เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
EVERY SINGLE PIECE OF YOU MAKES ME FALLa week before valentine
[TEN&DOYOUNG] We Can't Be Friend with Our Ex.
  • Title: We Can't Be Friend with Our Ex.
    Rating: PG
    Fandom: NCT
    Categories: M/M
    Relationship: TEN&DOYOUNG
    Characters: JOHNNY, TEN, DOYOUNG, JAEHYUN





    เคยมีคนบอกเขาว่า คนเรามักไม่รู้ตัวว่ามีของสำคัญอยู่ จนกว่าจะสูญเสียมันไป



    โดยองคิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเผชิญสถานการณ์เช่นนั้นอยู่






    แจฮยอน: พี่จะไม่มาจริง ๆ เหรอ





    ข้อความสั้น ๆ จากรุ่นน้องปรากฏขึ้นบนหน้าจอ โดยองมองมันอยู่ครู่หนึ่ง และจมจ่อมกับความหมายเบื้องหลังประโยคนั้นอยู่นานพอจนไม่รู้สึกแรงสะกิดเบา ๆ ที่ไหล่



    “เฮ้ย ทำไมยังอยู่ตรงนี้”



    เป็นจอห์นนี่ที่เขามาทักเขา โดยองกะพริบตาปริบ ๆ เหมือนเพิ่งระลึกได้ว่าตัวเองนั่งอยู่กลางห้องโถงของคณะมาจะสิบนาทีแล้ว และคาบเรียนต่อไปกำลังจะเริ่มในอีกห้านาที



    “ไม่ได้ไปส่งเตนล์เหรอ”



    คำถามซัดเข้ามาอีกรอบ



    โดยองฝืนขยับรอยยิ้ม



    “ไม่อะพี่ ไปทำไม ต่างคนต่างก็บล็อกกันไปหมดแล้ว”



    “ไม่เก็ตว่ะ ก็เคยเป็นเพื่อนกันนี่”



    “คนเกาหลีไม่เป็นเพื่อนกับแฟนเก่านะพี่”



    “อเมริกันไม่เข้าใจแฮะ” จอห์นนี่ถอนหายใจ “จะด่าเรื่องเก่า ๆ ก็คงเสียเวลา แต่ถ้าไม่ไปตอนนี้ก็ไม่รู้จะเจออีกเมื่อไหร่นะ”



    “มันแค่กลับไทยปะพี่”



    “มันจะไปเรียนต่อที่อังกฤษกับน้อง อยู่ตั้งหลายปี”



    ความจริงที่ฟาดเข้าหน้าอย่างกะทันหันทำให้ไปไม่เป็นอีกรอบ โดยองไม่เคยรู้เรื่องนี้ เขารู้แค่เพียงว่าเตนล์จะกลับไทนแล้ว ไม่ได้รู้ว่าหลังจากนั้นอีกฝ่ายจะไปทำอะไรที่ไหนยังไงต่อ ก็ไม่แปลก เพราะตั้งแต่ที่เลิกกันไป พวกเขาก็ตัดความสัมพันธ์กันทุกทาง







    “แค่ความเป็นเพื่อนก็ให้กันไม่ได้เหรอ”

    “แกเป็นเพื่อนกับคนที่เคยจูบแกได้จริง ๆ เหรอ เตนล์”

    “…”

    “แค่นั้นแหละ”

    “เออ”

    “ก็ให้มันจบไป”







    “…ก็ให้มันจบไป”



    จอห์นนี่มองเขาที่พึมพำแล้วถอนหายใจ



    “อีกชั่วโมงจะเช็กอิน ถ้าจะไปส่งก็ยังทันนะ”



    “ผมมีเรียนน่ะ”



    คนเป็นรุ่นพี่กลอกตา



    “ไม่ได้สนับสนุนให้โดดเรียนนะ แต่เรียนยังมีคนคอยจดให้ ยังตามได้ แต่เรื่องบางเรื่องอะ พลาดไปแล้วก็คว้าจับมันกลับมาไม่ได้อีกเลยนะ”



    “…”



    ชายหนุ่มตัวสูงวางมือลงบนไหล่เขา ตบเบา ๆ



    “คิดดี ๆ คิมโดยอง”



    “คิดอะไรอีกพี่”



