"ร็อกไม่มีวันตาย !"
เสียงก้องจากใจวัยรุ่นตอนปลายคนหนึ่งที่แล่นมาในหัวสักครู่ ทำให้เรานึกถึงวันเวลาที่เราฟังเทปเพลงร็อกผ่านซาวด์อะเบาท์เสียบหูฟัง (เพราะคนขายบอกไว้หลังทอนเงิน "อย่าเปิดดังนะน้อง") หรือถ้าไปกรุงเทพก็แวะ The Rock Pub วิหารศักดิ์สิทธิ์ของชาวร็อกแห่งสยามประเทศที่ผลัดมาถึงสามที่ตั้ง พญาไท (สะพานหัวช้าง) - ราชเทวี - และล่าสุดวันนี้...สนามเป้า (ฝั่งตรงข้ามผับร็อกนั่นคือตึก TGN ข้างช่อง 5...ที่แต่ก่อนคือลานโลกดนตรีที่ชาว 90s โตมาด้วยกัน) กินข้าวมื้อเย็นช่วง Happy Hour หลังเคารพธงชาติตอนตะวันตกดิน คลอเพลงมัน ๆ โยกหัวเพลิน ๆ เลยเชียว
จากวันนั้นถึงวันนี้ เพลงร็อกไทยพัฒนาแบบไม่หยุดยั้ง มีวงใหม่ ๆ ทั้งบนดินและใต้ดินแจกความสะใจให้ชาวกะโหลกเหล็กพลุ่งพล่านกันไปข้าง
แต่วันนี้จะมาพูดถึงหลักกิโลของเพลงร็อกไทยที่เป็นโครงการส่วนตัวของมือกีตาร์คนหนึ่ง ที่มีลวดลายการคิดทำนองและโซโล่อันเป็นอมตะ ทั้งนิ้วเร็วเน็ต 5G เรียกพี่ ไปจนถึงหวานซึ้งแต่หนักแน่นเหมือนกินกาแฟมอคค่าคั่วเข้มกับคอร์นเฟลครสช็อกโกแลตญี่ปุ่น และการเดินทางของวง ๆ นี้ช่างยาวนานเหลือเกิน
ผมกำลังจะพูดถึง "The Olarn Project" กับการรีวิวมหากาพย์ผลงานเพลงของพวกเขา ภายใต้การนำทัพของขุนขวานจากเชียงราย "โอ้-โอฬาร พรหมใจ"
"ซึ่งการเดินทางของเขาวันนี้...ครบ 40 ปีพอดี"
ยาธาตุนักเลง...พร้อม!!!
-
ก่อนจะไปถึงโครงการส่วนตัวของพี่โอ้ ไม่พูดไม่ได้กับผลงานป๊อปร็อกบูติกในนามวง "โซดา" กับอัลบั้มชุด "คำก้อน" ที่วันนี้ (ปี 2568) อัลบั้มชุดนี้ ครบ 40 ปีพอดี (วางแผงปี 2528)
ไลน์อัพวงโซดาประกอบด้วย จง-บรรจง รัตนโสภณ มือกลอง อาร์ต-สมโชค นวลนิรันดร์ มือกีตาร์ (ในเวลาต่อมาไปทำเพลงให้ศิลปินค่ายเอสพี ศุภมิตร) แตงโม-ฉัตรพงษ์ นิยมไทย มือคีย์บอร์ด (ทั้งสามคนแรกเคยเล่นในนามวง โจนาธาน บลูส์) พิทักษ์ ศรีสังข์ มือเบส พี่โอ้ที่เป็นมือกีตาร์เอง และนักร้องนำกระเดือกทองคำหนึ่งเดียวในไทย...โป่ง-ปฐมพงศ์ สมบัติพิบูลย์
วงนี้มีคอลัมนิสต์ดนตรีฝีปากกล้า ขุนทอง อสุนี ณ อยุธยา เป็นผู้จัดการวง และควบคุมการผลิตโดยพี่ชายใจดีมีหนวด พี่เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์
เริ่มต้นอัลบั้มด้วย "คำก้อน*" ผู้ชายที่ทุพพลภาพร่ำรวยเงินทองผู้ร่ำร้องหาความรักที่สมหวัง ตามต่อด้วย "ไปเธ็ค*" ที่สะท้อนวัยรุ่นกลางคืนที่เต้นมันตามเพลง แถมพ่อแม่ตามใจให้ตังค์ลูกเที่ยวอีก ปรับมูดด้วย "กีตาร์พาฝัน" ที่คนแต่งชื่อ อ.วรเทพ แต่งเพลงสั้น ๆ แต่ได้ใจความและจับใจ ให้กีตาร์ตัวนี้เป็นเพื่อนคลายเหงาใจ
"สาวสเก็ต*" สะท้อนความรักของวัยรุ่นสเก็ตดิสโก้สี่ล้อยุค 80s (ซึ่งคนละอย่างกับสเก็ตน้ำแข็งในยุค 90s เป็นต้นมา) กว่าที่จะเล่นเก่ง นางก็หนีไปมีคนใหม่กับหนุ่มรถซิ่งบีเอ็มดับบลิวซะแล้ว "ปลายคลื่น" ปลายปากกาของสมโชค เป็นเพลงปรัชญาชีวิตที่ฟังสบาย จากเสียงร้องของแตงโม
