“อื้ออออ อีกนิดนะะะ”
ผมครวญครางกับตัวเองพร้อมกับเผยอตาขึ้นเล็กน้อย และก็ต้องรีบหลับตาลงแทบไม่ทันเพราะแสงแดดที่จ้าทะลุผ้าม่านสีขาวบางๆ ริมหน้าต่างเข้ามา
มันคงเป็นอาการอัตโนมัติของคนที่ยังไม่อยากตื่นที่จะต้องแสดงอาการอะไรสักอย่างให้คนอื่นได้รู้ว่า โอเคๆ ฉันรู้แล้วว่าต้องตื่นแต่ขออีกนิดนึงน่า ถึงแม้อีกห้านาทีมันจะไม่ได้ทำให้เราหายง่วง แต่ก็เอาหน่อยน่า
ไม่รู้ว่า “นิดนึง” ของวันนี้มันผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วบิดขี้เกียจไปมาทั้งที่ตายังหลับอยู่ เสียงกระดูกทั่วร่างพากันร้องระงม .. พร้อมกับเสียงน้ำย่อยในกระเพาะเริ่มประท้วงขออาหาร นี่เรานอนไปนานเท่าไหร่กันเชียวนะ ทำไมรู้สึกเหมือนไม่ได้ตื่นมาหลายวัน ลุกไปล้างหน้าล้างตาก่อนละกันค่อยออกไปหาอะไรรองท้อง
ผมลืมตาขึ้นมาและกระพริบมันรัวๆ เพื่อให้ชินกับแสงจ้าของพระอาทิตย์ ...
เอ๊ะนี่มันไม่ใช่ห้องเรานี่หว่า เตียงแบบนี้ ชุดที่ใส่แบบนี้ สภาพมันเหมือนเราอยู่ในโรงพยาบาลเลย!! หืมม เรามานอนทำอะไรที่นี่ รถชนเหรอหรือเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับเรา
ผมเอามือคลำไปทั่วร่างกายเพื่อดูว่ามีบาดแผลหรือมีอะไรขาดหายไปหรือไม่ แล้วก็พบว่าแขนขายังอยู่ดีพุงไม่มีรอยโดนแทง หัวใจไม่ได้โดนยิง คลำหน้าแล้วยังมีหู มีปาก มีจมูกอยู่ คิดดีๆ แล้ว นอกจากสายวัดระโยงระยาง ที่เชื่อมไปยังเครื่องอะไรก็ไม่รู้ที่ปิดอยู่ตัวผมก็ดูไม่มีอะไรผิดปกตินี่หน่า เออ ช่างมัน ไว้ค่อยไปถามพยาบาลละกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่
ผมดึงสายวัดต่างๆ ออกจากตัวแล้วเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ...
“โรงพยาบาลนี้สกปรกจังฝุ่นเยอะเชียว แม่บ้านหยุดงานประท้วงหรือไงนะ” ผมนึกในใจ พลางเอามือเช็ดๆ กระจกให้พอเห็นหน้าตัวเองได้บ้าง “อืม เรานี่ก็หล่อไม่เบานะ”
อาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินออกมาเดินดูในห้องว่ามีเสื้อผ้าปกติที่คนเขาใส่กันไหมนะ นอกจากชุดผ่ากลางหลังที่เห็นไปถึงร่องก้นแล้ว ผมก็พบชุดของผมพับกองใส่ถุงซีลอย่างดีอยู่ในตู้ข้างๆ เตียง ..
“ถ้าไม่ใส่ถุงอยู่ก็คงมีแต่ฝุ่นหละนะ” ในใจยังคิดถึงแม่บ้านขี้เกียจอยู่
ผมเดินออกจากห้องไปตามทางเดินมืดๆ พลางสงสัยว่าไฟดับหรือเปล่า หรือเค้ามีนโยบายประหยัดไฟ ทางเดินถึงได้มืดขนาดนี้แถมระหว่างทางเงียบเชียบมาก เงียบจนนึกถึงหนังซอมบี้บุกโลก
เอ๊ะหรือว่าซอมบี้บุกโลกจริงๆ แล้วเราคือผู้เหลือรอด?
