เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#wirunfica week before valentine
Spring Day (RoChan / SF9)
  • Rating: General Audiences

    Archive Warning (s) : None

    Fandom (s) : SF9

    Categories: M/M

    Relationship: Rowoon/Chani

    Characters: Rowoon, Chani, Hwiyoung, Taeyang, Inseong

    Additional Tags: AU ยุคโบราณ จินตนาการว่าเป็นซีรีส์ซากึก

    Credit: ภาพปกโดย Xianyu hao on Unsplash



    Work Title: Spring Day

    Notes: เหตุเกิดจากคลิปโรชานอันหนึ่งที่มีคนรีทวีตผ่านมา ดิฉันอยู่ไม่ได้ ดิฉันเลยต้องเปิดไฟล์ขึ้นมาเขียนฟิค เพราะมันคาใจ อยากทำอะไรสักอย่างกับภาพในหัว



    Disclaimer: บทความนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงแต่อย่างใด และไม่มีเจตนาสร้างความเสื่อมเสียแก่บุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงที่ถูกกล่าวถึงใด ๆ ทั้งสิ้น



    ––––––––––––––––––––


















    Spring Day

    Rowoon/Chani




















    ฤดูใบไม้ผลิปีนั้น ดอกพ็อดกทบานสะพรั่งทั่วทั้งเมืองหลวง ชาวบ้านแห่แหนกันออกมาปูเสื่อตามลานหน้าบ้านชมดอกไม้ราวกับมีงานเทศกาล ร้านรวงต่าง ๆ ตั้งแผงขายของกันอย่างรวดเร็วด้วยไม่อยากพลาดโอกาสทองที่จะกอบโกยรายได้นี้ไป นักดนตรีและกวีขับร้องเพลงอยู่กลางลาน รายล้อมด้วยชาวบ้านที่ปรบมือร้องรำทำเพลงไปด้วยกัน บรรยากาศคึกคักนั้นคล้ายว่าจะพัดไปตามลมจนถึงวังหลวง พาให้คนที่ชื่นชอบความสนุกสนานอย่างองค์ชายเล็กฮวียองอยากออกมาวิ่งเล่น

    “แต่พอข้าบอกแบบนั้น เสด็จพี่อินซองก็ห้ามเสียงหนักแน่นเลย” เจ้าตัวเล่าด้วยริมฝีปากที่ยื่นออกมานิด ๆ บ่งบอกอาการงอนพี่ใหญ่ของตนอย่างหนัก “ทั้งที่แค่ออกไปลานหน้าวังแค่นี้เอง เดินจากตำหนักท่านพี่ไปท้องพระโรงยังไกลกว่า”

    องค์ชายโรอุนฟังคำเปรียบเปรยนั้นแล้วหัวเราะ

    “แล้วมาฟ้องข้าเพราะอะไร อยากให้ข้าพาไปด้วย”

    ฮวียองเบะปาก “ข้าต้องพูดออกมาด้วยหรือ ท่านพี่ไม่รู้จักข้าหรือไง”

    ท่าทางง้องอนนั้นถ้าเป็นคนอื่นทำคงชวนให้รำคาญสายตา แต่พอเป็นองค์ชายฮวียองผู้รูปร่างหน้าตางดงามก็ชวนให้รู้สึกเจริญหูเจริญตาเสียมากกว่า ทั้งยังเป็นองค์ชายเล็กคนโปรดของคนทั้งวัง มีหรือจะมีใครกล้าขัดใจได้ โรอุนรู้ดีว่าจริง ๆ แล้วท่านพี่อินซองก็ไม่ได้อยากจะขัดใจเจ้าคนเล็กนี่หรอก แต่กลัวว่าจะไปสร้างเรื่องสร้างราวให้ตามล้างตามเช็ดไม่ทัน หรือไม่ก็ถูกใครปองร้ายเข้าตามประสาคนของราชวงศ์ เลยค่อนข้างจะหวงน้องเป็นพิเศษ

    โรอุนคิดแล้วก็แอบส่ายศีรษะ ท่านพี่ก็รู้ว่าฮวียองไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ แล้ว อีกอย่าง ถ้ามีองครักษ์คนนั้นอยู่ ใครจะทำอะไรเจ้าคนเล็กได้

    “ออกไปแบบเงียบ ๆ นะ” โรอุนพูดออกมาในที่สุด “ให้แทยังไปด้วย”

    ฮวียองยิ้มร่า “แน่นอนอยู่แล้วสิ!”