"ฉันยังจำได้เสมอ*" เพลงสตริงลูกกรุงตามสมัยนิยม (และเสียงกลองจาก Mr.LinnDrum LM-2 ดรัมแมชชีนที่เคยดีดนิ้วมือกลองอาชีพตกงานมาแล้ว) กับภาษาสไตล์ The Golden Song กลิ่นโก๋หลังวังเชียว ประมาณว่าคืนก่อนเที่ยวเธคจนเบื่อ วันนี้ไปคอฟฟี่ชอปแล้วกัน โดนคนที่ชอบหักอกมาซะงั้น (หรือถ้าอายุไม่ถึงก็กินติมที่ศาลาสเวนเซนส์ก็ได้ ไม่ช็อกมินต์ก็รัมเรซินสินะ)
หวานซึ้งต่อด้วย "คอยรักกลับคืน" เพลงจากปลายปากกาพี่อาร์ตสมโชค (ตามเคย) เป็นเพลงรักที่ให่กลิ่นอายเหมือนนั่งดูละครที่กำกับโดยคุณจั๋ง-เริงศิริ ลิมอักษร (คนนี้เป็นคนทำหนังละครรุ่นเดียวกันกับอาพิศาล อาเพิ่มพล อาชนะ คราประยูร อาวีรประวัติ พ่อพี่เคนธีรเดช) ภาษาของเพลงนี้ให้อารมณ์นั้นชัดเจน แถมมีวรรณศิลป์ด้วยนะ
"สิ่งที่ฉันเห็น*" เพลงนี้สะท้อนชีวิตบ้านนอกเข้ากรุงชัดเจน ที่ต่อให้เวลาผ่านไป 40 ปี เทคโนโลยีไปไกลแค่ไหน ใจคนก็ยัง...ครับ
"หารัก" เพลงจากปลายปากกาพี่โอ้ ที่ให้อารมณ์หวาน ๆ เศร้า ๆ ได้ไม่แพ้กัน แล้วก็มาจบด้วยเพลงฮาร์ดร็อกอย่าง "เด็กซิ่ง" ที่ความรักของจริงมักจะไม่เจอในผู้หญิงเที่ยวผับเธคกลางคืน เดือด ๆ มัน ๆ ปิดบั้มไปเลย (ปลายปากกาพี่แตงโม)
ถึงแม้ว่าอัลบั้มชุดนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ถือว่าพวกเขา 6 คนมีเครดิตการออกอัลบั้ม แถมมีไปสัมภาษณ์ที่ไหนก็ต้องลดอายุ แต่งตัวบูติควัยหวาน ซึ่งไม่ใช่ตัวตนของพวกเขาเท่าไหร่ ถ้าให้เทียบก็เหมือนหมากฝรั่งรสผลไม้ที่เคี้ยวสามเม็ดเพื่อเป่าลูกโป่ง แล้วความหวานก็หายไป หรือไม่ก็ลูกอมเคี้ยวนุ่มรสผลไม้ที่แข็งซะจนฟันซี่นั้นเกือบหลุดจากเหงือกเลย
อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งที่พี่เต๋อจะขับรถส่งพี่โป่งกลับบ้าน หลังทำเพลงที่ห้องอัดศรีสยาม พี่ชายคนนี้ก็ได้บอกเขาว่า..."ต่อไปในภายภาคหน้า ศิลปินที่จะอยู่ได้ ต้องสร้างงานด้วยตัวเอง" ซึ่งคำนี้คือรากแก้วที่ทำให้พี่โป่งเป็นไอคอนเพลงร็อกเมืองไทยจนถึงวันนี้ (ใช่ครับ เพลงที่ทำดอกจันไว้ คือเพลงที่พี่โป่งแต่งเอง)
-
กุมภาพันธ์ 2528 (แทนความห่วงใย) - 2530
หลังจากวงโซดาแตกวง ทุกคนก็มีเส้นทางของตัวเอง โดยพี่โอ้ รับงานอัดเพลงให้กับห้องอัดเสียงทอง (ค่ายเพลงในอดีต ต้นสังกัดของวงคนด่านเกวียน) และเสนองานที่แต่งเพลงเองให้บอร์ดผู้บริหารค่ายจนได้รับไฟเขียวให้ทำมาสเตอร์จริง พร้อมกับจับมือกับ โป่ง ทักษ์ แตงโม และมือกลองใหม่ กุ๋งกิ๋ง-ชนินทร์ แสงค้ำชู กลายเป็นงานชุดแรกของวง "กุมภาพันธ์ 2528 (แทนความห่วงใย)"
เปิดด้วยเพลงซึ้ง ๆ "แทนความห่วงใย" ซึ่งเพลงนี้เองที่วงเอามาบรรเลงในวันคอนเสิร์ต Trilogy Rock Concert ปี 2548 พร้อมกับความในใจของเจ้าของเสียงร้องเพลงนี้ (พี่แตงโม) ว่า 18 ปีผ่านไปมันยาวนานและแสนคิดถึงเหลือเกิน แน่นอน เพลงเป็นสื่อกลางที่ทำให้เรามีกันและกันเสมอมา