    “ถ้ามันเป็นโอกาสสุดท้าย แกก็กำลังจะพลาดจริง ๆ”



    จอห์นนี่เดินจากไปแล้ว ขณะที่เขายังนั่งอยู่ที่เดิม



    นาฬิกาบอกเวลาเข้าเรียนแล้ว โดยองลุกจากโต๊ะอย่างคนตัดสินใจได้















    “เหม่ออะไรอีกพี่”



    เสียงเรียกของรุ่นน้องทำให้เตนล์ละสายตาจากร้านกาแฟสีเขียวเข้มกลับมา รุ่นน้องตัวสูงที่ยืนดูดลาเต้เย็นท่าทางสบายใจกะพริบตาปริบ ๆ มองเขา แววตาดูกังวล แต่ก็เหมือนคิดได้ว่าไม่ควรพูดอะไรออกมา



    เตนล์ถอนหายใจ เผลอยิ้มออกมา



    “เห็นร้านนี้แล้วคิดถึงเมนูหวาน ๆ ที่โดยองชอบ ไม่มีอะไรหรอก”



    “…อ่อ”



    แจฮยอนอ้าปากค้าง รู้สึกกาแฟในปากจะขมกว่าปกติไปสักหน่อย แต่เมื่อพี่เตนล์ไม่มีท่าทางอย่างอื่นนอกจากหวนระลึกถึงความหลังในทางที่ดีอีก เขาก็ไม่รู้ว่าต้องปลอบอะไรหรือเปล่า



    แจฮยอนหยิบมือถือขึ้นมาดู ข้อความที่ส่งไปให้โดยองยังไม่มีการตอบกลับใด ๆ ไม่รู้ว่าอ่านหรือยังด้วย อาจจะอ่านผ่านแจ้งเตือน เขาเลยกดเข้าไปดูข้อความจากพี่จอห์นนี่









    พี่จอห์นนี่: ช่วยได้เต็มที่แล้ว

    พี่จอห์นนี่: กำลังไปสนามบิน









    “อังกฤษเวลาต่างกับที่เกาหลีกี่ชั่วโมงนะ”



    เตนล์พึมพำขึ้นมา ทำเอาแจฮยอนสะดุ้ง



    “ครับ? อ๋อ... ไม่แน่ใจ ขอผมดูแป๊บ” เขาไถ ๆ มือถือดูเวลา “เก้าแหละ ที่นี่เร็วกว่าเก้าชั่วโมงเลย”



    “เก้าเหรอ”



    คนตัวเล็กกว่าถอนหายใจ แล้วเงียบไป



    ไอ้ฉิบหาย ยังไงดีเอ่ย นี่เศร้าหรือเปล่า ต้องปลอบไหม หรือปล่อยไปเดี๋ยวก็หายเอง จองแจฮยอนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ให้เขาเลือกว่าชอบอะไรมากกว่ากันระหว่างพิซซ่าเป็ปเปอโรนี่กับฮาวายเอี้ยนยังไม่ยากขนาดนี้เลย



    ไม่สิ อาจจะยากพอกัน



    “แจฮยอน ซื้อกาแฟให้พี่หน่อยสิ”



    “ครับ?”



    จู่ ๆ เตนล์ก็เปลี่ยนเรื่อง สั่งเมนูมาให้เขาพร้อมยื่นเงินมาให้ด้วย



    “เงินวอนก้อนสุดท้ายแล้ว เดี๋ยวคงไม่ได้ใช้แล้วล่ะ”



    “…”



    ท่าทางที่เหมือนอยากจะตัดขาดจากสถานที่แห่งนี้ทำเอาคนฟังจุกขึ้นมา แต่ก็ยอมวิ่งไปซื้อกาแฟอีกแก้วให้คนที่จะเช็กอินอยู่รอมร่อ



    แจฮยอนกลับมาพร้อมกาแฟอีกแก้วในมือ จอห์นนี่มาถึงแล้วและกำลังคุยกับเตนล์เป็นภาษาอังกฤษที่เร็วกว่าปกติ ทำเอาคนที่นาน ๆ จะใช้ภาษาอังกฤษทีอย่างเขาจับใจความไม่ได้ แต่สองคนนั้นก็หยุดทันทีที่เห็นเขาเข้ามาในคลองสายตา



    ไม่ได้กำลังนินทาอะไรใช่ไหม...



