เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
tarvelmathae
Once upon a time - กาลครั้งหนึ่ง...ฉันออกเดินทาง
  • เราพึงระลึกไว้เสมอว่าชีวิตนึงเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เราจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ทั้งเรื่องดีและไม่ดีเข้ามาในชีวิตมากมาย หลายครั้งที่เราหยุดนิ่งเพื่อรอให้เรื่องราวเหล่านั้นผ่านเข้ามาเฉย ๆ แต่ครั้งนี้เรากลับอยากทำอะไรที่แตกต่างดูบ้าง อยากลองพาชีวิตวิ่งเข้าหาเรื่องราวใหม่ ๆ ประสบการณ์ ความรู้สึก การก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปกับการออกเดินทางครั้งนี้ 

    ให้เป็นไดอารี่หน้าใหม่บันทึกเก็บเอาไว้ในความทรงจำว่า "ครั้งหนึ่งเราก็ได้เคยทำอะไรแบบนี้เหมือนกันนะ"

    มหาสารคาม - แม่ฮ่องสอน 5 วัน 4 คืน 

    ปางอุ๋งไปถึงปาย

    Day - 1 ออกจากจุดรวมตัว
    การเดินทางแสนยาวนานเริ่มต้นขึ้น 19.30น. ของวันที่ 12 พ.ย ออกเดินทางไปกับเพื่อนร่วมทางอีกหลายชีวิต กว่า 20 ชั่วโมงบนรถตู้ ว่ากันตามตรงก็นอนมาตลอดทางนั่นแหละ ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า การนอนจะช่วยย่นระยะทางลงไปได้เหมือนกับเวลาที่เราเหนื่อยล้า ก็แค่นอนหลับ เช้าวันใหม่ที่มาถึงทุกความเหนื่อยนั้นจะจางหายไปเอง

    เวลานั้นผ่านไปไวเสมอยามที่เราหลับตาลง...

    Day - 2 เช้านี้ที่เหนือ
    ใช้เวลาอยู่บนรถหนึ่งคืน หลับ ๆ ตื่น ๆ จนเช้านี้ก็ใกล้ความจริงเข้าไปทุกที
    ระหว่างทางแวะพักที่ปั๊มมองออกไปเห็นแก๊งนี้ ใครแต่งตัวผิดสีสุดไม่ต้องเดา แต่มันเป็นความน่ารักทีี่อดไม่ได้ที่จะแอบแชะภาพมา

    หลับไปอีกสักพักก็ถึงจุดแวะทานข้าวกับโอเค มาร์ท 

    ข้าวขาหมู 50 บาท
    ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากกว่าอาหารก็แมวนี่แหละ เสียงสองเรียกน้องกันสุดฤทธิ์ แมวเจ้ากรรมก็รู้หน้าที่ดีนั่งนิ่งให้ถ่ายเชียว

    นั่งรถผ่านหลายร้อยโค้ง หลับแล้วหลับอีก ข้าวขาหมูที่กินเข้าไปก็อยากจะออกมาสูดอากาศภายนอก และสำหรับคนที่เมารถเป็นชีวิตจิตใจแล้วล่ะก็ ไม่แนะนำจริง ๆ หรือถ้าอยากมาสัมผัสกับโค้งหลาย ๆ ร้อยนี้ ขอให้กินยาแก้เมารถมาเลยสักแผง (ล้อเล่น) เพราะขนาดเราไม่ใช่คนเมารถยังเกือบเอาชีวิตไม่รอดเลย 
    คันหน้าสู้ ๆ แต่ถ้าคันหลังก็เกาเด้อ

    หลับตานั่งนึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่ ถามตัวเองประมาณพันรอบว่าเราจำเป็นต้องเอาชีวิตมาลำบากแบบนี้ไหม แต่ก็ตอบตัวเองไปทุกรอบว่า "ก็นี่ไง ความรู้สึกใหม่ ๆ ที่อยากสัมผัส" ก็เอ้อ..ปลงและทนต่อไป เพราะเชื่อว่าจุดหมายปลายทางมันคุ้มค่า ยังไม่ทันจะถามตัวเองอีกครั้ง ก็เดินทางมาถึงสถานที่แรก จำได้ว่าหาข้อมูลเอาไว้ด้วยกับ 'สะพานประวัติศาสตร์ปาย'
    มุมคลาสสิคมาถึงต้องถ่าย แต่กว่าคนจะโล่งขนาดนี้ก็ปาดเหงื่อไปหลายรอบอยู่
    ข้าง ๆ สะพานปาย แต่คนข้างกายเรานั้นไม่มีจ้า