แล้วก็มาโยกหัวปลุกไฟในตัวเราชาวร็อกกับ "หนทางของคุณ" จากปลายปากกาคำร้องและทำนองของพี่โอ้ ไลน์กีตาร์เดือด ๆ และกลองแน่น ๆ มันทำให้พลังใจของเรากลับมาจริง ๆ
"ฉันอยากจะตายเพราะเธอ (ว่ะ)" เพลงกลิ่น Feminist ที่พูดถึงบทบาทของผู้หญิงที่เริ่มเด่นไม่แพ้ผู้ชาย (มีความเท่าเทียมในสังคมไทยสมัยใหม่ตั้งไข่ยุคโชติช่วงชัชวาลเลย)
อินโทรกีตาร์ช้า ๆ หวาน ๆ พลิ้ว ๆ ทำให้เราชวนฝัน แต่พอเล่นสปีดแบบพี่อิงวี่ความมันของเพลงรักเรียกสติหนุ่มสาวที่ชื่อ "ไฟปรารถนา" ก็ได้เริ่มต้นขึ้น แถมนั่งในใจชาวร็อกมาทุกยุคทุกสมัย ภายใต้แนวคิด "ถ้ารีบมีรักทั้ง ๆ ที่ไม่พร้อม ยังไงก็แพ้ใจตัวเองไปกับไฟปรารถนา"
เพลงบรรเลงที่ชื่อเดียวกันกับอัลบั้ม "กุมภาพันธ์ 2528" มีที่มาจากกว่าจะรู้ตัวว่าแอบรักเขาก็สายไปแล้ว (เขาแต่งงานตุลา 27 แต่มารู้ตัว กุมภา 2528) เปิดมาด้วยสำเนียงเศร้าแต่หนักแน่น แล้วสลับมาเป็นสปีดเร็วแทนความโมโหตัวเอง แล้วก็กลับมาเสียใจตอนสายอีกครั้ง นั่นแหละครับกีตาร์พูดได้ของจริง แล้วปิดหน้า A ด้วยเพลง "ไชโย" ที่มาแนวนิวเวฟเหมือนเพลงเชียร์กีฬา ประมาณว่าหงส์แดงฉลองแชมป์ (YNWA เธอจะไม่มีวันเดินลำพังไหมล่ะ)
แล้วก็เปิดหน้าสองด้วยเพลงประจำวงตลอดกาล "อย่าหยุดยั้ง" ด้วยภาษาที่เป็นจินตนาการของพี่โป่ง และน้ำเสียงปลอบประโลม เพลงนี้จึงอยู่ในใจคนฟังเพลงแบบก้าวข้ามยุคสมัย ตามต่อด้วย "ด้วยตัวเราเอง" ที่ว่าด้วยการสร้างความมั่นใจโดยการไม่แคร์เสียงนกเสียงกาของพวกปากเสีย "ที่เขาไม่เคยหาข้าวเรากินแม้แต่มื้อเดียว" ต่อด้วย "เพลงเพื่อคุณ" ที่เตือนสติเหล่าปีศาจสุราได้ดี
"เธอต้องการไหมมีใครสักคน" เพลงรักที่ฟังต่อกับอย่าหยุดยั้ง เป็นเพลงร็อกมัน ๆ แต่หวานเข้มเหมือนกินช็อกโกแลตแท่งที่ Cacao 75% ที่เน้นขม (ตามธรรมชาติของพืชผลโกโก้ที่ไม่มีรสหวานแต่ต้น) "ไม่เคยลืม" เพลงโชว์สำเนียงกีตาร์มัน ๆ สไตล์อิงวี่ แต่เป็นตัวของตัวเองที่แท้จริง "เราสองคน" เพลงโฟล์กร็อกโค้งสุดท้ายของอัลบั้มชุดนี้ และปิดฉากด้วย "สนุกทุกถ้วนหน้า" ที่ปิดม่านชีวิตความรักเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีเยาวชนสากลได้สุดมันเชียว
การบันทึกเสียงชุดนี้ได้เชิญมือแซกตัวเจ็บของวงการอย่างน้าต๋อง-เทวัญ ทรัพย์แสนยากรมาเป่าให้ มิกซ์ดาวน์โดย โยธิน ฤทธิพงศ์ชูสิทธิ์ (ซาวด์เอ็นที่รับไม้ต่อจากอาอุกฤษณ์ พลางกูร ที่ไปทำห้องอัดแจมสตูดิโอเต็มตัว) ด้วยความที่เสียงกลองสลับกันระหว่างกลองสดและ LinnDrum ทำให้งานชุดนี้มีธรรมชาติของความเป็นร็อกได้ชัดเจน และเป็นตัวเองมากกว่างานชุดคำก้อนอีก
คราวนี้เปลี่ยนจากลูกอมหมากฝรั่งมาเป็นมันฝรั่งทอดลอนใหญ่รสเกลือรสไก่ซองเหลืองซองแดงแล้ว...เอาเรื่อง !