    “กาแฟครับ”



    เตนล์รับกาแฟไปจากมือเขา จอห์นนี่มองแก้วกาแฟนั้น แล้วหันมามองหน้าเขา ท่าทางเหมือนกำลังจะถามผ่านสายตาว่า ‘นี่มันอะไร’ ด้วยน้ำเสียงที่ใกล้เคียงกับการตำหนิ (ถ้าสายตามันมีเสียงก็คงเป็นแบบนั้น)



    แจฮยอนกะพริบตาปริบ ๆ ตอบ



    “ขอบใจนะ”



    เตนล์ว่าแล้วก้มหน้าดูดกาแฟผ่านหลอด แต่ทันทีที่รสหวานของกาแฟแผ่ในปาก เขาก็ชะงัก



    คนอายุน้อยที่สุดในวงสนทนายังคงงงต่อไป ส่วนจอห์นนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่



    “…หวานขนาดนี้ มันกินได้ไงวะ” เตนล์พึมพำ



    ‘มัน’ ไหน ก็คงไม่ต้องเดา แจฮยอนพอจะเข้าใจท่าทางที่เหมือนอยากดุเขาของจอห์นนี่แล้ว แต่เขาไม่ผิดสักหน่อย ก็เตนล์เป็นคนบอกให้เขาไปซื้อนี่หว่า



    ใครจะคิดว่าซื้อมารำลึกความหลัง



    “ซื้ออเมริกาโน่ให้พี่หน่อยสิ”



    คราวนี้จอห์นนี่หันมาหาเขา แจฮยอนกลอกตา



    “ไปซื้อเองเลย ผมวิ่งไปวิ่งมาสองรอบแล้วนะ”



    “ซื้ออเมริกาโน่ให้พี่แก้วหนึ่ง แล้วซื้อขนมอะไรมาก็ได้ พี่เลี้ยง”



    “…ก็ได้”



    แจฮยอนวิ่งกลับไปที่ร้านกาแฟอีกรอบ



    เตนล์มองน้องที่วิ่งออกไปแล้วหันไปหาจอห์นนี่



    “หลอกน้อง”



    “หรือจะให้ฉันพูดต่อหน้าแจฮยอน ก็ได้นะ”



    “อะไรอีก ยังไม่จบหรือไง”



    “ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตัดขาดกันขนาดนั้น”



    “Johnny. It’ s him, who wanted to cut me out of his life. I did nothing. I just leave when the time comes, and THIS IS THAT TIME.”



    “Why don’ t you to make things clear before you go?”



    “Actually, it’ s none of your business.”



    จอห์นนี่หน้าตึงขึ้นมา เตนล์รีบพูดต่อ



    “ผมรู้ว่าว่าพี่ห่วง แต่ดึงดันฝ่ายเดียวไม่มีประโยชน์ ถ้าเขามูฟออน ผมจะปล่อยตัวเองอยู่ตรงนั้นต่อไปเหรอ ไม่ได้หรอก ผมก็แค่เดินต่อ เหมือนที่เขาทำ”



    “มันไม่ได้เดินต่อ”



    “ไม่จริง”



    “แกเห็น เตนล์ โดยองไม่ได้ไปไหน มันอยู่ที่เดิม แกก็ด้วย”



    เตนล์วางแก้วกาแฟรสหวานจัดในมือลงบนกระเป๋าเดินทางของตัวเอง



    “เลิกกันไปจะปีแล้วนะ ทำใจไม่ได้สักทีก็กลับมาหากันไหม”



    “มันก็ไม่ใช่เรื่องที่พี่ต้องมาพูดแทนโดยองอยู่ดี”



    “แปลว่าถ้ามันพูดเองก็จะกลับไปเหรอ”



    เตนล์ถอนหายใจอย่างอึดอัด



    “พี่ พอเถอะ ให้มันเป็นเรื่องดี ๆ ในอดีตก็พอ อย่าขุดขึ้นมาเลย ให้พี่กับแจฮยอนเป็นเหตุผลที่ผมยังอยากกลับมาที่นี่เถอะ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องเจอกันอีกแล้ว”



