สวัสดี...เธอ (หรือตัวฉันเมื่อสัก 5-10 ปีที่แล้ว) เธอเป็นเหมือนคนที่ฉันควรจะรู้จักและเข้าอกเข้าใจมากที่สุดรึเปล่า แต่สารภาพตามตรงฉันคิดว่าฉันไม่ได้รู้จักเข้าอกเข้าใจเธอขนาดนั้นหรอก เราเป็นใครกันที่จะเที่ยวไปรู้จักเข้าอกเข้าใจใครต่อใครร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างที่ฟรอยด์เที่ยวพร่ำบอกถึงจิตใจใฝ่ต่ำที่คนเราฝังมันไว้ภายในจิตใต้สำนึกที่รอวันจะปะทุออกมานั่นล่ะ อะไรนะ ! เธอมองว่ามันไร้สาระใช่ไหม ฉันก็มองว่าตาฟรอย์นี่มีความคิดแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ช่างเขาเถอะ มาพูดเรื่องของเราดีกว่า
ฉันเริ่มจะลืม ๆ ไปแล้วความคิด/ความรู้สึกตอนเป็นนั้นเป็นอย่างไร ช่วงที่ก้าวออกจากโลกโรงเรียนประถมเล็ก ๆ ไปสู่โลกที่กว้างขึ้น (อีกนิด) ใช้เวลา 6 ปีเต็มที่นั่น คิดว่าตัวเองรู้ไปหมดทุกอย่าง ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้อะไรเลย คิดว่าตัวเองช่างเฉลียวฉลาด ดีเลิศกว่าคนอื่น ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่เด็กจองหองอวดดีโง่งมคนหนึ่ง คิดว่าตัวเองรู้ดีไปหมดทุกอย่างและแทบรอไม่ได้ที่จะออกไปจากโรงเรียนมัธยมอันคับแคบนั่นแล้วสุดท้ายก็โดนความจองหองอวดดีของตัวเองหล่นลงมาทับจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แหมฉันสมน้ำหน้าเธออย่างจริงใจเลยล่ะ
แต่ฉันยังจำช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นได้ดี ก็แหม มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตอันเล็กกระจ้อยร่อย ใครบ้างจะลืม บรรยายกาศปีสุดท้ายของชีวิตในโรงเรียน มีทั้งสุขทั้งเศร้าเคล้ากันไป ฉันยังจำได้ถึความกดดัน ควาามกังวล ความลังเลสับสนกับอนาคตที่จะต้องเลือกเดิน ยังจำกันได้ไหมกับคำถามที่เราถูกถามกันมาเป็นร้อย ๆ ครั้งตั้งแต่จำความได้คำถามที่ว่า " โตขึ้นอยากเป็นอะไร ? "เธอไม่เคยมีคำตอบที่แน่นอนให้กับคำถามนั้น เธอและฉันรู้ดี มองย้อนไปคำตอบของเธอเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามเวลาที่ไหลผ่าน
เธอ(เคย)อยากเป็น "ครู" เพราะนั่นเป็นอาชีพแรกที่เธอรู้จัก พ่อแม่น้าอาเป็นครู ครูที่โรงเรียนก็เป็นครู เธอก็อยากจะเป็นครูกับเขาบ้าง เธอ(เคย)อยากเป็น "นักวิทยาศาสตร์" เพราะวิชาวิทยาศาสตร์สมัยประถมนั้นช่างสนุกสนานมีแต่เรื่องน่าตื่นเต้น เธอ(เคย)อยากเป็น "หมอ" เพราะใคร ๆ ก็ต่างคาดหวังอยากให้เธอเป็นเธอ(เคย)อยากเป็น "เจ้าหน้าที่ป่าไม้" เพราะเธอรักต้นไม้รักธรรมชาติมากกว่ารักมนุษย์อยู่หลายขุม เธอ(เคย)อยากไป "บวชชี" เพราะเธอซาบซึ้งในรสพระธรรมและมองว่าโลกนี้มันช่างไร้แก่นสาน เธอ(เคย)อยากเป็น "นักเขียน/นักแปล" เพราะเธอหลงรักความงามของภาษาและเรื่องราว
แต่ยิ่งเติบโตขึ้นชีวิตก็ยิ่งดึงเธอให้ห่างจากความเพ้อฝัน ชีวิตหระชากเธอออกมา ตบหัวเธอซ้ำ ให้เธอหันกลับมามองความจริงทีละเล็กทีละน้อย ยิ่งเติบโตเธอก็ยิ่งค้นพบว่า... "ครู" เป็นอาชีพสุดท้ายที่เธออยากจะเป็นเพราะเธอเห็นเรื่องราวที่คนเป็นครูต้องเจอมามากพอกับชีวิตในโรงเรียน "นักวิทยาศาสตร์" เป็นอาชีพสุดท้ายที่เธออยากจะเป็นเพราะเธอได้เจอกับฟิสิกส์/เคมี/ชีวะตอนมอปลาย "หมอ" เป็นอาชีพสุดท้ายที่เธออยากจะเป็นเพราะเธอไม่ถูกโรคกับเลือดนัก(และสติปัญญาเธอก็ไม่ถึงขั้นด้วย) "เจ้าหน้าที่ป่าไม้" เป็นอาชีพสุดท้ายที่เธออยากจะเป็นเพราะเธอรักความสบายมากเกินไป "บวชชี"เป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอจะทำเพราะเธอยังไม่อยากละวางกิเลสอันแสนหอมหวาน "นักเขียน/นักแปล" เป็นอาชีพสุดท้ายที่เธออยากจะเป็นเพราะเธอได้ยินมาว่านักเขียนนั้นไส้แห้งและมักจะจบลงด้วยการเป็นบ้าเพราะคิดมากเกินไปมิใช่หรือ
สุดท้ายแล้วมันก็เป็นอีกคำถามที่เราไม่มีคำตอบ และถ้ามันจะทำให้เธอสบายใจขึ้นบ้างฉันก็อยากจะปลอบใจเธอว่าแล้วในวันหนึ่งผู้คนก็จะหยุดถามคำถามนั่นไปเอง ไม่ใช่เพราะเราจะค้นหาตัวเองเจอ (ไม่ ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่ค้นหาตัวเองเจอ) แต่ผู้คนที่หยุดถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรเพราะเราโตขึ้นแล้วต่างหาก ใช่ เธอจะเดินไปถึงจุดที่ผู้ขึ้นเลิกถามคำถามโง่ ๆ นั้นกับเธอ เพราะว่าจะมีจุดหนึ่งที่เธอจะตระหนักว่าเราต้องโตขึ้นแล้ว เราต้องตัดสินใจแล้ว เวลาเปลี่ยนคำตอบเหลือน้อยลงทุกที (แม้ว่าลึก ๆ ข้างในเธอจะไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังทำบ้าอะไรอยู่) เธออาจโชคดีได้ดิบได้ดีมีความสุขกับสิ่งที่เธอเลือก เธออาจโชคร้ายทุกข์ทรมาณเหมือนตกนรกทั้งเป็นกับสิ่งที่เธอเลือก แต่นั่นแหละชีวิต c'est la vie นั่นแหละสิ่งที่เธอต้องเผชิญ นั่นแหละสิ่งที่เธอต้องเรียนรู้ ถ้าเธอทนได้เธอก็จะผ่านมันไป ถ้าเธออ่อนแอเธอก็พ่ายแพ้ไป (โลกมันไม่ได้กว้างขนาดมีที่ให้คนอ่อนแอยืนว่ะ ศาสดาดาร์วินก็บอกไว้) แล้วทุกอย่างจะผ่านไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in