-
หูเหล็ก - 2532
หลังจากงานชุดแรกในนาม The Olarn Project วางแผง ทั้งวงได้ทำงานชุดที่สองต่อ แต่ด้วยสถานการณ์ค่ายห้องอัดเสียงทองที่เริ่มอิ่มตัว ทำให้ค่าย "ปิดปรับปรุงตลอดชีวิต" และมาสเตอร์ชุดที่ 2 ก็ติดแหง๋กอยู่กับค่าย
ด้วยความที่พี่โอ้เป็นเพื่อนกับซัน-มาโนช พุฒตาล (บุตรของนายเฉลียวกับนางอำไพ) เลยปรึกษาว่าจะเอายังไงดี บังซันเลยเข้าไปหาอดีตผู้บริหารค่ายเสียงทอง คุณประกิต อภิสารธนารักษ์ (เจ้าของเอเจนซี่โฆษณา ประกิตแอนด์เอฟซีบี) ขอซื้อมาสเตอร์ชุดนี้ในราคา 400,000 บาท จากการที่คุณประกิตคิดค่าทำงานชุดกุมภาพันธ์ 2528 ที่โอฬารติดหนี้อยู่ เลยได้มาสเตอร์นี้ไป ระหว่างนั้น...
"คุณเอามาสเตอร์ชุดสองแล้ว แล้วกุมภาพันธ์ 2528 จะเอาไหม ถ้าชุดสองที่ซื้อดังขึ้นมาเดี๋ยวทำขายแข่งนะ คิดราคาให้ครึ่งนึง"
บุตรชายนายเฉลียวกับนางอำไพปิดดีลนี้ แต่ก็ต้องยืมเงินพี่ชายของพี่ชายอีกทีก่อน (น.ท.ธีรศักดิ์ พุฒตาล และอาดำรง พุฒตาล)
"ชุด หูเหล็ก จึงถือกำเนิดขึ้น"
ด้วยความที่มาโนชมีสื่อในมืออย่างรายการ "บันเทิงคดี" ทางช่อง 5 และนิตยสาร "บันเทิงคดี" ที่มีฐานผู้ติดตามที่ฟังเพลงเฮฟวี่เมทัลต่างประเทศอยู่แล้ว เลยเอางานนี้ให้ MGA จำหน่ายในยอดปั๊มแรก 80,000 ปก ปรากฏว่า "ติดตลาด" และแจ้งเกิดให้ค่ายเพลงไมล์สโตนอย่างเต็มตัวตั้งแต่นั้น (จะกล่าวได้ว่า รายการบันเทิงคดีเข้าใจหัวอกคนฟังเพลงสากลได้ดี โดยเฉพาะชาวร็อกแน่แท้)
ไลน์อัพรอบนี้มีการเปลี่ยนแปลง คือ ได้รงค์-ณรงค์ ศิริสารสุนทร มือเบส (เจ้าของเสียงตะโกนก่อนรอบ Encore คอนเสิร์ตนั้นว่า "ดังๆ!!! อย่ายอมแพ้นะ!!! โป่งร้องวันนี้ 25 เพลง เสียงหมด แต่เขาจะไม่ยอมถ้าคุณไม่ยอม...เรียกมันออกมา!!!") และมือกลองจากสวีเดน Mikael Johansson เป็นอ้ายมาสี่คน พร้อมกับเปิดอัลบั้มด้วย Introduction ที่โหมโรงความมัน
"เหมือนว่าประตูคอนเสิร์ตเปิดแล้ว"
และแทรคต่อมาคือชื่อของอัลบั้ม..."คนหูเหล็ก" สปีดเมทัลสุดมันที่ร้อนแรงและดุเดือดสมชื่ออัลบั้ม กับกลองโปรแกรมสุดมัน Roland TR-707 ที่โคตรเข้ากันกับการมิกซ์ของคุณโยธินคนดีคนเดิม (ใครจะว่า Who's the !@#$ use the drum machine on the rock song?...ก็นานาจิตตังครับ ไม่ว่ากันเลย แต่เทคโนโลยีอัดเสียงเวลานั้น...ครับ) "เหตุมันดังสะใจ หูใครหูมัน" เนื้อร้องของพี่โป่งก็บอกอยู่แล้ว