    เพราะแบบนั้น สายวันต่อมาโรอุน ฮวียอง และแทยัง องครักษ์คนสนิทที่ติดตามฮวียองและพวกเขามาตั้งแต่ยังเล็กถึงได้มาหยุดยืนบนถนนหน้าวังหลวงด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างขุนนางสามัญชน ไม่ใช่ราชวงศ์ชั้นสูง แม้จะพยายามเลือกผ้าที่ดูมีราคาน้อยที่สุดในบรรดาสำรับผ้านับร้อยในตำหนัก แต่องค์ชายรูปงามก็ยังคงมีรัศมีชวนมองพาให้สาวน้อยสาวใหญ่แถวนั้นไม่อาจละสายตาไปได้

    ฮวียองยิ้มร่า สดใสจนเกินพอดี ขณะที่โรอุนนึกอยากตีเจ้าคนเล็กนี่สักที แต่ทำได้เพียงพูดเตือนเบา ๆ

    “เจ้าชื่อยองกยุน ข้าชื่อซอกอู จำได้ใช่ไหม”

    “ข้าจำได้ขึ้นใจเลย ท่านพี่ซอกอู!”

    ซอกอูพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มเดินนำ มีเจ้ายองกยุนเดินตามอยู่ใกล้ ๆ ถนนหน้าวังหลวงอยู่ไม่ไกลจากลานหน้าวังที่พวกชาวบ้านชอบมาร้องทุกข์กัน แต่ช่วงนี้เพราะอากาศดี บุปผาบานสะพรั่ง ลานร้องทุกข์จึงกลายเป็นลานละเล่น แว่วเสียงพิณมาแต่ไกลไพเราะชวนฟังเคล้าไปกับเสียงร้องเพลงพื้นบ้าน แม้จะมองจากที่ไกล ๆ ก็เห็นท่าทางสนุกสนานและรอยยิ้มวาดประดับใบหน้าของประชาชน ภาพนั้นทำให้ในใจของคนเป็นองค์ชายเป็นสุขตามขึ้นมาด้วย

    “ท่านพี่”

    แรงดึงเบา ๆ ที่แขนเสื้อทำให้ซอกอูหันไปมอง ยองกยุนยิ้มแป้นจนตายิบหยีให้เขา

    “ข้าอยากดูของที่ตลาด”

    “เอาสิ”

    “ให้พี่แทยังพาไปก็ได้ ท่านพี่อยากฟังเพลงใช่ไหม ข้าดูออกนะ”

    ซอกอูเลิกคิ้ว หันไปมองแทยังที่ยืนเงียบมาตลอด

    องครักษ์หนุ่มพยักหน้ารับ “ไม่ต้องห่วงขอรับ”

    เห็นดังนั้นเขาจึงหันกลับมาหาเจ้าคนเล็ก

    “ดูแลตัวเองด้วย แล้วเจอกันที่วังเลยก็ได้”

    “ไม่กลับเข้าไปพร้อมกันหรือ เดี๋ยวท่านพี่อินซองก็ดุข้าหรอก”

    “ท่านพี่รู้อยู่แล้วนั่นแหละ ถ้าเจ้าสร้างเรื่องสร้างราวขึ้นมาก็เตรียมตัวได้เลย”

    ยองกยุนอ้าปากค้าง ก่อนจะขมวดคิ้วใส่เขาหนึ่งทีแล้วคว้าแขนองครักษ์หนุ่มเดินไปอีกทาง ซอกอูได้แต่อมยิ้ม เจ้าคนเล็กคงนึกอยากแอบออกมาจากวังเที่ยวเล่นแบบในนิยายประโลมโลกที่ใครสักคนแอบเอาไปให้อ่าน แต่ชีวิตจริงก็คือชีวิตจริง ถ้าไม่บอกท่านพี่อินซองก่อน เกิดมีอะไรเดือดร้อนขึ้นมาพวกเขาจะแย่เอาจริง ๆ

