เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา มีงานประกวดลิเกค่ะ ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม งานประกวดนี้เป็นหนึ่งในการประกวดการแสดงและดนตรีพื้นบ้านสี่ภาค (ของภาคอื่นก็จะเป็นโนรา หมอลำ ฯลฯ ของเขาไป) เห็นว่าชิงถ้วยสมเด็จพระเทพฯ งานในวันนี้จะคัดเหลือ 3 คณะไปเวิร์คช็อปแล้วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในลำดับถัดไป
การประกวดครั้งนี้มีลิเกประกวด 5 คณะ และมีลิเกคณะดังมาปล่อยของอีกประมาณ 6 คณะได้ วันนี้เลยดูลิเกตาแฉะตั้งแต่สิบโมงครึ่งจนถึงสองทุ่มกว่าค่ะ คือตายมาก ตายสุดๆ งานการไม่ได้อะไรเลยแต่ฟินตัวแตก
สำหรับเกณฑ์ประกวดลิเกเท่าที่ทราบมาคือต้องแสดงให้จบภายใน 1 ชั่วโมง/ร้องรำให้ตามขนบ/ไม่ใช้เพลงลูกทุ่ง น่าจะประมาณนี้ค่ะ ซึ่งหลายครั้งการประกวดลิเกก็มีหลายคณะที่ไม่นิยมเข้าร่วม เนื่องจากการแสดงก็มีต้นทุน สู้ไปงานตามเจ้าภาพจ้างอาจดีกว่ามาประกวดเอาเงินรางวัลแบบนี้ไม่คุ้ม ฯลฯ หรือหลายคณะก็ดังในทางของเขาอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องประกวด ก็ว่ากันไปแล้วแต่แนวทางของแต่ละคณะค่ะ และเท่าที่ทราบมา ตอนประกวดลิเกสมัยนู้นๆ ก็มีดราม่า ทำไมคณะนี้ได้ ทำไมคณะผมไม่ได้ ฯลฯ ไต่ถามครูและนักแสดงลิเกใกล้ตัวหลายท่านได้ความตรงกันว่า หลายคณะก็ถือว่าตนเอง "หนึ่งในตองอู" ค่ะ 555 อันนี้เข้าใจได้ อีโก้ศิลปินมีอยู่กันทุกวงการเนอะ
และทั้งหมดนี้คือความเห็นคร่าวๆ ของเราต่อการประกวดลิเกค่ะ
1. ดูลิเกไป 10 คณะ มีบางคณะดูไม่ครบเรื่องเพราะปวดหู/ออกไปหาอะไรกิน/ยืดเส้นเพราะปวดหลัง นอกจากนี้เวลาลิเกหวีดใส่ไมค์คือปวดหูมาก เหมือนไม่โปรเจคเสียงอ่ะ5555
คือควรนับว่าเสียงลิเกและปี่พาทย์เป็นมลพิษทางเสียงเมื่อนั่งฟังนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป 55555 ไม่เคยดูลิเกยาวๆ มาก่อนค่ะ คือภาวะแบบมนุษย์เข้าผับเสียงดังๆ ตึงๆ บีทๆ อ่ะ แค่ลิเกกระทืบเท้าบนเวทีก็กระเทือนมาถึงคนดูละ ปกติดูลิเกไม่เกิน 3-4 ชั่วโมงนะคะ ถ้าเป็นงานกลางคืน (อีขวัญดู 2 ชั่วโมงก็อิ่มละค่ะ ในกรณีเล่นไม่ยืด ส่วนกรณีเล่นยืด ชั่วโมงเดียวก็ลุกละ : P )
