ทอดสายตามองไกล จากบริเวณส่วนพักผ่อนของบ้านพักตากอากาศสุดหรูหลังนี้ผ่านสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาดกะทัดรัด เห็นน้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์ใสแจ๋วราวกับผลึกแก้วแผ่กว้างอยู่เบื้องหน้าแล้วค่อยๆ เพิ่มความเข้มขึ้นเมื่อไกลออกไป จนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มจัดตัดกับแผ่นฟ้าสีครามใสไร้ปุยเมฆ
“เป็นอย่างไรคะ เงียบกริบเชียว” เสียงหวานนุ่มถามเบาๆอยู่ข้างหู
เขาหันกลับมาโอบกอดร่างที่นอนเอนเคียงคู่อยู่บนเก้าอี้นอนยาวประทับจมูกลงนุ่มนวลใกล้ไรผมข้างหู
“กำลังอยู่ในภวังค์คิดไปว่าเรากำลังอยู่ในสวรรค์กันใช่ไหมนี่”
“ก็อาจเป็นได้” เสียงนุ่มตอบรับ ริมฝีปากอุ่นนุ่มนิ่มประทับไปที่แก้มตอบกลับคืน
“ทรายขาวนุ่ม ที่เราไปเดินลุยกันมาเมื่อวานทำให้ผมหวนคิดกลับไปถึงสมัยเมื่อวัยรุ่นที่เมืองไทยก็มีหาดทรายที่ขาวสะอาดละเอียดนุ่มเจิดจ้ากลางแสงแดดแบบนี้อยู่เหมือนกันตอนนั้นพวกเรากลุ่มเพื่อนจะไปกันเป็นประจำ”
“อ้อ เหรอคะอยู่ที่ไหนกันนะ”
“หาดทรายแก้ว เกาะเสม็ด ที่ระยองครับสมัยนั้นคณะของเราแทบจะยึดเอาเป็นเกาะส่วนตัวเลย...ใช้เป็นเวทีรับน้องใหม่ที่วิเศษสุดใครได้ไปจะหลงใหลจนต้องกลับไปอีกเป็นประจำ”
“โอ น่าสนใจจริงกลับไปแล้วคุณต้องพาไปดูบ้างนะคะ” เธอตาโตชะโงกหน้ามาเขย่าแขนเขาเบาๆ
“ตอนนั้น เสม็ดยังเป็นอะไรที่เวอร์จิ้นมากผ่านมานานผมไม่ทราบว่าจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“อ้าววว...”เสียงร้องพร้อมใบหน้าออกอาการเสียดาย
“สำหรับในมัลดีฟส์นี่โรงแรมที่เรามาพักจัดว่าอยู่ในระดับแนวหน้าแห่งหนึ่งเหมือนกันการบริการตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่มีให้ คงพอจะพูดได้ว่าเปรียบดั่งอยู่ในสวรรค์เหมือนกันนะคะ”เธอดึงนำกลับไปเข้าเรื่องเดิมที่พูดกันค้างอยู่
“ครับ ผมชอบสะพานไม้ที่โค้งคดเคี้ยววิ่งวนไปตามบ้านของที่นี่มากมันให้ความรู้สึกอ่อนโยน ไม่แข็งทื่อเหมือนที่อื่นดี”
“ถูกเลยค่ะ เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์”
“คุณเห็นด้วยกับผมไหมว่าภูมิประเทศและบรรยากาศโดยรวมสำหรับมัลดีฟส์กับโบราโบร่าจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก ทั้งภูมิประเทศและหาดทรายที่ขาวสะอาด แม้ว่ามัลดีฟส์จะไม่มีภูเขาสูงเป็นแบ็คกราวด์เหมือนโบราโบร่าก็ตาม”
“ฉันว่าแม้แต่การสร้างที่พักในส่วนที่เป็นกลุ่มยื่นออกไปในทะเลก็ยังใกล้เคียงกันอีกด้วยนะคะ” เธอกล่าวเสริมมา