    แวะถ่ายรูปที่สะพานประวัติศาสตร์ปายเรียบร้อย บอกตามตรงเลยว่า...ร้อนมากกกกกกกก แบบว่าร้อนจริง ๆ มาเหนือไม่หนาว แอร์บนรถตู้ยังหนาวกว่าเลย เพราะ

    ประเทศไทยก็มีแค่ฤดูเดียว คือ ฤดูร้อนนั่นเอง

    go go ออกเดินทางสู่ปางอุ๋ง! จริง ๆ ซะที ระหว่างสองข้างทางเต็มไปด้วยดอกบัวตองสีเหลือง เป็นโชคดีที่เรามาช่วงที่มันผลิบานเต็มสองข้างทาง แต่ระหว่างทางเรียกได้ว่าสภาวะอากาศแปรปรวนสุด เดี๋ยวฝน เดี๋ยวแดดออก และที่มาควบคู่กันเลยก็คือโค้ง โค้งอีกหลายร้อย บอกเลยว่าขนาดหลับยังรู้สึกว่าตัวเองเอนไปมาได้เลย 

    เราใช้ระยะเวลาเกือบสักพักใหญ่จากกำหนดการที่จะถึงปางอุ๋งคือ 11โมง แต่11โมงไม่มีอยู่จริง บนโลกนี้ มาถึงปางอุ๋งก็นู้นบ่ายสามเกือบบ่ายสี่ระหว่างทางคือสูงมาก มองออกไปคือเสียว อันนี้แนะนำมวนท้องดี สารภาพเลยว่ารูปปางอุ๋งตอนไปถึงนั้นแทบไม่มีเลย มันค่อนข้างจะเย็นรวมไปถึงต้องกางเตนท์ หาข้าว อาบน้ำ บลา ๆ 

    แต่สิ่งหนึ่งที่ประทับใจมาก คือ ปางอุ๋งหนาวมากกกกกกก นี่แหละความหนาวที่อยากสัมผัส การนอนเตนท์เป็นครั้งที่สองของชีวิตครั้งนี้ได้ นอนเบียดกับเพื่อนถึงไม่อุ่นกายแต่อุ่นใจ
    มาทันตอนเขาล่องแพกันพอดี แพนี้ 150 บาท
    ไม่ต้องกลัวจะหิว เพราะบนนี้มีร้านค้าเล็ก ๆ รวมไปถึงชาร์จแบตต่าง ๆ ให้ด้วย ราคาก็ 20-40บาท 
    ไม่ต้องกลัวแบตหมดจ้า

    Day - 3 เช้านี้ที่ปางอุ๋ง - ไล่ลงไปรักษ์ไทย - แวะไปซูตองเป้
    ปางอุ๋งยามเช้า เช้ามาก ตีสี่...หนาวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด สุดจริงอะไรจริง ก้าวออกจากเตนท์เหมือนโดนแช่แข็ง หวังจะตื่นมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น แต่ลืมไปว่าถึงพระอาทิตย์จะขึ้นแต่เรานั้นอยู่กลางหุบเขา รายล้อมด้วยต้นสนสูง ยามเช้ากิจวัตรของที่นี่นส่วนใหญ่แล้วเราจะตักบาตรโดยจะมีพระยืนรอและชาวบ้านจะขายของไว้สำหรับใส่ เช้านี้ได้วิวปางอุ๋งมาแบบที่เขารีวิวกันเป๊ะ หงษ์คู่ (ที่ตัวสีดำมันไม่ยอมออกมา) ป่าสนอันเลื่องลือ ครบเซ็ทปิดจ๊อบปางอุ๋งแบบอุ๋ง ๆ อึน ๆ
    เบื้องหลังความดีกับร้านขายของใส่บาตรชุดละ 40 บาท อิ่มบุญกันถ้วนหน้า
    แสงแห่งธรรมแบบเบลอ ๆ เพราะมือไม่นิ่ง
    ล่องแพกันแต่เช้าเชียว
    ห่านดินกินหญ้า หงษ์ฟ้ากว่าจะมารอนานจริง ๆ
    ต้นสนอลม่าน ยืนเล็งตั้งนานกว่าจะได้มุมนี้
    สุดสายตา ณ ปางอุ๋ง ขอบคุณสำหรับอากาศดี ๆ และความรู้สึกแปลกใหม่เยอะแยะกลับไป