3. ว่าด้วยพล็อตลิเกที่เอามาแสดง มีทั้ง Sexual harrasment (โกงปล้ำนาง) / racist (ไอ้พวกขะแมร์ -ไอ้พวกพม่ารามัญ เล่นลิเกทำนองพม่าตีไทย และเขมรตีสุโขทัย) ยังมีอยู่บนเวทีลิเกโดยครบถ้วน เรานึกไปถึงแรงงานพม่าแรงงานเขมรว่ะ รู้ว่าเป็นขนบลิเกที่ต้องผูกโยงกับชาตินิยม แต่เลิกได้แล้วป่ะวะ เราเห็นซอมบี้เต็มเมืองเลย หลายเคสด้วย ขี้เกียจโยง แต่เอาเป็นว่าให้นึกถึงสไตล์ละครหลวงวิจิตรวาทการอะค่ะ ขนาดชื่อในลิเกยังใช้ไอ้แก้ว ไอ้ขวัญ ไอ้มั่น ไอ้คงเลยค่ะ คือพอได้มั้ยอ่า เราเบื่อ 5555
4. และแน่นอนธีมนี้ต้องมา "รักชาติยิ่งชีพ" รักยิ่งกว่าเมียและเพื่อนมนุษย์ ได้กลิ่นอายหลวงวิจิตรวาทการมากขึ้นทุกที เห้ยเลิกได้แล้วเหอะ เราขอ T T จากใจคนดูลิเกและคุ้นชินกับอะไรแบบนี้ เทียบกับสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันแล้วขำไม่ออกเลยนะ มันไม่ใช่ยุคมาปลุกความรักชาติแล้วนะ เราไม่ต้องไปสงครามกับใครแล้วเข้าใจม้าย T T ตอนนี้เราควรตระหนักเรื่องการซ้อมทรมานผู้ต้องขังหรือลอยเรือโรฮิงญาหรือความหลากหลายทางเพศและการเคารพสิทธิมนุษยชนแล้ว (มึงไปไกลมากอีขวัญ...)
5. แต่ก็ว่าเขาไม่ได้อ่ะ นี่ขนบลิเก 5555 แต่เราเห็นโทษของการผลิตซ้ำไง ข่มขืนต้องประหาร ไล่แรงงานพม่ากลับประเทศ หรือบางคนเอาชาติมาโหนกันหน้าด้านๆ เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ขอโทษนะเราไม่โอเคกับคอนเทนต์ และตอนนี้ดูลิเกไม่สนุกเพราะพวกคุณผลิตอะไรแบบนี้กันซ้ำๆ อ่ะ
6. ขอโทษจริงๆ เราเป็นคนดูลิเกที่คิดมาก คิดมากแล้วเสือกไม่ให้มาลัยอีก เราขอโทษ555 แต่เราซื้อซีดีลิเกนะ ตั๋วดูลิเกเราก็ซื้อ อันนี้นับได้มะ
7. ในแง่ขนบการแสดงทุกคณะทำครบหมด (แน่นอน ลิเกประกวด) แต่หลายคณะลืมหัวใจของการแสดงลิเกไปสองอย่างคือแสดงทันใจและแสดงขบขัน เรารู้สึกว่าปริมาณน้อยกว่าซีนดราม่า เฝี้ยงของกันกระจุยกระจาย เล่นเรียลใช้เลือดปลอมกระจายเต็มเวที โกรธเบอร์สิบ น้ำหูน้ำตานอง โอ๊ย ปวดหู จะหวีดอะไรกันเบอร์นั้น ไม่ได้เล่นบนเวทีกลางแจ้งตอนกลางคืน เล่นในห้างก็เบาๆ ลงมาหน่อยเท้อออ T T
8. แล้วเล่นดราม่ากันเยอะด้วยอ่ะ เดาว่าเพราะประกวดเลนปล่อยกันเต็ม และคิดว่าทางดราม่าน่าจะเล่นยากกว่าอะไรงี้ แต่เราว่าหลายซีนมันย้วย น่าเบื่อ และกลอนร้องบางทียืดยาด เล่นเสียง ลงไม่ตรงจังหวะ บางคณะเราไม่สนุกเพราะดูไปเครียดไปอ่ะ 5555 กว่าจะฆ่า กว่าจะลงดาบ สะอื้นแล้วสะอื้นอีก มันหน่วงย้วยไม่ฉึบฉับ