“ใจผมคิดว่ามันออกจะใสสะอาดมากไปจนเหมือนกับธรรมชาติเหนือจริงที่ถูกปรุงแต่งออกมาเลยถ้าหากต้องการความมีสีสันผสานกับความดิบอันเป็นไปโดยธรรมชาติ และได้พบผู้คนวัฒนธรรมพื้นเมืองแล้วละก็ แถบฟิจิกับวานูอาตู ก็ได้ใจผมเหมือนกัน”
“ถูกต้อง...เอาไปร้อยคะแนนเต็มเลยค่ะ”เธอหัวเราะเสียงใส พลางปรบมือให้อย่างล้อเลียน
บ้านรูปทรงแนวแปลกดูทันสมัยทั้งรูปร่างและวัสดุที่ประกอบกันขึ้นมาตัวบ้านชั้นเดียวแบ่งสัดส่วนเป็นสเต็ปแผ่กว้างออกไปดูกลมกลืนเข้ากันได้อย่างดีกับภูมิประเทศและธรรมชาติอันร่มรื่นโดยรอบที่เป็นเนินเขามีด้านหนึ่งตัดลาดชันลงไปสู่เชิงเขาเบื้องล่างทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของทิวเขาที่ทอดตัวยาวทับซ้อนกันอยู่ไกลๆก่อเกิดภูมิทัศน์สวยงามราวกับภาพวาดขึ้นมา
ภายในห้องพักผ่อนกว้างขวางบุกระจกใสสูงจรดเพดาน มองทะลุพุ่มไม้ใบหญ้าไปได้ไกลสุดสายตายังทิวเขาไกลโพ้นเจ้าของบ้านนั่งพลิกแมกกาซีนวารสารการท่องเที่ยวดูเนื้อหาภายใน เสียงดนตรีคลาสสิคแนวผ่อนคลายบรรเลงกระหึ่มล่องลอยให้บรรยากาศรับกับธรรมชาติภายนอก เขาเงยหน้าจากหนังสือในมือมองตามร่างสูงโปร่งมีสัดส่วนได้รูปงดงามที่กำลังเดินผ่านไป ยิ้มน้อยๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าเอ่ยคำพูดเชิงหยอกเย้าขึ้นเบาๆ
“คุณของผมนี่ ถ้าได้ไปถ่ายเอ็มวีโฆษณาบรั่นดียี่ห้อที่ประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมไทยเจ้านั้นคงเปล่งประกายสยบกลบรัศมีนักแสดงเดิมๆ ลงไปจนหมดทุกคนแน่เลย”
เขากล่าวพร้อมแววตาเปล่งประกายขี้เล่นอย่างที่เธอเคยแอบกระซิบข้างหูเขาว่าเพราะเจ้าแววตาแบบนี้นี่แหละ ถึงสยบหัวใจเธอราบคาบไปเลย
คนเดินผ่านหันมากวาดตางามเผยรอยยิ้มจนเห็นฟันสวยเรียงเป็นระเบียบ ตอบเสียงหวานนุ่มระคนกับเสียงหัวเราะเบาๆ
“ไม่มีอะไรจะทำแล้วหรือคะมานั่งพูดจายกยอกันเองอยู่นี่น่ะ”
เขาหันมายิ้ม ตาเปล่งประกายฉายเพิ่มขึ้นจริงสินะในสายตาของเขา รูปร่างผิวพรรณโดยเฉพาะใบหน้าของเธอนั้น ดูรวมๆ จะสดใสสมบูรณ์ไร้ที่ติหรือจะพูดได้ว่า “เพอร์เฟกต์” นั่นเลย โครงร่างใหญ่กว่าคนเอเชียโดยเฉลี่ยอยู่บ้างใบหน้าถ้าอยู่กับคนเอเชียด้วยกันจะมองออกทันทีว่ามีเค้าโครงความคมเข้มออกไปทางตะวันตกมากกว่าทว่าเมื่อเทียบกับสาวทางตะวันตกเข้าจริงๆ แล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทั้งรูปร่างและหน้าตาของเธอนั้นออกไปทางอ่อนหวานแช่มช้อยกว่าอย่างมากมาย เป็นไปอย่างที่เขาพูดไว้จริงๆ