ตามต่อด้วย "ขอผมสักคืน" เพลงร็อกกับเรื่องบนเตียงย่อมเป็นของคู่กันอยู่แล้ว กลองสดก็มันดีของจริงดี (แล้วแต่การจัดระบบเสียงโดยเหล่าซาวด์เอ็นจิเนียร์แต่ละห้องอัด) ตามต่อด้วยเพลงบรรเลง "รุ่งอรุณ" เหมือนจบองก์ 1 ของคนหูเหล็ก แล้วจบหน้าA ด้วยเพลง "เพราะรัก" เพลงที่พี่โป่งใช้วรรณศิลป์ในการแต่งเพลง Rock'n Roll with Sex แบบไม่หยาบคาย มีความคนอ่อนไหวและ Sexperience จริง ๆ (แถมทางคอร์ดและเมโลดี้ท่อนฮุคและไลน์โซโล่ที่เปลี่ยนคีย์มันช่างงดงามซะเหลือเกิน)
"เหนือคำบรรยาย" เพลงที่อินโทรกีตาร์ทรงพลัง และเนื้อหาเกี่ยวกับพระคุณของแม่ที่ยิ่งใหญ่ และทำดนตรีได้อลังการสมกับเลือดพันธุ์ร็อกเลย แล้วมัน ๆ กันต่อด้วย "ฟ้า...ขอท้าทาย" เพลงปลุกกำลังใจที่เราต้องท้าทายโชคชะตาฟ้าดินที่คอยแกล้งเราเสมอด้วยใจนักสู้ "บทเพลงของคนหนุ่มสาว" เพลงที่ปลดแอกความเป็นวัยร้อนเพลงร็อกได้ดี มาถึงโค้งสุดท้ายด้วยเพลง "คน" ที่เล่าเรื่องการทำดีทำชั่วของคนกลิ่นทั้งรู้ ตามหลักสูตรเพลงร็อกที่มีเรื่องชีวิตคนด้วย
แล้วปิดม่านงานชุดสองด้วย "อย่าหยุดยั้ง" ฉบับอะคูสติก ที่ฟังแล้วเหมือนได้รับการปลอบประโลมหัวใจในวันเหงา ๆ ได้ดีสมกับเพลงปิดอัลบั้มแน่แท้
งานชุดสองถือว่าเป็นเฮฟวี่เมทัลภาคภาษาไทยที่สะใจคนร็อกส่งท้ายยุค 80s อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมกับสมดุลกลองสดและกลองโปรแกรมที่ร็อกขึ้น อัลบั้มนี่จึงเป็นอัลบั้มเพลงร็อกภาคภาษาไทยยุคบุกเบิกที่ไม่ควรพลาดจริง ๆ (นอกจากการนำร่องป๊อปร็อกอย่างไมโคร อัสนี-วสันต์ นูโว และอิทธิ พลางกูร) คราวนี้มีเครื่องดื่มแก้เลี่ยนมันทอดแล้ว เป็นเหล้าผสมน้ำซ่าฉลากแดง/น้ำเงิน มัน ๆ ยันหว่างยังได้!!!
แถมเทปมือสองชุดนี้หาซื้อตามร้านออนไลน์ออนไซต์อยู่ทั่วไป ราคากันเองไหมแล้วแต่คนขาย (ถ้าเขาไม่ใช่มิจหรือคนขายหน้าเลือดนะ)
บอกตรงนี้ จำมาสเตอร์เทปกุมภาพันธ์ 2528 ที่อาซันซื้อต่อจากคุณประกิตได้ไหมครับ อีกสองปีต่อมา (ปี2534) อัลบั้มชุดนั้นก็ได้กลับมาวางขายอีกครั้งกับปกดำเสื้อหนังไขว้กีตาร์ที่เราคุ้นเคยกัน แถมการใช้ฟอนต์ก็เข้าใจชาวร็อกสุด ๆ (คือ พาดหัวใช้ เพทาย-JS Sadayu และทอมไลท์-Cordia และเลย์เอาท์เนื้อเพลงข้างหลังออกแบบในพื้นที่สุดจะโคตรคุ้ม ในขณะปั๊มแรกปกขาวของห้องเสียงทองก็สวยสะอาดอีกแบบนึง แค่ตัวทอมไลท์ในเนื้อเพลงเล็กไปหน่อย / แต่ปั๊มแรกหายากเชียว บางคนตั้งใจจะไม่ขายเลยก็มี คนเลยคุ้นเคยกับปกดำมากกว่า)
นั่นแหละครับ อัลบั้ม Sleeper Hit ที่วางแผงแรก ๆ ไม่เท่าไหร่ พอกระแสมานั่นแหละ...เอาเรื่อง!!!
