เราแบ่งเด็กๆ ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ อนุบาล ประถมต้น ประถมปลาย และมัธยม เพื่อจะได้ทำการดูแลและสอนเนื้อหาได้อย่างเหมาะสม เป็นไปตามคาดเราพบว่าเด็กผู้หญิงนั้นเรียบร้อยและดูแลง่ายกว่ามากเมื่อเทียบกับเด็กผู้ชาย เด็กผู้ชายที่นี่เรียกได้ว่าแสบสันต์จริงๆ ถึงขั้น"หงอคง"ยังอาจต้องเรียกพี่ ทำให้เราต้องงัดเทคนิคที่ครูปู่สอนเราเมื่อแรกแนะนำตัวกันมาใช้อยู่เสมอๆ นั่นคือ "อย่าถือสาเด็กมันเลยยย..." 5555555 (เท่าที่จำได้ คือน่าจะท่องในใจแทบตลอดเวลา 5555555) นอกจากความซุกซนและแสบสันต์ถึงทรวงของเด็กๆที่สร้างความประทับใจกระแทกจิตให้กับพวกเราตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว ภายใต้แววตาบ้องแบ๊วหลายสิบคู่นั้น เมื่อสังเกตดีๆ เราก็ยังสามารถพบกับความน่ารัก ใสซื่อในความเป็นเด็ก ที่เราเฝ้าปรารถนามาตั้งแต่ก่อนถึงที่นี่ ได้ปรากฏขึ้นผ่านคำพูดแสนขบขันและท่าทางอันงุ่นง่านน่าตีของเด็กๆเหล่านี้ พอทำให้พวกเราได้ชื่นใจมีเรี่ยวแรงทำกิจกรรมต่อ กันอยู่ไม่น้อย...เย่ะ!
เด็กๆหลายคน เมื่อสนิทกับพี่ๆแล้ว ก็จะมาออดอ้อนขอให้พี่คนนั้นคนนี้มาเป็นครูประจำตัว ทำให้พวกเราผู้ถูกเลือกแอบดีใจว่า เด็กๆคงปลื้มอยากให้เราดูแลเป็นพิเศษแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ หน้าที่ที่แท้จริงของครูประจำตัวก็คือ...ม้าส่งเมืองงงงง!!! TwT
เมื่อเสร็จจากการสอนหนังสือ ในฐานะนิสิตทันตแพทย์เราจึงต้องมีกิจกรรมที่เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพช่องปากมาสอนน้องๆด้วย โดยแบ่งเป็นกิจกรรมสอนน้องแปรงฟันและช่วยน้องย้อมสีฟันเพื่อดูคราบจุลินทรีย์ ในกิจกรรมนี้เอง ทำให้เราเห็นเพื่อนๆของเราหลายคนเผยลุคคุณพ่อ คุณแม่ Family girl&man แสนอบอุ่นออกมาอย่างมีแววเลยทีเดียว
และตามมาด้วยกิจกรรมปิดท้ายอย่างอบอุ่น ด้วยการเล่นกีตาร์ประกอบเสียงเพลงจากน้องๆ เล่นทำเอาพี่ๆหลายคนชวนซึ้งไปตามๆกัน
เมื่อทำกิจกรรมเสร็จ พวกเราเก็บของและบอกลาเด็กๆ เด็กบางคนทำทีท่าไม่ยอมลาด้วย วิ่งมาขอครูประจำตัวของพวกเค้าขี่หลัง อ้อนว่าขอไปส่งครูถึงหน้าทางเข้าชุมชนด้วย ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ต้องแบกน้องตัวแสบไปถึงหน้าชุมชน ระหว่างทางน้องไม่ได้พูดอะไรกับผมมากนัก มีแต่ผมที่คอยพูดว่า "กอดแน่นๆ" "เอาขาเกี่ยวแน่นๆ" อยู่เนืองๆ
ถึงแม้บทสนทนาระหว่างผมกับน้องตลอดทางจะไม่ได้มีอะไรมากนัก แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมีมากมาย ณ เวลานั้นผมเองไม่รู้หรอกว่าจะมีโอกาสกลับมาที่นี่อีกไหม ไม่รู้หรอกว่าจะมีใครผลัดเปลี่ยนมาเป็นครูประจำตัวน้องเค้าอีกเท่าไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่าน้องเค้าจะมีโอกาสกอดคนในครอบครัวแน่นๆ แบบนี้รึปล่าว ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่า "อยากให้น้องคนนี้ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่เข้มแข็งพอที่จะก้าวออกไปจะโลกใบนี้ที่น้องอยู่" แค่เพียงเท่านี้ที่ผมรู้...
ทุกวันนี้ถึงแม้หน้าและชื่อของน้องคนนั้นผมจะเริ่มลืมเลือน แต่ผมยังคงจดจำแรงกอด และความรู้สึกของหัวที่เหงื่อเปียกโชกที่วางไว้บนหลังผมได้เป็นอย่างดี มันตอกย้ำให้ผมรู้สึกเสมอว่า ในชีวิตวัยเด็กของเรานั้น พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาดีมากแค่ไหน ราวกับว่าเรากับน้องเติบโตขึ้นมาบนโลกคนละใบจริงๆ ทำให้ต้องขอบคุณกิจกรรมบังคับนี้เอาเสียมากๆที่บังคับชะตาให้เราได้มาเจอกัน และได้เติมเต็มโลกอีกใบของกันและกัน...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in