“ครับ แต่ผมพูดเรื่องจริงนะนี่ว่าแต่ทริปนี้จะพาผมไปทัวร์ที่ไหนอีกเล่าครับ ในเมื่อเราไปกันมาแล้วทุกทวีปจนจะครบรอบโลกแล้วก็ว่าได้ เห็นจัดเตรียมอุปกรณ์มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”พูดพลางเดินเข้าไปโอบรอบเอวทางด้านหลังอย่างนุ่มนวล เธอเอียงหน้ากลับมายิ้มให้
“ให้เดา...ถ้าถูกจะมีรางวัล”หางเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ
“โอ้โฮ จริงเหรอครับ” โดยไม่ได้รอคำตอบเขาโน้มตัวแนบจมูกลงสัมผัสแก้มนวลอบอุ่นที่หอมกรุ่นนั้นอย่างรวดเร็ว
“อ้าวๆ ไม่ต้องมาประจบ จะไปทำงานต่อแล้วค่ะ”เสียงหวานเอ่ยประท้วงมา ผลักที่อกเบาๆ แล้วเดินผละจากไป
เช้าที่สดใสในบ้านงามท่ามกลางธรรมชาติเสียงเพลง Piano Trio
“คุณนี่เป็นคนที่ฟังเพลงได้ทุกรูปแบบเลยนะคะ ทั้งClassic, Jazz, Fusion,Pop, Rock, Blues ดนตรีวัยรุ่นสารพัดแนวแม้กระทั่งไทยเดิม ไทยสากล ลูกทุ่ง พื้นบ้าน พลอยทำให้ฉันได้ฟังอะไรดีๆ มากมายไปกับคุณด้วย”
เธอยิ้มโอบกอดไหล่ไว้ทางด้านหลัง แนบหน้านวลนิ่มกับแก้มของเขาเขายิ้มตอบ หันมาแนบจมูกลงสูดเอากลิ่นหอมจางๆ จากแก้มนั้นตอบแทน ทันทีอย่างรวดเร็วเธอผลักไหล่เขาเบาๆ ผละถอยห่างออกไปยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นความหมายให้รับรู้ หันก้าวเดินไปทางประตูห้องนอน
เพียงสองก้าว ร่างนั้นพลันจางลงโปร่งแสงราวไร้สภาพหายไปในพริบตา
ไม่เกินอึดใจ เสียงฝีเท้าเบาๆก้าวเดินเข้ามาในห้องที่เขานั่งพักผ่อนฟังเพลงอยู่นั้น
“สวัสดีค่ะคุณต้องขอโทษที่วันนี้หนูเข้ามาเร็วกว่าปกติไปหน่อย พอดีที่โรงเรียนมีจัดกิจกรรมพิเศษเลยรีบเข้ามาจัดการอะไรที่มันจำเป็นให้เรียบร้อยก่อน แล้วถึงจะกลับมาทำที่เหลืออีกครั้งคุณมีอะไรพิเศษจะให้หนูทำให้ก่อนไหมคะ”
เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มให้กับเด็กสาววัยรุ่นรูปร่างผอมบางหน้าตาผิวพรรณดูงดงามมีความสดใสน่ามอง แปลกไปกว่าเด็กสาวทั่วไปในแถบชนบทย่านนี้
เธอชื่อ “ไรรินทร์” ตามที่แม่ของเธอผู้เคยเป็นสาวชาวเมืองตั้งให้แต่เขาชอบล้อเลียนเรียกเธอว่า “ไหลริน” บอกว่าฟังดูเหมือนเป็นสายน้ำที่ไหลรินเย็นฉ่ำอะไรอย่างนั้นเธอเคยหัวเราะแล้วบอกว่าชอบชื่อที่เขาตั้งให้เธอมากเลยตอนนี้เด็กน้อยเติบโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว
“คงไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกจ้ะรินไปทำธุระให้เสร็จเรียบร้อยได้เลยนะ”
“ขอบคุณค่ะ อ้อ แล้วตอนบ่ายเห็นพี่ชายบอกไว้ว่าจะเข้ามาคุยธุระกับคุณด้วยแน่ะค่ะ”
เขาหันมายิ้มให้อย่างนุ่มนวล“บอกให้เขาเข้ามาได้เลยนะ ฉันจะรออยู่”
เธอพนมมือขึ้นไหว้อย่างสุภาพ ก่อนก้าวเดินกลับออกไป