    จอห์นนี่ยกมือขึ้นขยี้ผมจนไม่เป็นทรง



    เขารู้ว่าเตนล์ไม่ได้พูดขู่ บทจะใจแข็งรายนี้ก็ยิ่งกว่าเพชร ตอนที่ตัดขาดจากโดยองก็ตัดทุกช่องทางจริง ๆ ตามที่สองคนนั้นตกลงกัน ไม่มีการติดต่อกันอีก แม้ต่างฝ่ายจะต่างคิดถึงกันจะตายก็ตาม



    แจฮยอนกลับมาพร้อมอเมริกาโน่และแซนด์วิชชิ้นใหญ่ หน้าตามีความสุขกับของกินชะงักค้างเมื่อเห็นบรรยากาศกระอักกระอ่วนระหว่างพี่ชายทั้งสอง เขายื่นอเมริกาโน่ให้จอห์นนี่ที่พึมพำขอบคุณตอบ แล้วหันไปชวนเตนล์คุย



    “สรุปพี่ไปอังกฤษเดือนไหน”



    “อีกสามเดือนมั้ง ขออยู่กับที่บ้านก่อน”



    “ดีอะ อยากไปเรียนต่างประเทศบ้าง”



    เตนล์พยักเพยิดมาทางคนตัวสูงที่สุดในกลุ่ม



    “ชิคาโก้ดิ”



    “เหอะ เบื่อคนชิคาโก้”



    แล้วก็โดนมะเหงกเบา ๆ จากคนชิคาโก้ตัวจริง



    ไม่กี่นาทีถัดมาก็ถึงเวลาเช็กอิน จอห์นนี่ยกข้อมือดูนาฬิกาหลายรอบจนเตนล์ขมวดคิ้ว



    “มีอะไรปะ พี่จะไปไหนต่อเหรอ”



    “เปล่า แค่กลัวแกสาย” จอห์นนี่ว่า “ไปดิ เคาท์เตอร์เปิดแล้ว”



    เตนล์พยักหน้ารับ พอพูดว่า “เดี๋ยวมา” แล้วก็ลากกระเป๋าเดินทางไปพร้อมกับกาแฟหวานจัดที่เจ้าตัวจิบ ๆ อยู่ตลอดการสนทนา



    แจฮยอนหันไปหาคนที่ท่าทางลุกลี้ลุกลน



    “พี่โดยองจะมาไหมเนี่ย”



    “ไม่รู้เลย แล้วแต่พระเจ้าแล้วล่ะ”



    แจฮยอนเม้มปาก



    “พวกเราแม่งยุ่งไม่เข้าเรื่องปะวะ พี่จอห์นนี่”



    “ทำไม”



    คนอายุน้อยกว่าขมวดคิ้ว



    “มันควรจะเป็นเรื่องของคนสองคนหรือเปล่า เราไม่เกี่ยวอะไรในความสัมพันธ์ของเขาเลยนะ”



    คนฟังบีบไหล่คู่สนทนาเบา ๆ



    “มันคงเป็นของขวัญส่งท้ายเพื่อนล่ะมั้ง”



    พวกเขาได้แต่มองหน้ากันอย่างมีความหวัง



















    เตนล์เช็กอินที่เคาท์เตอร์และปล่อยกระเป๋าไหล่ไปตามสายพานเรียบร้อย เขามองที่นั่งในตั๋วเดินทางและเวลาบอร์ดดิ้งอีกรอบเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะเก็บตั๋วและพาสปอร์ตใส่กระเป๋า เตรียมจะเดินกลับไปหาเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องที่น่าจะรออยู่ที่เดิม



    แต่คนที่ยืนรอเขาอยู่กลับเป็นคนที่เขาคิดว่าชีวิตนี้คงไม่เจอกันอีกแล้ว



    เพราะมันเลือกตัดเขาออกไปจากชีวิตก่อนเอง



    “…ไง”



    เขาทักทายเสียงเรียบกว่าที่ตัวเองคิด โชคดีที่เพิ่งทิ้งแก้วกาแฟรสชาติหวานเหมือนกินเสร็จแล้วจะตัดขาทิ้งได้ไป ขณะเงยหน้าสบตากับคนที่ยืนนิ่งเหมือนลืมรอยยิ้มทิ้งไว้ที่บ้าน



    คิมโดยอง



    “บินกี่โมง”



    คำถามสั้น ๆ



    “สี่โมงเย็น”



    โดยองยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู



    “อีกสองชั่วโมง?”