ไม่จริงหรอก ซอมบี้มันจะมีจริงได้อย่างไร หรือมันจะมีจริง ไม่น่า ไม่ใช่หรอก ถ้าซอมบี้บุกป่านนี้ต้องมีศพเกลื่อนกลาดแล้วซิ ต้องมีเลือดบนกำแพง หรือมีร่อยรอยอะไรบ้าง นี่มันอาจจะแค่วันหยุดยาว หรืออะไรสักอย่างที่ทำให้คนเค้าไปอยู่ที่อื่นกันเฉยๆ แหละ
ความคิดผมเริ่มสับสน ไล่เหตุผลต่างๆ ที่พอจะเป็นไปได้ เพื่ออธิบายว่าคนในโรงพยาบาลหายไปไหนกันหมด นัดหยุดงานเหรอ อุทกภัย แผ่นดินไหว หรือต่างดาวบุกโลก? แต่ร่องรอยอะไรมันไม่มีเลย ทุกอย่างดูเงียบสงบ ไม่มีอะไรพังเสียหาย ถ้าไม่นับเรื่องที่ไม่มีไฟฟ้าอะนะ
ผมเดินตามทางเดินมาเรื่อยๆ จนถึงโถงนั่งพัก ซึ่งทำให้ผมเห็นแสงสว่างจ้าอีกครั้ง เพราะห้องนี้มีผนังข้างนึงเป็นกระจกบานใหญ่ ผมรีบเดินตรงเข้าไปด้วยความหวังว่าจะเห็นผู้คนอยู่ข้างนอกบ้าง ถึงแม้ว่าใจนึงจะกลัว แต่อีกใจก็คิดว่า จะไปกลัวทำไม ถ้ากลัวก็ไม่รู้แล้วก็ต้องนั่งรออยู่คนเดียวอย่างนี้อะเหรอ
เมื่อมองออกไปข้างนอก ชั้นที่ผมอยู่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียวแต่ก็ยังพอมองเห็นถนนด้านล่าง แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมกลัวบนถนนไม่มีคนเดินเลยแม้แต่คนเดียว
"เค้าอาจจะอยู่ในตึกกันหมดก็ได้มั๊ง" ในใจผมยังคิดอย่างมีความหวัง
ผมเริ่มรื้อของบนเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อดูว่ามีอะไรที่พอบอกผมได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้น - นั่น! โทรศัพท์ - ผมนึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินมาว่าระบบโทรศัพท์แยกออกจากระบบไฟฟ้า ถึงไฟจะดับแต่โทรศัพท์ก็ยังอาจจะใช้งานได้ ผมไม่รีรอ รีบยกหูขึ้นมาแล้วก็พบกับเสียงอันว่างเปล่า ... โง่น่า สมัยนี้แล้วเขาใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมทุกอย่าง ไม่ใช่ยุค 90 ที่โทรศัพท์ยังเป็นอนาล็อคซะหน่อย
หลังจากรื้อค้นข้าวของอยู่นาน ไม่มีวี่แววเอกสารอะไรที่ดูมีประโยชน์เลยไม่มีแม้แต่หนังสือพิมพ์ (สมัยนี้แล้วคนเลิกอ่านหนังสือพิมพ์กระดาษไปหมดแล้วหรือไง - ผมสบถในใจ) ผมถอดใจและนั่งพักเหนื่อย
โครกกกก - เสียงท้องผมประท้วงอีกครั้ง ทำให้นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้หาอะไรมาเอาใจมันเลย ผมมองหาตู้ขายขนมในโถงและก็ไปเจอตู้ขายมันฝรั่งอยู่ตรงหน้าห้องน้ำ ว่าแต่ ผมไม่มีเงินหยอดเลยและตู้ก็ไฟดับ ... "งัดเอาละกัน" - จิตมารของผมเสนอและผมก็ยอมรับความคิดนี้แต่โดยดี ผมเดินอ้อมไปหาอุปกรณ์มางัดและก็ได้ขวานจากตู้อุปกรณ์ดับเพลิง ผมลงมือฟันตู้ขนมด้วยแรงที่กำลังจะหมดลง
