เเสงจ้าของพระอาทิตย์ยามสายส่องลงมากระทบกับพื้นด้านนอกเเละชานเรือน เมฆบางส่วนขยับเคลื่อนไปตามทิศทางของลมที่พัดผ่าน ท้องฟ้าสีครามสดใส สมบัติของเกนจิคนน้องยืนมองขึ้นไปด้านบนด้วยสีหน้ามุ่งมั่นอยู่ที่ประตูเข้าออกเรือน ส่วนสมบัติเกนจิคนพี่หลับเป็นตายอยู่ในห้องอย่างสบายใจเฉิบ
วันนี้เเล่ะ
ฮิสะมารุคิดพลางกำหูหิ้วตะกร้าผ้าในมือเเน่น ก่อนจะเดินถือไปยังสถานที่ที่อารุจิจัดเตรียมไว้สำหรับทำความสะอาดโดยเฉพาะปล่อยให้พี่ชายตนเองที่เพิ่งกลับจากเดินทางสำรวจหาทรัพยกรนอนกอดตุ๊กตาสิงโต(ที่ตนเย็บเอง)อยู่ในเรือนต่อไป
ระยะนี้เหมือนสิ่งที่อารุจิเรียกว่าข่าวพยากรณ์อากาศจะรายงานผลว่า ในช่วง1-2วันนี้จะพายุจะเข้าหรืออย่างไรสักอย่าง ตัวของเขาเองก็ไม่ใคร่เข้าใจนัก รู้เเต่ว่านั่นเป็นผลให้ฝนเทลงมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ยเเทบทุกวัน จนไม่สามารถทำงานจิปาถะในฮงมารุได้สะดวกมากนัก
หนึ่งในงานจิปาถะที่ประสบปัญหาเลยก็คือการซักเสื้อผ้านี่เเล่ะ
โชคดีที่วันนี้นอกจากจะอากาศดีกว่าวันอื่นๆเเล้ว ราวสำหรับตากผ้ายังพอมีเหลืออยู่บ้าง เสื้อผ้าของเขากับอานิจะไม่เยอะเท่าไหร่หากเทียบกับเสื้อผ้าของพวกอะวาตากุจิที่มีจำนวนคนมาก หรือเสื้อผ้าของบ้านอื่นๆที่ต้องใช้พื้นที่ในการตากเยอะ หากเเต่ก็ถือว่าเยอะกว่าทุกที เพราะช่วงนี้เเทบจะซักผ้าไม่ได้เลย
ฮิสะมารุสะบัดเสื้อคอเต่าสีดำเนื้อผ้าค่อนข้างหนาตัวสุดท้ายในตะกร้าผ้าของพี่ชายตัวเองที่เพิ่งซักเสร็จก่อนจะใส่ไม้เเขวนเสื้อเเล้วตากไว้บนมุมหนึ่งของราวที่ตัวเองไปจับจองที่ว่าง จากนั้นก็นำอุปกรณ์ทำความสะอาดไปเก็บเเล้วยกตะกร้าผ้าเดินกลับเรือนไป
เขาหันไปมองคนที่กำลังหลับอยู่
ฮิเกะคิริที่ดูท่าทางอ่อนเพลีย(ในสายตาของฮิสะมารุ)กำลังหลับสนิทด้วยสีหน้าที่ดูผ่อนคลาย ด้านน้องชายพอเห็นเเบบนั้นก็อดอมยิ้มไม่ได้ เขาคิดในใจว่าให้นอนพักอีกสักหน่อยเเล้วกัน ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กๆในห้อง โดยที่ไม่ทันได้รู้สึกตัวว่าตนเองจะเผลองีบหลับในเวลาไม่กี่อึดใจต่อมา
มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ฟ้าผ่าดังเปรี้ยงนี่เเล่ะ
ฮิสะมารุสะดุ้งสุดตัวทันทีที่ได้ยินเสียง เขาหันซ้ายทีขวาทีความตกใจ
อานิจะไม่อยู่ในห้องเเล้ว เเละหายไปไหนเขาเองก็ไม่รู้ จะมีก็เเต่ผ้าห่มที่มีใครสักคนเอามาคลุมไหล่ให้ กับตุุ๊กตาสิงโตตัวที่อานิจะเคยกอดวางอยู่บนโต๊ะ
ฮิสะมารุหน้าซีด
เเย่เเล้ว เราตากผ้าเอาไว้นี่
พอนึกขึ้นได้เขาก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นไปที่ราวสำหรับตากผ้า เเต่เพราะที่นั่นอยู่ไกลจากเรือนที่พักของเขาไปหน่อย กว่าจะวิ่งไปถึงผ้าที่ตากทิ้งไว้ก็เปียกโชกไปพอสมควรเเล้ว เเถมเพราะรีบร้อนวิ่งมา เขาจึงลืมหยิบตะกร้าสำหรับใส่ผ้ามาด้วย
สถานการณ์ตรงราวตากค่อนข้างวุ่นวาย พวกอะวาตากุจิวิ่งสวนกันไปมา ด้านคะเซ็นเองก็หอบผ้าผ่อนพะรุงพะรัง อีกฝั่งหนึ่งมิทสึทาดะที่ดูเหมือนเพิ่งวิ่งหน้าตั้งมาจากในครัวตรงเข้ามาเก็บผ้าคลุมสีฟ้าผืนค่อนข้างใหญ่กับชุดคลุมไหล่สีขาวที่มองปราดเดียวก็รู้ตัวเจ้าของเเล้วว่าเป็นใคร
ฮิสะมารุเอื้อมมือไปหยิบไม้เเขวนเสื้อที่อยู่ตรงราวมาพาดที่เเขน เเต่ในจังหวะที่กำลังหยิบเสื้อคลุมไหล่สำหรับอกรบของตนเองนั้น มือปริศนาที่เขาไม่ทันได้ใส่ใจสังเกตุให้ดี ก็โผล่เข้ามาในสายตาก่อน
“เอ้า นี่” เจ้าของมือปริศนาบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆไม่ทุกข์ร้อน
“อาๆ ขอบใจน---- เหวออ ! อานิจะ!?”