-
ไตรภาค - 2536
การเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นนิรันดร์ พี่โป่งและพี่รงค์ไปทำวง หิน เหล็ก ไฟ มีการเปลี่ยนมือคีย์บอร์ดเป็นพี่ป้อ-นุสรณ์ พจน์พิพัฒน์ และมือเบสใหม่ หนิง-กฤษฎา จงจิตต์ ในโครงการเพลงร็อกของค่ายไมล์สโตน "ไตรภาค" ที่พ่วงกับงานเพลงของวง The Rain (วงร็อกที่สตอรี่แบบชีวิตจะแทบเกือบไปตายทั้งวงและนายห้างมาโนช ไม่ลงดีเทลเยอะ แต่ผมใบ้ให้ว่า "ตีห้ากับสิบโมงเช้า" เท่านี้) และมาโนช พุฒตาล กับวรรณกรรมเพลงโปรเกรสชีฟระดับตำนานของบุตรนานเฉลียว-นางอำไพ..."ไกล" อันเป็นไฮไลท์อัลบั้มชุดนี้
เปิดหัวด้วย "แด่พระคุณพ่อ-แม่ ที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล" กับการเดินเรื่องด้วยไลน์บรรเลงกีตาร์ตัวเดียว ที่สะท้อนจากวันเลี้ยงดูจนเติบใหญ่และจุดหักเหที่อาจจะทำให้ท่านเสียใจ แต่ก็ให้อภัยลูกเสมอ นั่นแหละครับ สถาบันสังคมหมายเลขหนึ่งที่ชื่อครอบครัวย่อมหนักแน่นเสมอ
"ไม่เคยลืม หมายเลขสอง" เพลงจังหวะช้า ๆ กึ่งปานกลาง ที่เป็นอารมณ์ไม่มูฟออนจากความรักที่ไม่สมหวัง มากับสำเนียงที่เจ็บปวดจากใจ เพลงนี้เปลี่ยนคีย์เหมือนบิดคุกกี้โอริโอ้เลย ชิมครีมและจุ่มนมรสหวาน ๆ ขม ๆ เข้ม ๆ กับเพลงบรรเลงสุดพลิ้วนี้ (กลิ่นฟิวชั่นเบา ๆ เชียว)
และก็มาถึงเพลงร้องเพลงเดียว "ตำนาน" นี่คือความคนไทยพูดไปเรื่อยที่มาก่อนกาลจากปลายปากกาพี่โอ้เอง เป็นเหมือนหลักกิโลของการเดินทางของดิโอฬารที่สมกับคำว่า "ไตรภาค" ผ่านเสียงร้องของบ็อบ-ธีระ คำภักดี (ในเวลาต่อมาคือนักร้องนำวงลาวา ที่สมาชิกแตกจากหิน เหล็ก ไฟ อีกที และเขย่าต่อมหูเหล็กท้าทายไอเอ็มเอฟเชียวล่ะ)
"ตำนาน ๆ ตำไม่เสร็จ แต่ละเม็ดหยาดเหงื่อเพื่อแฟนเพลง" คือสารที่จริงใจจากดิโอฬารถึงชาวร็อก สมกับเนื้อร้องที่ว่า "แม้สิ้นแผ่นดินถิ่นอาศัย เราจะไม่ไปจากใจคุณ เหมือนอยู่เคียงหมอนหนุ่นตัก อบอุ่นแนบเนื้อทรวงใน เก็บใจของเราเอาไว้ในใจของคุณตลอดเถิด"
-
ลิขิตดวงดาว - 2539
ห่างหายไปนาน ดิโอฬารกลับมาอีกครั้งด้วยงานเพลงที่ขอสวนกระแสเพลงอัลเตอร์เนทีฟ "ลิขิตดวงดาว" ภายใต้ค่ายเพลงจากชลบุรี Perfect Record กับไลน์อัพดังต่อไปนี้
- โอฬาร พรหมใจ (โอ้ - กีตาร์)
- ฐิติชนม์ พึ่งอาศรัย (บอย - ร้องนำ)
- Ruba Mosan (Keyboard)
- กฤษฎา จงจิตต์ (หนิง - เบส)
- เอกมันต์ โพธิพันธุ์ทอง (มัน - กลอง)
เริ่มต้นด้วยเพลงบรรเลงที่ปลุกยักษ์ในตัวเรา "พลังและความตั้งใจ" (ไลน์ซินธ์โซโลโดยพี่ป้อนุสรณ์จากไลน์อัพไตรภาค) แล้วตามต่อด้วย "ดาว" เพลงนี้ไลน์เมโลดี้เปียโนดนตรีสวยงามมาก กับภาษาที่เป็นบทกวี ปลายปากกาคุณนพดล จำปา เพลงนี้ให้อารมณ์เหมือนเพลงละครเวทีนักศึกษาที่เล็กน้อยแต่ทรงพลังไม่แพ้รัชดาลัยเลย