    เดินทางจากปางอุ๋งเพื่อแวะหมู่บ้านรักษ์ไทย ป้ายบอกทางคืออีก 6 กิโลเมตร แต่ 6 กิโลเมตรบนเขานั้นคือชาตินึง โค้งวนไปสักพักนึงก็มาถึงหมู่บ้านรักษ์ไทยที่เต็มไปด้วยชาฟรีให้ชิมทุกร้าน กลิ่นหอมของชาแตะจมูกทันทีที่ก้าวขาลงจากรถ เราจะพบร้านขายของฝากหลายสิบร้านและทุกร้านจะให้ชิมฟรี บ๊วยอร่อยมากจนต้องซื้อติดมือกลับมา หมู่บ้านก็สวยสมกับการนั่งรถลงมาจริง ๆ 
    สุดความสามารถกับการถ่ายหมู่บ้าน ถ้ามากกว่านี้ต้องลงไปในน้ำแล้ว
    รีสอร์ทด้านบน
    ชงชาแต่ไม่ชัก เพราะคือชาธรรมดาไม่ใช่ชาชัก

    ถัดจากหมู่บ้านรักษ์ไทยก่อนจะย้อนไปปาย แวะถ่ายสะพานไม้ซูตองเป้ ณ วัดพระธาตุดอยกองมู (อย่าลืมพกร่มติดไปด้วยนะ) เพราะอากาศร้อนม๊าก เหมือนเดินอยู่บนสะพานที่รอบข้างมีแต่เปลวไฟ แต่ต้องยอมรับว่าสวยจริง ๆ สะพานที่เกิดจากความศรัทธาและการร่วมแรงร่วมใจกันของชาวบ้านและพระภิกษุสงฆ์
    ระหว่างทางเดินลงไปสะพานไม้ไผ่ซูตองเป้ ธงชาติไทยเด่นชัดทุกพื้นที่
    กว่าจะเป็นซูตองเป้นั้นผ่านอะไรมาเยอะเชียว
    พลังของศรัทธาทอดยาวสุดสายตา

    ขอย้ำว่ารีวิวนี้นอนบนรถมาซะส่วนใหญ่เพราะเผลอแปบ ๆ ก็ถึงที่หมายกับปายในฝัน ที่พักติดแม่น้ำสะดวกสะบายใกล้ถนนคนเดิน เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันจึงได้พาร่างอันอ่อนแรงไปหาอะไรกินและเดินชิว ๆ ที่ถนนคนเดินที่เปิดทุกวันตั้งแต่ 16.00-22.00น. ขอบอกเลยว่าฝรั่งเยอะมาก อาจจะเพราะปายเป็นเมืองเล็ก ๆ ง่ายแก่การเดินทางเที่ยวภายในอำเภอ อิสระเสรีกับเมืองปายยามค่ำคืน ผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติเดินสวนกันไปมา
    อันนี้เรียกอะไรไม่รู้ แต่เดินไปเจอแล้วสวยเลยขอแวะเก็บภาพสักหน่อย
    ชอบร้านหนังสืออันนี้มาก เพราะอยู่ท่ามกบางร้าน บาร์ ต่าง ๆ เป็นความลงตัวอย่างประหลาด
    จบคืนนี้ด้วยความหวังที่ว่า 'คืนนี้จะไม่ฝันร้าย' กับตะข่ายดักฝัน

    Day - 4 ปล่อยฟรีที่ปาย (หมู่บ้านสันติชล,วนไปหยุนไหล,แวะกองแลน,แว๊นไปน้ำพุร้อน)
    เริ่มเช้าวันใหม่ที่ปาย ทานอาหารเช้าและออกเดินทางตอน 10 โมง วันนี้เราเป็นอิสระอยากไปไหนก็ได้ตามสบาย แรกเริ่มเลยก็เดินไปถนนคนเดินเมื่อคืนก่อนเพื่อเช้ามอเตอร์ไซค์ 200 บาท (อันนี้ขึ้นอยู่กับรถที่เราเลือกด้วย) ครั้งแรกกับการขี่รถขึ้นเขา สนุกมากและหวาดเสียวสุด ๆ ถ้าใครมาปายต้องลองสักครั้งกับการขี่รถรอบเมือง
    หมู่บ้านสันติชน พกร่มมาด้วยนะเพราะร้อนมาก
    บังเอิญเจอนายแบบ
    หมู่บ้านสันติชนร้อนจนม้ายังต้องแกล้งตาย