ตอนที่เอื้อมมือไปรับผ้าจากในมืออีกฝ่าย เขาเพิ่งได้สังเกตุว่าคนที่ยื่นไม้เเขนเสื้อให้ตนเองนั้นเป็นใคร
เเย่จริงๆ ทำไมเราถึงได้ไม่รู้ว่านี่คืออานิจะนะ
ฮิสะมารุเริ่มกล่าวโทษตัวเองในใจ
ด้านฝ่ายฮิเกะคิริก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขามองสีหน้าน้องชายด้วยความสนอกสนใจ เเล้วยิ้มออกมาบางๆ
“นี่ ! พวกเจ้าสองคนน่ะ จะจ้องหน้ากันเเบบนั้นอีกนานไหม !”
เสียงบ่นระงมว่าเปียกหมดเลย กับเมื่อไหร่ฝนจะหยุดนะดังระงมคลอกับเสียงฝนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะซาลง
อานิจะบอกเขาว่าช่วงบ่ายๆออกมานั่งเล่นกับพวกคนอื่นๆในฮงมารุ ตอนเเรกทุกๆคนคุยกันอย่างสนุกสนานดีหรอก เเต่เเล้วจู่ๆพอฟ้าผ่าดังเปรี้ยงเเล้วฝนตกลงมาเท่านั้นเเล่ะ คนที่นั่งเล่นด้วยกันอยู่บางคนก็วิ่งออกจากห้องไป ด้วยความสงสัยเเล้วก็คิดว่าต้องมีอะไรน่าสนุกเเน่ๆเลยตามเขาไปด้วย
ผลสุดท้ายก็เลยเป็นเเบบที่เขาเจอไปนั่นเเล่ะ
“เเย่เลยเเฮะเเบบนี้” คะเซ็นบ่น “เล่นตกลงมาเเบบนี้ทุกวันข้าเองก็ลำบากเหมือนกันนะ” เจ้าตัวพูดพลางมองฝนที่ตกอยู่นอกชานเรือนด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ทำไมล่ะ?” ฮิเกะคิริหันไปถามด้วยความสงสัย (ที่ไม่รู้ว่าจงใจเเกล้งหรือไม่รู้จริงๆ)
“ก็จะไม่มีเสื้อผ้าใส่เอาน่ะสิ” คะเซ็นหันมาตอบพร้อมทำหน้ายู่เล็กน้อย ท่าทางตอนพูดเหมือนกับผู้ปกครองไม่มีผิด
ในตอนที่ฮิเกะคิริเเสดงสีหน้าประหลาดใจประมาณว่า งั้นเหรอเนี่ย พร้อมกับทำตาเป็นประกายไปด้วย ฝ่ายน้องชายก็พูดเสริม
ด้านพี่ชายที่ได้ฟังก็หันไปมองน้องชายตัวเองที่กำลังทำสีหน้าลำบากใจ เขาเอียงคอลงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาเเล้วพูดขึ้นว่า
“เเต่ตอนกลางคืนเจ้าก็ไม่ได้ใส่อะไรอยู่เเล้วไม่ใช่เหรอ น้องชาย?”
ได้ยินเท่านั้นเเล่ะคะเซ็นที่อยู่วงสนทนาด้วยหน้าเเดงก่ำเเล้วพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวเถอะ พูดอะไรของเจ้าเนี่ย”
ชั่วจังหวะนั้นนอกจากเสียงฝนเเล้วก็ไม่มีเสียงอะไรเเทรกขึ้นมาอีก เพราะคนอื่นๆที่กำลังคุยกันอยู่นั้นจู่ๆก็พร้อมใจกับเงียบเสียงลง เเละหันมามองพวกเขาอย่างพร้อมเพรียงพร้อมด้วยสีหน้าล้อเลียน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in