เพล้งง... เพล้งงงงงง ... เสียงกระจกแตกพร้อมกับเสียงความหวังที่แตกสลายของผม ในตู้มีแต่ห่อขนมที่มีแต่ซองเปล่าสำหรับโชว์ ห่อขนมจริงๆ ไม่มีเหลือเลย โอ้ว ชีวิตฉัน ทำไมมันช่างโชคร้ายอย่างนี้
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง ผมเดินไปที่ผนังกระจกอีกครั้งแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านตึกระฟ้าช่างเป็นวิวที่สวยงามเหลือเกิน ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงจะมีความสุขและยืนดื่มด่ำไปกับบรรยากาศนี้ แต่ตอนนี้ผมหิวและอ่อนแรงจนแทบจะลุกไม่ขึ้น โชคยังดีที่ในห้องน้ำมีน้ำไหลอยู่ผมจึงไม่รู้สึกกระหายมากนัก ถึงแม้จะรู้สึกกระอักกระอ่วนนิดหน่อยที่ต้องไปดื่มน้ำจากอ่างล้างมือที่อยู่ติดกับโถปัสสาวะ
แล้วผมก็เห็นโลโก้ที่คุ้นตาบนถนนมันคือโลโก้ของร้านสะดวกซื้อชื่อดัง "มันคงเหลืออะไรที่กินได้บ้างหละน่า" ผมเริ่มมีแรงฮึดขึ้นอีกครั้งนึง มองซ้าย มองขวา เก็บของที่มีประโยชน์ติดตัวสองสามชิ้นติดตัวและมองหาบันไดเพื่อลงไปด้านล่าง
21
ตัวเลขขนาดใหญ่ข้างโถงบันไดบ่งบอกจำนวนชั้นที่ผมต้องเดินลงไป "เอาน่า.. เดินลงคงไม่เหนื่อยเท่าไหร่หรอก" ผมปลอบใจตัวเอง
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจแน่ๆ คือขาผมเริ่มจะก้าวไม่ออกแล้วเมื่อผมเดินลงมาถึงตีนบันไดชั้นที่ 1 ผมทรุดตัวลงหอบพร้อมกับมองไปที่ประตูทางออกของโรงพยาบาลและครุ่นคิดว่า เราจะออกไปจริงๆ เหรอวะ
ข้างนอกนั้นเงียบสงัดก็จริง แต่มันปลอดภัยจริงเหรอ? แต่ถ้าผมไม่ออกไป ก็คงอดตายอยู่ตรงนี้ ... หรือจะไล่เดินดูตู้ขายอาหารชั้นอื่นๆ เผื่อมีบางตู้ที่ยังเหลือของอยู่ (แล้วทำไมไม่คิดได้ก่อนจะเดินลงมา 21 ชั้นฟระ - ผมด่าตัวเอง) เอาน่าไม่ลองไม่รู้ ผมลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แล้วเดินออกไปข้างนอก
ตื้อตื๋ดดด - เสียงที่ผมคาดว่าจะได้ยินเมื่อเปิดประตูร้านสะดวกซื้อ แต่ก็นั่นแหละ รู้อยู่แล้วว่ามันคงไม่ดังหรอก ผมเดินเข้าไปและเช็คดูชั้นวางอาหารก่อนเป็นอันดับแรก แล้วผมก็แทบทรุด
"ไม่อดตายแล้วโว้ยยยยยย" ผมตะโกนลั่นอย่างไม่อายใคร (เพราะถ้ามีใครให้ผมอาย ผมคงจะดีใจมาก)