"นับตั้งแต่นี้ไป เนื้อร้องทุกเพลงแต่งโดยพี่โอ้เอง"
"เยาวชนไทย" เพลงที่เป็นเหมือนโหมโรงละครเวที ในพลังของคนรุ่นใหม่เพื่อสังคมที่น่าอยู่กว่าเดิม "หรือเราเข้าใจรัก" บัลลาร์ดที่เชือดเฉือนของคนที่โดนความรักหลอกจนตายใจและขอโอกาสให้เธอกลับมาใจดีกับเรา ถึงแม้ว่าความรักจะจบลงแล้ว (Ruba แต่งทำนอง)
"ต.ช.ด. (ห่มธุลี พลีกาย)" เพลงนี้ให้อารมณ์เหมือนเราเล่นเกมตู้ยิงปืนอย่าง Virtua Cop 1-2 (ที่เราอยากยิงตัวประกันมากกว่ากองโจรเป็นบอยแบนด์) ใช่ครับ เป็นเพลงให้กำลังใจตำรวจชายแดนที่มีหน้าที่พิทักษ์ผืนแผ่นดินไทยจากเหล่าอาชญากร "เสียชีพอย่าเสียสัตย์ Vibes"
"รักเธอเสมอ" เพลงจังหวะปานกลางของคนสองคนที่แตกต่างกัน กว่าที่เราเข้าใจรักได้ต้องใช้เวลานานอยู่ ต่างคนต่างหาความหมายกันและกัน (ฐิตาพร ศรีเสน ร้องคู่เพลงนี้) ตามต่อด้วย "ดาว (เวอร์ชั่นบรรเลง)" พร้อมกับเพลงบรรเลง "ณ เวลานั้น (Favorite Jam)" ที่เหมือนเพลงคลอละครหลังข่าวกับฉากบุกวัดร้าง
"อาหรับวาที" ให้อารมณ์เหมือนฉากต่อสู้กันในป่าลับแลเพื่อขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า (มีความอาฉลอง ภักดีวิจิตรเลย) และแล้วก็ปิดม่านด้วยเพลง "ไร้เวทย์มนต์" ที่เหมือนจุดไคลแมกซ์ของละครเรื่องนี้ กับเนื้อหาที่ว่าด้วยความลับลมคมในของสังคมดุเดือดของคนที่อยากมีสิทธิ์ในการใช้ชีวิตตามสิทธิมนุษยชน
แล้วก็จบอัลบั้มด้วยความจบปลายเปิดแบบหนังค่ายนึง (ชื่อขึ้นต้นด้วย "จี" คั่นกลางด้วย "ดี" ลงท้ายด้วย "เอช") แบบว่าปล่อยให้ค้างคาแบบนั้น คิดต่อเองอุตลุดวุ่นเชียว
ด้วยความที่เนื้อร้องที่พี่โอ้โอฬารแต่งนั้นอาจจะจับต้นชนปลายใหลตามทำนอง กระผมขอไม่ตัดสินว่าดีไม่ดี แค่งานชุดนี้ให้อารมณ์เหมือนวรรณกรรมอินดี้ที่อยากให้สัมผัสงานของโอฬาร 100% แม้อาจจะต่างจากยุคพี่โป่งแบบลิบลับ (เหมือนเรากินข้าวร้านประจำ แต่เปลี่ยนคนครัว หรือกินขนมวัยเด็กแล้วไม่อร่อยแต่ก่อน สมมุติว่าเป็นเค้กไส้คัสตาร์ดยี่ห้อหนึ่ง) แต่งานชุดนี้ยังคงเน้นไลน์กีตาร์ที่งดงามและดุดันเช่นเคย
ผมเองไม่ทราบว่าฟีดแบคชุดนี้ดังไม่ดัง แต่ที่แน่ ๆ ดิ โอฬาร โปรเจ็กต์ ได้รับรางวัลสีสันอะวอร์ดส์ครั้งที่ 9 สาขาเพลงบรรเลงยอดเยี่ยม (เพลง "พลังและความตั้งใจ") และศิลปินกลุ่มร็อคยอดเยี่ยมมานอนกอดได้สำเร็จ นี่คือสิ่งที่การันตีว่า "เพชรแท้ทองแท้ไม่แพ้ไฟ สำเนียงกีตาร์หูเหล็กสะใจต้องโอฬาร"
ที่สำคัญ ในตลาดเทปมือสองทั้งออนไลน์และออนไซต์นี่หากันให้ควั่ก บางครั้งมาในสภาพซีลไว้ยังไม่แกะ นั้นแหละฮะ งานชุดนี้ใครมีเทป เก็บไว้ดี ๆ นะครับ คุณกำลังครอบครองงานร็อกที่ล้ำค่าเลย
-