    ปล่อยฮวียองไปกับแทยังก็สบายใจได้ คนอย่างแทยังถ้าให้ฮวียองมีบาดแผลแม้แค่ปลายเข็มสะกิดผิวก็คงยินดีตัดคอตัวเองเสียมากกว่า

    พอสบายใจแล้วซอกอูจึงหันกลับไปสนใจลานหน้าวัง เขาคลี่พัดออกเล็กน้อยยกขึ้นบังริมฝีปากขณะชมบรรยากาศรอบ ๆ ไปด้วย เสียงพิณนั้นราวกับเชิญชวนให้เข้าไปฟัง ยิ่งใกล้ยิ่งสะกดให้เร่งฝีเท้า กระทั่งซอกอูได้เห็นผู้เล่นในคลองสายตา

    ปลายนิ้วเรียวไล่พรมลงบนสายพิณอย่างคล่องแคล่ว ดูราวกับหญิงงามเต้นระบำอยู่บนเส้นไหม[1]มากกว่าจะเป็นเพียงการดีดพิณ เสียงนั้นไพเราะกังวานเข้ากันกับเสียงขับร้องของกวี บทเพลงนั้นเล่าเรื่องราวการเดินทางของชายผู้หนึ่งที่ร่อนเร่จากเหนือจรดใต้และพบเจอทั้งความสุขและความทุกข์ แต่สิ่งที่ทำให้ซอกอูละสายตาจากการแสดงตรงหน้าไม่ได้มิใช่น้ำเสียงชวนฟังของกวี แต่เป็นสายตาแน่วแน่ของนักดนตรีที่เพ่งมองพิณในมือ ทุกจังหวะสั่นไหวของเส้นไหมพาให้หัวใจของเขาราวกับจะออกมาโลดเต้นตามอย่างชาวบ้านที่กำลังขยับร่างกายตามจังหวะเพลง เมื่อนัยน์ตาสีดำใสราวกับลูกแก้วคู่นั้นกวาดมองแล้วสบกันกับเขา หัวใจของซอกอูก็ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ

    นั่นคือครั้งแรก

    ครั้งแรกที่ซอกอูเข้าใจความรู้สึกที่ว่า เวลาหยุดเดิน ครั้งแรกที่ซอกอูรู้สึกว่าทุกอย่างในโลกเงียบลง และประกายในลูกแก้วคู่นั้นโดดเด่นน่ามองยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลก

    ดอกไม้ดอกหนึ่งบานอยู่ในหัวใจขององค์ชายหนุ่ม เฉกเช่นเดียวกับดอกพ็อดกทที่บานสะพรั่งอยู่เหนือศีรษะ

    นั่นคือครั้งแรกที่องค์ชายโรอุนผู้ชาญฉลาดที่สุดในวังหลวงรู้สึกราวกับตนเป็นคนโง่งม

    นั่นคือครั้งแรก... ที่องค์ชายโรอุนได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า รักแรกพบ





    คังชานฮีไม่ได้ชื่นชอบงานรื่นเริง ถ้าให้เลือกระหว่างเดินทางเงียบ ๆ คนเดียวอย่างยากลำบากกับตามขบวนคาราวานเดินทางอย่างสุขสบาย แน่นอนว่าเขาต้องเลือกอย่างแรก แต่เพราะชื่นชอบเสียงดนตรีและเพลงพิณ อดีตบัณฑิตหนุ่มที่เกือบจะสอบผ่านเข้าเป็นขุนนางได้แล้วจึงกระโดดขึ้นท้ายเกวียนพ่อค้าแล้วออกเดินทางจากเหนือจรดใต้ตั้งแต่ยังเล็ก เขาร่ำเรียนพิณจากนักดนตรีคนหนึ่งที่พบพานระหว่างการเดินทาง และได้พิณตัวหนึ่งมาจากอาจารย์ท่านนั้น เขาฝึกฝนจนสายพิณกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ดีดอย่างไรจึงจะมีเสียงกังวาน ต้องสัมผัสตรงไหนจึงจะได้เสียงนุ่มนวล คังชานฮีเรียนรู้ทุกองค์ประกอบของเครื่องดนตรีชิ้นนี้และเดินทางเคียงคู่กับมันต่างสหาย จนมาถึงเมืองหลวงและพบกวีเสียงชวนฟังผู้หนึ่งจึงพากันร้องเล่นอยู่กลางลาน ทั้งดอกพ็อดกทที่บานสะพรั่งเอย เสียงอันกังวานของกวีเอย รวมถึงเพลงพิณของเขา ทั้งหมดทั้งมวลย้ำเตือนกับชานฮีว่า วันนั้นที่เขาตัดสินใจออกเดินทางคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เขาไม่เคยเสียใจ และมีความสุขทุกครั้งเมื่อนึกถึงสิ่งตนได้เผชิญตลอดเส้นทางมาจนถึงที่นี่