9. พูดแล้วจะหาว่าเชียร์คนกันเอง (มีรูปถ่ายด้วย ลำเอียงสุดด) มีลิเกที่เรารู้จักคือลิเกอีสาวอินดี้ หนูตรี-ชโลมจิต ชนะใจ (หลายคนอาจเห็นนางออกรายการร้องได้ให้ล้านนะคะ) คือขอชมลิเกพี่หนูตรีเป็นพิเศษ พี่ตรีแสดงเรื่องนางสิบสองตอนอุบายนางมารที่แปลงบทจากพี่ตั้ว-ประดิษฐ ประสาททองที่เคยเล่นเป็นละครชาตรีในงานเทศกาลละครกรุงเทพฯ เมื่อปีก่อน พอมาดัดเป็นลิเกแล้วรู้สึกสนุกมาก คือนางเล่นน้อยได้มาก บทเจรจาเอาไปเต็มสิบ คือเราไม่ค่อยเห็นบทเจรจาดีๆ จากคณะอื่นๆ ที่มันให้อารมณ์ตลก ขำ ดำเนินเรื่องได้ในทีเดียว กลอนที่ร้องก็เดาไม่ได้ว่าลงอะไร เช่น กลอนนางยักษ์สนธีอ้อนท้าวรถสิทธิ์ประมาณว่าป่วยมาก จะให้รถเสนไปเอามะม่วงหาวมะนาวโห่ให้ คือวกไปปวดนั่นนี่ แล้วลงท้ายว่าปวดตาปลา คือชอบ คือขำแรง และใช้เพลงสองชั้นได้ฟังเพลินๆ
ที่ชอบสุดคือการฟีเจอริ่งครอสโอเวอร์ของนางสนธี เช่นบอกวันทองเป็นเพื่อนแม่ ห้ามเปิดสารอ่านกลางทางเพราะมึงจะเจอโมราพาผัวโจรป่ามาฆ่าแบบจันทโครพ 5555 เล่นไม่กี่ซีนแต่สัมผัสได้ว่าคนดูชอบมากค่ะ และชอบความพยายามสืบทอดการแต่งลิเกทรงเครื่องแต่ไม่ใช้โลหะ ใช้วัสดุอื่น (จำไม่ได้แล้วว่าเรียกอะไร) แต่มันขึ้นมาก มันสวย ปัจจุบันนี้เครื่องลิเกที่เป็นโลหะมีร้านสืบทอดรับทำน้อยมาก เหมือนจะมีอยู่เจ้าเดียวคือบ้านเครื่องครูรัตน์ ดูภาพประกอบได้เลยค่ะ
ภาพจากเฟซบุคของพี่หนึ่ง- บุญสืบ พันธ์ประเสริฐค่ะ
ส่วนอันนี้ลิเกทรงเครื่องที่เล่นกันตอนนี้ จะเห็นว่าวัสดุต่างกัน
(ถ่ายคณะครูวิโรจน์ หลานหอมหวล 2 กรกฎาคม 59 และนี่คือครูรัตน์ เจ้าของบ้านเครื่องครูรัตน์ค่ะ)
10. มีลิเกเล่นวรรณคดีทางครูเป๊ะๆ รู้สึกจะเป็นลิเกจากนาฏศิลป์อ่างทอง เล่นขุนช้างขุนแผนแต่งชุดพันทาง (ชุดพันทางคือแต่งตามชนชาติ บทพม่าก็แต่งพม่าโพกหัว บทไทยก็นุ่งโจงทำผมมหาดไทย ฯลฯ) เป๊ะมากทั้งบททั้งรำทั้งทางเล่น มันดีในแง่การสืบทอดขนบ แต่เราว่าถ้ามาประกวด อยากให้เล่นอะไรสร้างสรรค์ๆ เข้ายุคสมัยมากกว่า (เอ้า อีเรื่องเยอะ) แต่ไม่ว่ากันฮะ เขาอาจถนัดทางนั้น ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะหาลิเกเล่นครบๆ แบบนี้อาจจะยากแล้วก็เป็นได้
จบวันดูลิเกมาราธอนด้วยความหิว ง่วง เหนื่อย ปวดหัว 5555 เห็นเราวิจารณ์ไฟแลบแบบนี้ ไม่รักไม่นั่งดูทั้งวันหรอกจะบอกให้ การลงลิเกภาคสนามหนนี้เนื่องจากปวดหลังจึงไม่ได้เก็บภาพถ่ายมามากนัก คือกล้องหนักมาก แต่ฟีลลิ่งในบทความนี้เราจัดเต็มค่ะ ยังอยากเห็นลิเกไทยพัฒนาไกลๆ ไปเรื่อยๆ ทันยุคทันสมัยอยู่นะคะ ทุกคณะก็สู้ๆ ค่ะ จากใจโอตาคุลิเก : P
เก็บตกหลังงาน: ประกาศผลแล้วคณะพี่ตรีได้รองชนะเลิศค่ะ ยินดีด้วยมาก เย้ๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in