    “อืม”



    “…รอตรงนี้”



    แล้วก็เดินผ่านเขาไปอีกทาง เตนล์มองตามอย่างสงสัย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน สังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่าโดยองจะทำอะไรที่ทำให้เขาช็อกจนพูดไม่ออก



    ว่าแต่ไอ้สองเจนั่นหายไปไหนแล้ว



    เตนล์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเกือบนาที แล้วนึกได้ว่าตัวเองไม่ควรยืนรอ เขารีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามโดยองไป ก่อนจะอ้าปากค้างจนพูดไม่ออกจริง ๆ เมื่อพบว่าโดยองเดินไปที่เคาท์เตอร์



    เพื่อซื้อตั๋วเครื่องบิน



    “…เดี๋ยว นั่นจะทำอะไร”



    โดยองไม่ตอบ ยกมือห้ามไม่ให้เขาพูดแล้วหันไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์ เตนล์ได้แต่ยืนมองจนอีกฝ่ายได้ตั๋วมาไว้ในมือ



    “ไปด้วยนะ”



    “…อะไรนะ”



    ไม่มีเวลาให้เตนล์อึ้งนาน โดยองพาเขามายืนตรงใกล้ ๆ กับทางเข้าด่านตรวจคนฯ แต่ตอนนี้เตนล์เหมือนไม่ค่อยมีสติ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังที่โดยองพูดถูกต้อง



    “อีกรอบซิ ตะกี้ทำอะไร”



    “ซื้อตั๋วไง”



    “ซื้อทำไม”



    “ก็จะไปไทยด้วย”



    “…ไปทำไมเนี่ย”



    เตนล์เหวอ มั่นใจว่าหน้าตาตัวเองตอนนี้ต้องตลกมากแน่ ๆ



    “ไปง้อ”



    “…”



    น้ำตาจะไหล ผ่านมาจะปีแล้วแม่งเพิ่งนึกได้เหรอว่าต้องทำยังไง



    เตนล์ขมวดคิ้ว



    “ไม่ต้อง ไม่ให้ไป”



    “ซื้อตั๋วแล้ว เป็นเจ้าของประเทศเหรอถึงห้ามเราเข้า”



    “ง้อไม่สำเร็จหรอก ไม่ต้องไปเลย”



    “ไม่ ขอลองก่อน”



    “แล้วจะมาลองอะไรตอนนี้” เตนล์สวน “ตลอดเกือบปีที่ผ่านมาโง่อะไรอยู่ตั้งนาน”



    “…”



    “พูดเองนี่ว่า ‘ก็ให้มันจบไป’ เลือกจะบล็อกเราทุกทางเองนี่ กันเราออกจากโลกของตัวเองเอง แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากให้เรากลับไปอีก เพิ่งนึกได้เหรอว่าจะเสียเราไปจริง ๆ แล้ว”



    “…”



    “ไม่ดิ แกเสียเราไปตั้งนานแล้ว ไม่ทันแล้ว”



    เตนล์เสียงสั่น เขามองหน้าคนตรงหน้าไม่ได้



    “ขอโทษ”



    ในที่สุดโดยองก็เอ่ยปาก



    “เอาแต่คิดว่ายังไงก็คงได้เจอ ยังไงก็คงมีโอกาสกลับไปหาแกได้อีก คิดแบบนั้นทั้งที่เป็นคนตัดแกออกจากชีวิตเราเอง”



    “…”



    “เพิ่งรู้ว่าตอนที่มีแกอยู่ชีวิตมันดีมาก ๆ อะ พอไม่มีแกแล้วเราโคตรเคว้งเลย คิดว่าจะทนได้ แต่พอตอนที่รู้ว่าแกต้องไปจากเราจริง ๆ ...” เตนล์ได้ยินเสียงกลั้นก้อนสะอื้นมาจากคนตรงหน้า “ขอโทษ ขอโทษที่รู้สึกตัวช้า”