    ด้วยความอิ่มเอมใจนั้น ชานฮีที่มักจะก้มหน้าก้มตาดีดพิณจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้คนที่รายล้อมและวาดรอยยิ้มบนใบหน้าตามชาวบ้านที่กำลังเพลิดเพลินกับเสียงเพลงของเขา

    ท่ามกลางความสนุกสนานนั้น สายตาของเขาก็ปะเข้ากับคุณชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งที่ยืนนิ่งราวกับโดนสาปอยู่ไม่ไกล

    คุณชายผู้นั้นโดดเด่นกว่าใครเพราะตัวสูงที่สุด ทั้งยังยืนอยู่ท่ามกลางชาวบ้านที่ขยับร่างกายไปมา แต่เขากลับนิ่งงันราวกับรูปสลักเทพเจ้าที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด สายตาคู่นั้นจดจ้องมายังเขา ทำให้ชานฮีประหลาดใจ

    แต่สนใจเพียงชั่วครู่เขาก็ดึงสายตากลับมาที่เครื่องดนตรีของตนต่อ บทเพลงของกวีใกล้จะจบแล้ว และหน้าที่ของเขาในวันนี้ก็จะหมดลง ชานฮีอยากกลับไปนอนที่โรงแรมจะแย่ โชคดีว่าตลอดการเดินทางนี้เขาได้เงินเป็นกอบเป็นกำจากการเล่นดนตรีพเนจรกับพวกกวีที่เจอตามเมืองต่าง ๆ จึงพอหาที่พักดี ๆ ในเมืองหลวงได้ จบเพลงนี้เขาจะหาอะไรกินแล้วก็กลับไปพักจริง ๆ เสียที คิดว่าคราวนี้คงได้เงินมากกว่าเดิมอีกโข

    เมื่อชานฮีดีดพิณครั้งสุดท้ายทิ้งให้เพลงจบลง เสียงปรบมือเกรียวกราวก็มาจากชาวบ้านพร้อมกับเสียงเหรียญกระทบกันในถ้วยไม้ใส่เหรียญ ชานฮีถอนหายใจ ขยับกายไปมาด้วยความเมื่อยขบก่อนจะเอ่ยกับกวีผู้นั้น

    “งานนี้ข้าควรจะได้สักครึ่งหนึ่งนะ”

    “พูดอะไรกัน” กวีผู้นั้นส่ายหน้า “เจ้าแค่ดีดพิณ ข้าทั้งแต่งเนื้อร้อง ทั้งขับร้อง เหนื่อยกว่าเจ้าที่นั่งดีดเฉย ๆ อยู่แล้ว จะเป็นครึ่งหนึ่งไปได้อย่างไร”

    “อะไรนะ”

    ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นทันที แม้เขาจะเป็นนักดนตรีผู้อดทนกับการร่ำเรียนและฝึกฝนจนเล่นได้ไพเราะขนาดนี้ แต่เขาไม่ใช่คนใจเย็นเลยสักนิดเดียว นักดนตรีหนุ่มขมวดคิ้ว

    “ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนพูดเองว่าจะให้ครึ่งหนึ่ง แล้วเมื่อครู่ที่พ่นออกมาคืออะไร วาจาคนใช่จะเอ่ยทิ้งขว้างเป็นสัตว์ทิ้งมูลเสียเมื่อไหร่ ทำเช่นนี้จะเบี้ยวข้าหรือไง”

    กวีหนุ่มตาเบิกโพลง “นี่เจ้า!”