ผมหยิบอาหารประป๋องสองสามอย่างและเดินไปตู้น้ำดื่มหยิบน้ำอัดลมที่คุ้นเคยมา เดินไปหาช้อนส้อมและก็เริ่มนั่งบรรเลงกิจกรรมมื้อเย็นตรงที่ว่างกลางร้านนั้น ถึงแม้ว่าพื้นจะเย็นไปนิดแต่ใครสนหละ หิวขนาดนี้ ให้นั่งกินบนน้ำแข็งผมก็ยอม
หลังจากปลาทูน่า ถั่วต้มและเนื้อบดได้ย้ายสถานที่อยู่จากกระป๋องเหล็กมาอยู่ในท้องของผม ท้องฟ้าก็เริ่มมืด เอาละไง กินอิ่มแล้วก็ต้องนอนหลับ แล้วเราจะไปนอนที่ไหนดี แว็บแรกผมก็คิดถึงเตียงที่โรงพยาบาล แต่มันอยู่ตั้งชั้น 21 คงไม่ไหวเดินขึ้นไปหรอก... งั้นหาอะไรมาปูนอนที่นี่แล้วกันใกล้อาหารดีด้วย
"อีโง่" เสียงนึงดังมาจากในหัวผม ตึกทั้งตึกมันไม่ได้มีเตียงอยู่ชั้นเดียวซักหน่อย อย่างน้อยที่ล็อบบี้ก็น่าจะมีโซฟานุ่มๆ แหละน่า จะมานอนพื้นแข็งๆ ทำไม
ผมหาถุงใส่ของ หยิบน้ำและอาหารบางส่วนติดตัวไปด้วยพร้อมกับอุปกรณ์ยังชีพอื่นๆ อย่างพวก ไฟฉาย เทียน ไฟแช็ก มีดพก ยาอีกสองสามอย่าง ฯลฯ .. "อืมถ้าเกิดภัยโลกแตกขึ้นมา ควรแวะมาช็อปปิ้งที่นี่ก่อน" ผมคิดอย่างใจลอยแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า เออ ตอนนี้มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้นอยู่ก็ได้
ผมหิ้วของกลับโรงพยาบาลและเดินหาโซฟาที่ใหญ่พอจะเป็นที่นอนได้ที่ชั้นล่าง จัดแจงสถานที่สำหรับพักผ่อน ตอนนี้กี่โมงแล้วไม่รู้ รู้เพียงพระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว เมื่อมองไปด้านนอกยังพอมีแสงจากดวงจันทร์อยู่บ้าง ถึงแม้ผมจะสงสัยว่าตอนนี้เป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมแต่ก็ขี้เกียจจะลุกไปดู และก็ใช่ว่ามันจะสำคัญกับผมตอนนี้ซะเมื่อไหร่
จัดที่นอนเสร็จแล้ว แต่ผมยังไม่ง่วงเท่าไหร่ ก็เลยเอาของจากถุงที่หิ้วกลับมาจัดวางเรียงกันเพื่อให้สะดวกเวลาหยิบใช้ อาหารกระป๋องนี่ก็หนักเหมือนกัน แค่เดินข้ามถนนมาไม่กี่สิบเมตรก็เล่นเอาซะผมปวดแขนไปหมด ผมค่อยๆ เรียงแยกประเภทกันไป ปลากระป๋อง ผักกาด แยม แครกเกอร์ แล้วแสงเทียนก็สะท้อนไปให้ผมเห็นอะไรสักอย่างที่ผมพลาดไป
"วันหมดอายุ"
เปล่า! ถึงแม้ว่าผมหิวจนตาลาย ลืมที่จะเช็ควันหมดอายุก่อน แต่ผมก็มั่นใจว่าไม่ได้กินอาหารหมดอายุไปหรอก เนื้อบดรสชาติอร่อยเพอร์เฟ็กขนาดนั้น แต่ทำไม .. บนฉลากมันถึงเขียนว่า
"ควรบริโภคก่อน 2017/12/31"
to be continued
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in