    ขับเลยขึ้นมาจากหมู่บ้านสันติชนก็จุดชมวิวหยุนไหล ขอบอกเลยว่าทางขึ้นสนุกมาก ชันมาก และค่อนข้างอันตราย ระมัดดระวังกันด้วยนะถ้าใครมีโอกาสได้มา แต่มันคุ้มค่ากับวิวที่ได้เห็นจริง ๆ อย่าลืมเตรียมเงิน 20 บาทเป็นค่าบำรุงสถานที่ด้วยนะถือซะว่าจ่ายค่าความงามของธรรมชาติที่เราจะได้เห็นกันเนอะ
    วิวสวยจริง ๆ แต่รูปเราไม่สวยเอง แนะนำว่าไปดูด้วยตาตัวเองกันเถอะเนอะๆ
    ต้นไม้แห่งความรักผูกหัวใจ คนโสดไม่ต้องกังวลเพราะก็ผูกได้เหมือนกัน 
    เราก็มีความรักให้กับพ่อแม่และเพื่อนไง
    มุมคลาสสิคต้องถ่ายมากลัวเขาหาว่ามาไม่ถึงหยุนไหล

    ย้ายจากหยุนไหลไปกองแลน ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ทางขึ้นไกลมาก แนะนำสำหรับคนที่ไม่ค่อยออกกำลังให้เตรียมใจไว้เลยว่ามันทรหดและชันจริง ๆ อีกอย่างเตรียมน้ำขึิ้นมาด้วยนะเพราะด้านบนร้อนมากและคิดว่าทุกคนคงต้องเหนื่อยแน่นอน ขึ้นมาถึงก็จะพบกับความหวาดเสียวสมคำร่ำลือ เดินกันอย่างระมัดระวังด้วยนะ 
    สวยและเสียว
    ใกล้กว่านี้ไม่ได้จริง ๆ หัวใจมันอ้อนแอ

    จุดสุดท้ายน้ำพุร้อนร้อนไหมไม่รู้ แต่อากาศร้อนมาก ย้ำมาตลอดทริปจริง ๆ เพราะมันร้อนจนผิวจะไหม้ แต่อากาศกลางคืนเย็นกำลังดีเลย น้ำพุร้อนที่เดินเข้ามาจะพบกับฝรั่งมากมายที่มาแช่กัน อย่าตกใจล่ะเรายังอยู่เมืองไทยแหละจ้า
    ร้อนจนต้มไข่ได้เลย แต่อันนี้ไข่คนอื่นเขาไม่ใช่ไข่เรา
    ควันจาง ๆ แต่น้ำร้อนจนไข่สุก

    จบวันที่ 4 วนกลับมาที่ถนนคนเดิมอีกครั้ง วันสุดท้ายของการอยู่ที่ปายและเตรียมกลับไปสู่โลกความจริง เหมือนชื่อที่พักของเรา ปายในฝัน ฝันนี้จวนถึงเวลาที่ต้องตื่นแล้ว...
    ท่ามกลางคนเดินผ่านไปมา แต่คุณตายังคงอยู่กับหนังสือพิมพ์ตรงหน้า
    เพราะเป็นวันธรรมดาร้านด้านข้างถึงปิดกันหมด
    คนที่กำลังตั้งใจทำอะไรสักอย่างมักมีสเน่ห์เสมอ
    คุมโทน
    ฝากท้องคืนสุดท้ายไว้ที่นี่
    และซุปเปอร์คุณป้าเจ้าของร้านผู้ที่พูดประโยคเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ไม่มีเหนื่อย

    Day - 5 วันสุดท้ายปายในฝัน
    ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาไม่นานนี้เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำที่ดีที่สุด การพาตัวเองมาเจอกับอะไรใหม่ ๆ ประสบการณ์ ความรู้สึกแปลกใหม่ เราได้เห็นชีวิตผู้คนที่แตกต่างทางวัฒธรรม สถานที่สวย ๆ มันช่วยผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยที่ผ่านมาได้ดีมาก ๆ เราได้พบผู้คนที่แตกต่างและพร้อมมอบรอยยิ้มให้เรา เพียงเพราะเรามาเยือนยังบ้านของเขา สถานที่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติกับอากาศดี ๆ ที่นานครั้งจะได้สูดหายใจได้เต็มปอด อุปสรรคระหว่างทาง เมื่อยจากการนั่งรถบ้างหรือเมาโค้ง และอากาศที่ร้อนแทบจะตลอดเวลา ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งคุ้มค่าเมื่อได้มาเยือน 

    หวังว่าจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้อีกครั้ง 

    อย่ากลัวที่จะพาตัวเองออกไปพบเจอเรื่องราวใหม่ ๆ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีอะไรรออยู่ มันอาจจะดีหรือไม่ดีแต่ก็เป็นสิ่งที่เราต้องพบเจออยู่แล้วในชีวิต ไม่มีอะไรจะดีสุดหรือแย่ที่สุดหรอก
    ออกไปเจออะไรใหม่ ๆ บ้าง มันอาจจะให้อะไรกลับมาอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
    :)

    ไปเถอะ...ออกไปเที่ยวกัน


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in