    “หยุด”

    เสียงหนึ่งขัดขึ้น

    ชานฮีหันขวับไปทางต้นเสียง คุณชายร่างสูงโปร่งผู้นั้นนั่นเองที่เข้ามาขวางการวิวาทระหว่างเขากับเจ้ากวีโจรนี่

    “ตอนเจ้าทำสัญญากับเขาว่าจะตกลงเล่นพิณให้เพราะแบ่งรายได้กันครึ่งหนึ่ง มีพยานคนอื่นอีกไหม”

    คำถามของชายคนนั้นทำให้กวีหน้าซีด ขณะที่ชานฮียิ้มเยาะในใจแล้วรีบพยักหน้ารับ

    “เจ้าของร้านข้าวตรงหัวมุมได้ยินที่พวกข้าคุยกัน เพราะเขาก็มาฟังพวกข้าเล่นเพลงตอนที่ตกลงกันนั่นแหละ”

    “ดังนั้น ถ้าเจ้าของร้านบอกตรงกันกับเจ้า แปลว่าชายคนนี้ก็กำลังประพฤติตนเยี่ยงโจรใช่หรือไม่”

    กวีผู้นั้นกำมือแน่นด้วยความโกรธ “แล้วเจ้าเป็นใคร! มายุ่งอะไรด้วย!”

    ไม่เพียงตะโกนเสียงดัง แต่กำปั้นที่กำแน่นยังพุ่งตรงมาทางคุณชายอีกด้วย ชานฮีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะนิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นเหตุการณ์ต่อมา

    คุณชายท่าทางสำอางนั้นหยุดกำปั้นแห่งความโกรธของกวีเจ้าเล่ห์ไว้ได้อย่างง่ายดายด้วยพัดที่เคาะเบา ๆ บนหลังฝ่ามืออีกฝ่าย ในความทรงจำอันรางเลือนสมัยเตรียมสอบขุนนาง ชานฮีคิดว่าคงเป็นอะไรสักอย่างคล้าย ๆ การสกัดจุดตามตำราแพทย์ เมื่อโดนตีตรงนั้นกวีหนุ่มก็เจ็บจนทรุดลงไปคุกเข่าที่พื้น

    “แม้เมืองหลวงจะให้ร้องเล่นกันได้อย่างเสรี แต่หากกระทำการเยี่ยงโจรก็จะถูกพาไปสอบสวน” คุณชายท่านนั้นว่า “ตกลงว่าเจ้าจะแบ่งเงินตามที่เคยคุยกันไว้ดี ๆ หรือให้ข้าพาไปหามือปราบ”

    “เอาไปเลย เอาไปทั้งหมดนั่นแหละ!”

    ชานฮีส่ายหน้า เขาคว้าถ้วยไม้มานับเงินเฉพาะส่วนของตัวเองแล้วโยนคืนให้กวี

    “อย่าทำสันดานเช่นนี้อีกแล้วกัน เป็นกวีดี ๆ ก็เป็นต่อไปเถิด อย่าคิดจะเป็นโจรเลย”

    คุณชายท่านนั้นมองเขาอย่างประหลาดใจ ก่อนเขาจะโค้งขอบคุณให้อีกฝ่าย ปล่อยให้ไอ้กวีไร้เกียรตินั่นพาตัวเองออกไปจากบริเวณนั้น

    “ขอบคุณท่านมาก”

    “ไม่เป็นไร”

    “ให้ข้าได้ตอบแทนท่านอย่างไรได้บ้าง”

    คุณชายท่านนั้นเลิกคิ้ว “จำเป็นต้องตอบแทนข้าด้วยหรือ”

    ชานฮีขมวดคิ้ว “บุญคุณต้องทดแทน”

    “ถ้าเช่นนั้น” คุณชายตัวสูงเม้มริมฝีปาก แต่แววตาเป็นประกายบางอย่างจนชานฮีรู้สึกว่าตัวเองอาจจะตัดสินใจผิดที่เอ่ยออกไปว่าจะตอบแทน