The Olarn Classic - 2545
การเดินทางของดิโอฬารโปรเจ็กต์มาถึง 15 ปีในปี 2545 งานชุดนี้ The Olarn Classic เหมือนงานเลี้ยงรุ่นของคนพันธุ์ร็อกได้น่าประทับใจ ตามไลน์อัพดังต่อไปนี้
- โอฬาร พรหมใจ (โอ้ - กีตาร์)
- ปฐมพงศ์ สมบัติพิบูลย์ (โป่ง - ร้องนำ)
- จักรรินทร์ ดวงมณีรัตนชัย (ป๊อบ - กีตาร์)
- พิทักษ์ ศรีสังข์ (ทักษ์ - เบส)
- ดำรงสิทธิ์ ศรีนาค (ปิงปอง - กลอง) *มือกลองไฮร็อกเก่า*
มีเพลงเด่นอย่าง "มิตรภาพชั่วนิรันดร์" "เวลา Rock 'n Roll" "กำจัดมัน" "Bass & Drums Feel (Instrumental)" "เงินบนดาวอังคาร"
เพลงแต่งใหม่ที่ผมเองประทับใจคือ "ขอบคุณ" เพลงรักที่ฟังแล้วอบอุ่นใจกับความสัมพันธ์ที่ดีและยาวนาน (ใครที่เจอคนที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย อาจมีงอแงบ้าง และใส่ใจในความเป็นเราแบบนี้ รักษาไว้ให้ดี ๆ นะ)
พร้อมกับเพลงที่เอามาทำใหม่ในสไตล์อะคูลติก "ไฟปรารถนา" "เพราะรัก" "เหนือคำบรรยาย" และมาถึง Signature Song ของวง...นี่คือเพลง "อย่าหยุดยั้ง" ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของวงแล้ว เพราะอินโทรกีตาร์ 3 นาทีที่เหมือนได้รับการปลอบใจและโอบกอดพลังใจให้ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ (แน่นอน เพลงนี้กลายเป็น Tearjerker song ประจำตัวอีกเพลงของผมเลย)
การกลับมารวมตัวกันของดิโอฬาร 15 ปีครั้งนี้ เหมือนว่าจากคนที่เคยกินเหล้าคนเดียว คราวนี้มีเพื่อนเก่าเพื่อนใหม่มาเยี่ยม สังสรรค์ปาร์ตี้สบาย ๆ ด้วยเครื่องดื่มเย็น ๆ ไก่ย่างร้อน ๆ แคบหมูน้ำพริกหนุ่ม และเปี่ยมด้วยไฟปรารถนาตลอดมา
"และนี่คือหลักกิโลทางดนตรีร็อกของพี่โอ้ และ ดิ โอฬาร โปรเจ็กต์ ครับผม"
-
บทส่งท้าย
"ผมเคยหมดกำลังใจในการทำงานสายดนตรีมาพอสมควรทั้งหลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องระบบและสังคม ผมเองไม่อยากจะพูดอะไรมาก เอาความสุขมาก่อนดีกว่าครับ"
คำกล่าวของพี่โอ้ในคอนเสิร์ตในตำนาน Trilogy Rock Concert 30 เมษายน 2548 ก่อนที่เขาจะแนะนำสมาชิกวงและเริ่มเล่นเพลง "พลังแห่งความตั้งใจ" นั่นคือความในใจของมือกีตาร์คนนี้ ที่ต่อให้จะเจออะไรก็ตาม เขาก็ยังเดินบนถนนหกสายต่อไป เราจึงได้เห็นพวกเขาในนามดิโอฬารฯ ตามสื่อออนไลน์และอิเวนต์ต่าง ๆ แม้กระทั่งการมีกีตาร์ Signature model ของพี่โอ้กับแบรนด์กีตาร์ระดับโลก Squier และ Fender ซึ่งหมายความว่า
"พลังและความตั้งใจของดิโอฬารยังคงทรงพลังเสมอมา"
ว่าไปแล้วถ้าฟังเพลงของน้าโอ้วนไปเพลิน ๆ ก็มีกระถางดอกไม้ลอยมาซะงั้น
ข้อมูล/เรียบเรียง : นายต๊ก
26-27 พฤษภาคม 2568
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in