ดู
Breaking the Cycle จบแล้ว ความรู้สึกคือย้อนกลับไปวันวานมาก มันคือชีวิต ตัวตน การให้คุณค่า ความหวัง ความฝันของคนคนหนึ่ง ยิ่งองก์แรกของหนังที่ว่าด้วยจุดกำเนิดของพรรค แล้วมีฉากที่กล้องแพนไปที่คนมาร่วมงานปราศัยใหญ่ก่อนเลือกตั้ง พอเห็นจำนวนคนที่มาเต็มที่นั่งแล้ว ช่วงนั้นแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่จริงๆ มันเป็นคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเราอย่างจัง ว่าเราเคยอยู่ตรงนั้น หมายถึงจิตใจของเรา มันเคยมีความหวังอยู่ตรงนั้นจริงๆ
ชอบบรรยากาศ footage ของหนังที่ฉายภาพเมืองกรุงเทพ
การใช้โดรนไปจ่อภาพมุมสูงของตึกต่างๆ อาคารพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งรัฐสภา อนุเสารีย์ประชาธิปไตย สะพานช่องนนทรี หรือแม้กระทั่งร้านเซเว่นร้านหนึ่งในถนนใหญ่ของกรุงเทพ มันทำให้เห็นว่านี่แหละ เมืองที่เราอาศัยอยู่ เมืองที่มีการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และผู้คนก็ยังต้องใช้ชีวิต ยังต้องเดิน ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพกันต่อไป ไม่ว่าจะถูกทุบตีทางการเมืองขนาดไหนก็ตามมันมีฉากหนึ่งที่เล่าได้ดีคือ ตอนที่กกต. กำลังถกกันว่าสูตรในการคำนวณ สส. หลังเลือกตั้ง 62 ว่าจะออกมาอย่างไร ผู้กำกับก็ใช้ฟุตเป็นภาพเมืองให้มันเดินหน้าไปเรื่อยๆ และขึ้นตัวอักษรว่าผ่านมาแล้ว 2 สัปดาห์ ถึงจะคิดคำนวณสูตรได้ มันทำให้เห็นว่านี่แหละ คนไทย ต้องอยู่กับระบบแบบนี้ 2 สัปดาห์ ไม่มีใครทำอะไรได้
ในเรื่องมีหลายประโยคที่พัดผ่านเข้ามากระแทกใจ แต่ที่โดนใจอย่างจังคงมี 2 ประโยค คือ 1. ตอนที่ธนาธรพูดครั้งแรกๆ เลยมั้งให้พวกผู้สมัครสส. (ซึ่งบางคนก็เป็นคนที่มีฐานะดี)ฟังว่า "นโยบายของพรรคไม่ได้ทำเพื่อคนรวย ต้องขอโทษด้วย ไม่มีนโยบายที่เหมาะกับคนทุกคนบนโลก ต้องบอกกันแบบนี้แต่แรก" แล้วก็ตอนที่พูดว่า "ถ้าผมไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ ผมก็คงมีชีวิตเหมือนพวกคนรวยคนอื่นๆ" (จำประโยคจริงๆ ไม่ได้ แต่ใจความมันคืออย่างนี้) 2. คือตอนที่คุณช่อบอกหลังการเลือกตั้ง 62 ด้วยสีหน้าที่ซีดลงเล็กน้อยและรู้ว่าเป็นช่วงที่น่ากลัวว่า "หลังการเลือกตั้งนี่แหละเป็นช่วงที่ real politics มันจะทำงาน และบอกเลยว่าน่ากลัวสุดๆ" และหลังจากที่พ่ายแพ้ในการโหวตนายกว่า "การฟอร์มรัฐบาลครั้งนี้ทำให้เรารู้เลยว่า พวกเราไร้เดียงสาทางการเมืองเกินไป"
อีกความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาระหว่างดูคือ อยากให้มีการเอาหนังเรื่องนี้ไปให้เด็กดูมาก มันคือสารคดีที่สรุปการเมืองไทยร่วมสมัย หรือจะเรียกว่าประวัติศาสตร์การต่อสู้ระหว่างอำนาจของกองทัพและองค์กรอิสระ กับอำนาจของพรรคการเมือง ถึงแม้ว่ามันจะฉายให้เห็นอารมณ์ของผู้คนที่สนใจพรรคอนาคตใหม่แต่เพียงพรรคเดียว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคอนาคตใหม่มีส่วนสำคัญยิ่งต่อการจุดพลุหรือปักธงทางความคิดให้กับคนรุ่นใหม่ ให้หันมาสนใจการเมือง และไม่เอาอีกแล้วกับการรัฐประหาร.
ประเด็นสำคัญสุดๆๆ อีกอันที่หนังเรื่องนี้พยายามฉายและพูดซ้ำๆก็คือ ปัญหาของรัฐธรรมนูญไทยปี 60 ซึ่งยังไม่ถูกแก้ทั้งฉบับเลยจนถึงปัจจุบัน ถามว่ามันมีปัญหาอะไร ก็พูดง่ายๆ มันร่างมาจาก คสช. กลุ่มอำนาจเก่าของเรานั่นเอง เพราะฉะนั้นมันก็สะท้อนว่า the cycle ยังคงดำเนินต่อไป เกมยังไม่ถูกเปลี่ยน แต่อำนาจของผู้เล่นที่จะเลือกตัวละครไปเล่นมันก็เปลี่ยนไปแล้วอย่างไม่หวนกลับ และการเดินทางของธงความคิดแบบอนาคตใหม่ก็ยังไม่สิ้นสุด
#BreakingTheCycle
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in