    ทำไมรู้สึกเหมือนกำลังจะพาตัวเองซวย

    “ข้าจะจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ เจ้าจะช่วยไปเล่นพิณสร้างบรรยากาศหน่อยได้หรือไม่”

    “…ได้สิท่าน เมื่อไหร่ ที่ไหน”

    “ไว้ข้าค่อยบอกแล้วกัน แต่วันนี้ถ้าไม่มีธุระอะไร ข้าอยากพาเจ้าไปเดินดูเมืองหลวงเสียหน่อย เห็นว่าเป็นนักดนตรีพเนจร เพิ่งเคยมาถึงใช่ไหม”

    ชานฮีกะพริบตาปริบ ๆ

    “…ไม่เป็นไรหรอกท่าน ข้าอยากกลับไปพักแล้ว”

    “อย่างนั้นหรือ”

    คุณชายว่าพลางถอนหายใจ สีหน้าสลดลงเล็กน้อย “นาน ๆ ข้าจะได้ออกมาข้างนอกทีแต่ไม่มีมิตรสหายให้ไปมาหาสู่หรือพากันเดินเล่นชมเมือง เห็นว่านิสัยใจคอเจ้าน่าคบหาอาจจะพอร่วมทางไปกับข้าได้ แค่สุดถนนเส้นนี้ก็ได้ เจ้าไม่สะดวกเลยหรือ”

    “…”

    ชานฮีหรี่ตา คุณชายท่านนี้มันเจ้าเล่ห์นัก แต่เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

    “…เห็นแก่ที่ท่านเป็นผู้มีพระคุณ ข้าจะเดินเล่นเป็นเพื่อนก็ได้ แต่ขอไปเก็บพิณก่อนได้หรือไม่”

    “ได้สิ”

    ท่าทางดีใจออกนอกหน้าพาให้ชานฮีคิ้วกระตุก เขาแค่นยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินนำไปทางโรงแรมของตน

    “จริงสิ” คุณชายเอ่ยขึ้นมา “ข้าไม่ได้แนะนำตัวเลย ขออภัยที่เสียมารยาท เรียกข้าว่า ซอกอู ก็ได้”

    เรียกข้าว่า? คนฟังแอบสงสัยในใจ แต่ก็บอกชื่อตัวเองไปบ้าง “ข้าชื่อชานฮี”

    “ยินดีที่จะได้ร่วมทางกับเจ้า”

    “…ยินดีเช่นกัน”

    แม้ปากจะพูดแบบนั้น แต่ในใจของคังชานฮีรู้สึกว่ากำลังพาตัวเองเข้าไปในถ้ำเสืออย่างบอกไม่ถูก

    แต่เขาคงคิดไปเองนั่นแหละ... ก็หวังว่าสัญชาตญาณของเขาจะผิดพลาดบ้างนะ





    ค่ำวันนั้น ที่ตำหนักองค์ชายอินซอง

    “ข้าซื้อหนังสือมาให้ท่านพี่เพิ่มด้วยนะ” องค์ชายฮวียองเปิดห่อผ้าไหมวางลงตรงหน้าองค์ชายใหญ่อินซองด้วยท่าทางร่าเริง “ท่านพี่ต้องชอบแน่ ๆ เลย ข้ารู้ว่าท่านพี่ชอบอ่านอะไร แทยังก็บอกว่าท่านพี่จะชอบเหมือนกัน”

    องค์ชายอินซองอมยิ้มเอ็นดูองค์ชายเล็กที่กุลีกุจอหาของมาฝากเขาจากตลาด ทั้งที่ปกติเขาจะเรียกอาลักษณ์ให้คัดหนังสือสักสองสามเล่มมาให้ก็ย่อมได้ แต่นิสัยช่างเอาอกเอาใจคนอื่นของฮวียองก็น่ารักเกินกว่าจะขัดใจ อินซองจึงรับมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

    “แล้วโรอุนล่ะ ไม่ได้อะไรมาเลยหรือ ไปเที่ยวเล่นวันนี้”

    องค์ชายโรอุนที่นั่งเงียบมาตลอดเลิกคิ้ว ก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ อย่างผิดวิสัย

    “ไม่เชิงเสียทีเดียวขอรับ”

    “หมายความว่าอย่างไรหรือ”

    ฮวียองหันไปมองโรอุนแล้วก็บ่นพึมพำ “ท่านพี่โรอุนเป็นอะไรไม่รู้ ตั้งแต่กลับมาก็ดูเหม่อ ๆ เหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อาการเช่นนี้เหมือนในนิยายที่ข้าเคยอ่านเลย”

    “ในนิยายเขาว่าอย่างไรหรือ ฮวียอง”

    “เขาเรียกว่า...”