    กลายเป็นว่าเขาเสียเองที่ร้องไห้ไม่ออก คิมโดยองตรงหน้าเขาเปลี่ยนไปจากคนที่พบกันตอนวันที่บอกเลิก ไม่ได้มีท่าทีแข็งกร้าวอยากเอาชนะ ไม่ได้มีท่าทีอยากลบเขาออกจากสายตา เป็นคิมโดยองที่อ่อนแอจนเขาต้องเดินเข้าไปกอด



    “…บอกแล้วว่าอย่างน้อยก็ให้เหลือความเป็นเพื่อนบ้าง”



    “จะเป็นเพื่อนได้ยังไงถ้าเห็นหน้ากันแล้วยังอยากจูบกันอยู่วะ”



    เตนล์ถอนหายใจ หมดคำจะพูดกับไอ้บ้านี่จริง ๆ



    “แล้วยังไง ไม่เป็นเพื่อนแล้วจะไปไทยกับเราในฐานะอะไร แฟนเก่า?”



    โดยองผละออกจากการซบไหล่เขา นัยน์ตาคู่นั้นยังแดงระเรื่ออยู่ เหมือนกระต่ายจนเตนล์อยากบีบแก้ม



    “ไม่ใช่”



    “…”



    “ไม่เป็นแฟนเก่า กลับมาคบกันตอนนี้ได้ไหม วินาทีนี้เลย”



    “…ไม่”



    เตนล์ตอบสั้น ๆ



    โดยองอ้าปากค้าง



    “…ทำไม”



    “ยังจะถามอีกเหรอ ไม่ใช่ตอนนี้” เตนล์อยากตบกบาลอดีตแฟนตัวเองจริง ๆ “จู่ ๆ จะกลับไปคบทั้งที่ห่างกันไปเป็นปีน่ะเหรอ”



    “ยังไม่ถึงปีสักหน่อย”



    “สนใจด้วย?”



    “สนดิ สนหมดแหละ แค่ทำเป็นไม่สนใจ”



    “ปากดี ปากแบบนี้แหละทำให้ไม่อยากกลับไปคบเนี่ย”



    “…ขอโทษ”



    เตนล์มองสีหน้าหงอย ๆ ของคนตัวสูงกว่าแล้วก็อดคว้ามือไปลูบหลังมืออีกฝ่ายเบา ๆ ไม่ได้ เขาชอบทำเวลาโดยองท่าทางไม่สบายใจ



    “เลิกหงอย ถ้าจะง้อก็ทำตัวดี ๆ”



    “…ได้”



    “แล้วจะไปไทยอะ ไม่เอาสัมภาระอะไรไปเลยหรือไง”



    “มีเงินไง”



    “…เกลียดคำตอบว่ะ”



    “อ้าว ก็จริง ไว้ไปซื้อ ที่ไทยของไม่ได้แพงสักหน่อย”



    “จ้า นายคิม” เตนล์กลอกตา “เออ ขออะไรอย่างได้ไหม”



    “ได้หมด ตอนนี้ขออะไรก็ได้ทั้งนั้น”



    เตนล์ทำเสียง ‘หึ’ เบา ๆ



    “เลิกกินไอ้กาแฟบ้านั่นสักที หวานแสบคอขนาดนั้น กินเข้าไปได้ยังไงทุกวัน”



    “…ปกติแกไม่กินนี่ รู้เหรอว่ารสชาติเป็นไง”



    เตนล์ยักไหล่



    “ยังไม่อยากเจอแกที่โรงพยาบาล กินอะไรก็ระวังหน่อยดิ”



    โดยองยิ้มกว้าง น่าจะเป็นยิ้มที่กว้างที่สุดตั้งแต่เขากับเตนล์เลิกกันไปเมื่อหลายเดือนก่อนนั่นแหละ











    ห่างออกไปจากทั้งสองคนที่ยืนคุยกันอย่างลืมเวลา คือแจฮยอนและจอห์นนี่ที่แอบมองอยู่ไม่ไกลนัก



    “…พี่ว่าสองคนนั้นจะเข้าเกตวันนี้หรือเปล่า”



    “เอางี้ดีกว่า แกว่ามันลืมพวกเราหรือยัง”



    “…”



    นั่นสินะ...



    FIN

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in