวใจว้าวุ่นเพราะมีมูลสกปรกที่เป็นพิษอบอวลในหัวใจ ถ้าเราล้างความสกปรกออกไปจากใจเรา นำพระพรของพระเจ้าเข้ามาสู่ใจ หัวใจของเราก็จะมีความสุข สิ่งที่ไม่ดี อย่าไปให้ค่ามัน เหมือนตอนที่เรือของพระเยซูและสาวกอยู่ในพายุ พระองค์ไม่ให้ความสำคัญกับพายุ พายุนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรพระองค์ได้ เช่นเดียวกัน หากเราไม่ให้ค่ากับสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องให้ค่า สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ประสงค์ร้าย เราก็จะไม่เจ็บปวด ไม่เศร้าเสียใจ ไม่เปรอะเปื้อนไปด้วยมูลสกปรก
เรื่องที่สาม คุณพ่อบอกว่า
"ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา มันก็จะผ่านไป This too shall pass เพราะฉะนั้นให้เชื่อในตัวเอง มั่นใจ แล้วก็มอบความรักให้คนอื่นเยอะๆ"
- เราชอบอันนี้มาก บางครั้งเราคิดว่าทำไมมันยากลำบาก มีมารผจญมากมายเข้ามากีดขวาง ทำให้จิตใจอ่อนแอ ให้เราไม่ได้รับพระพรของพระเจ้า สิ่งที่ดีไม่ได้เข้ามาในใจของเรา มีแต่สิ่งไม่ดีเข้ามาหา แต่เราก็ไม่คิดว่า มันก็จะผ่านไปเสมอๆ ทุกอย่างมีวันจบ กระดาษทิชชู่ซื้อมาเยอะๆ ใช้ๆไปก็หมด ความทุกข์ก็เหมือนกัน มันก็จะผ่านไป แล้วมันก็จะหมดลง การให้ความทุกข์ลดลง เราเพิ่มความรัก เพื่อให้หักล้างกัน ให้หัวใจเราอ่อนโยน และพร้อมที่จะให้ความรักกับคนอื่น
มาถึงตอนนี้เรารู้สึกว่าเรารู้สึกรักมาก และหัวใจเราเต็มไปด้วยความรักที่อยากให้คนอื่น และเริ่มยึดเหนี่ยวจิตใจกับพระเจ้า ให้พูด เราก็ร้องไห้ทุกวัน แต่ก็หยุดร้องไห้ แล้วไปสวดภาวนา มันก็หายไป ขอบคุณพระเจ้าค่ะ
"อย่าท้อแท้ในการทำความดี เพราะถ้าเราไม่หยุดทำความดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวเมื่อถึงเวลา" (กาลาเทีย 6:9)
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in