    ยังไม่ทันที่ฮวียองจะตอบ โรอุนก็ขัดขึ้นก่อน

    “ข้าอยากจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ สักหน่อยน่ะท่านพี่ ที่บ้านของพ่อค้าแพค”

    อินซองเลิกคิ้ว “ทำไมไม่จัดในวังล่ะ”

    “จัดข้างนอกมันไม่ต้องมีข้อจำกัดมากมายนี่นา”

    องค์ชายใหญ่หรี่ตา “มีแค่นั้นแน่หรือ”

    แล้วโรอุนก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ทำเอาฮวียองกับอินซองมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ

    “ไว้ข้าจะบอกท่านแล้วกัน ท่านพี่ ฮวียองด้วย”

    คำตอบนั้นไม่ได้สร้างความกระจ่างขึ้นมาแต่อย่างใด แต่ทิ้งความสงสัยชิ้นใหญ่ไว้ให้สองพี่น้องที่เหลือจนน่ากลัวว่าคืนนี้อาจจะนอนไม่หลับ

    แต่องค์ชายโรอุนก็คงนอนไม่หลับไม่ต่างกัน

    พอในหัวว่างเปล่าขึ้นมา เขาก็รู้สึกราวกับได้ยินเสียงพิณของชานฮีลอยแว่วมากับลม แล้วก็เผลอยิ้มอยู่คนเดียวจนพาให้ในวังมีข่าวลือแปลก ๆ ว่า องค์ชายรองกำลังมีความรักกับใครสักคน

    เพียงแต่ว่า ‘ใคร’ ที่ว่านั้น ไม่เคยมีใครรู้ และเรื่องนี้ก็คงไม่ได้รู้ในเร็ววันนี้แน่นอน





    จบ



    เชิงอรรถ

    [1] พิณโบราณ สายทำจากเส้นไหมถัก เดิมทีจะให้เป็นพิณเกาหลีโบราณที่เรียกว่าอาแจง (https://en.wikipedia.org/wiki/Ajaeng) แต่เนื่องจากเขียนก่อนรีเสิร์ชเลยพบว่า อาแจงต้องใช้คันชัก ดิฉันจึงขอให้พิณในเรื่องหน้าตาแบบกู่เจิ้ง (https://en.wikipedia.org/wiki/Guzheng) แล้วกันค่ะ *พลาดเอง /ไหว้ทุกคน*


    210926

    นี่คือโรชานครั้งแรก (และอาจจะครั้งเดียว) ในชีวิตของดิฉัน กรี๊ด 5555 เหตุเกิดจากคลิปที่มีคนรีทวีตมา ซึ่งคือคลิปไหนก็หาไม่เจอแล้ว รีไว้หลายวันแล้วแต่เพิ่งได้เขียน ลืมเก็บ url ไว้ T-T แต่มันทำให้ดิฉันเขียนข้างบนขึ้นมาได้อะค่ะ ก็คือของดีประจำตำบลโรชาน (?)

    อ๊าก รู้สึกได้ปลดปล่อยเพราะได้เขียนฟิค 5555555555 แต่เนื่องจากเป็นฟิคชั่ววูบ (?) เลยไม่ค่อยได้รีเสิร์ชอะไรเลย ยุคอะไรก็มั่ว ๆ เมา ๆ กาว ๆ ถ้าจะกรุณาหลับตาข้างหนึ่งแล้วอิน ๆ กับมันไปก็จะขอบคุณมากค่ะ เพราะทั้งหมดที่อยากเขียนจริง ๆ คือมีแค่ซีนเจอกัน 555555

    คอมเมนต์กันได้ที่นี่หรือ #wirunfic ค่า 



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in