สองสามวันมานี้อากาศเปลี่ยนแปลงไปท้องฟ้าไม่สว่างสดใสเหมือนยามปกติ อีกทั้งยังมีความร้อนอบอ้าวแผ่กระจายอยู่ทั่วไปเสียงบรรเลงอะคูสติกกีต้าร์ใสทุ้มกังวานอยู่ในอากาศ เขาเอนกายพักอยู่บนเก้าอี้นอนลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าสดใสที่คุ้นเคยอยู่เบื้องหน้า
“ตื่นแล้วหรือคะ” เสียงแผ่วเบาถามมา
“เปล่า ผมไม่ได้หลับหรอกครับหลับตาฟังเพลงอยู่เท่านั้น”
มือนุ่มลูบแผ่วเบาที่หน้าผากแล้วเลื่อนไปอังอยู่บริเวณลำคอ
“แต่รู้สึกว่าคุณจะเพลียๆดูซึมไปหลังจากเรากลับมาจากทริปครั้งล่าสุดนี้นะคะ”
“ก็...ใช่นะ ผมรู้สึกแปลกๆ ในตัวผมอยู่เหมือนกัน”
ใบหน้าหวานสดใสคลายยิ้มลง ขยับหน้าเข้ามาใกล้ เอ่ยเสียงเบานุ่มนวลขึ้น
“จะบอกคุณอยู่เหมือนกัน ว่าเวลาของเราใกล้จะมาถึงแล้วฉันพยายามทุกวิถีทางตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาในการค้นคว้าหาทางที่จะช่วยยับยั้งการเสื่อมสลายของอินทรีย์สภาพภายในร่างกายคุณแต่จากคราวนั้น พยาธิสภาพที่รุนแรงได้ทำความเสียหายต่อร่างกายของคุณไปอย่างมากจนฉันแทบจะรั้งให้คุณมีชีวิตรอดมาไม่ได้เสียแล้วมาคราวนี้ถ้าเราไม่รีบเตรียมที่จะเดินทางเพื่อกลับไปใช้สิ่งที่คุณเรียกว่า อุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงตามที่เคยเล่าให้คุณฟัง เพื่อปรับแปลงสถานะของสิ่งที่คุณเรียกว่า “จิตวิญญาณ” ไปสู่สภาวะใหม่ให้ทันเวลาเราก็ต้องเสียคุณไป และฉันก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น”เธอยกสองมือขึ้นกุมมือเขาไว้
“เพราะฉะนั้นผมก็ต้องสละร่างนี้...เพื่อออกเดินทางทริปสุดท้ายไปกับคุณ”ใบหน้านั้นดูขรึมเครียดขึ้น
เธอขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ ยิ้มบางๆ“มันจะเป็นไปตามคตินิยมของคุณ ที่เรียกว่าอะไรนะ อ้อ การละสังขาร อะไรแบบนั้นแหละ”
เขายิ้ม พยักหน้ารับ เธอยิ้มอ่อนโยนให้เขา กล่าวต่อไปว่า“เมื่อเราเดินทางกลับไปยังที่ที่ฉันจากมา ที่ที่อยู่ไกลแสนไกลหากจะนับเป็นระยะทางตามแบบของคุณแต่ใช้เวลาเพียงน้อยนิดสำหรับพวกเรา จิตวิญญาณของคุณจะถูกปรับย้ายเข้าสู่สภาวะใหม่คุณจะมีสภาพเหมือนกับพวกเรา คล้ายกับฉันในปัจจุบันที่อยู่ในสภาพเหมือนกับพวกคุณอย่างนี้นี่แหละ”
เขายิ้มตอบ “เราจะอยู่ด้วยกันที่นั่นอีกนานแสนนานตลอดไปใช่ไหม
เธอยิ้มกว้างขึ้น “โอ๊ะ แน่นอนสิคะแล้วคุณอยากจะให้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าล่ะ”
เขายิ้ม แววตาขี้เล่นเจ้าเล่ห์ฉายประกายเจิดจ้า“แล้วรูปร่างหน้าตาของผมในแบบพวกคุณ จะหล่อเหลาสู้หนุ่มๆ ที่นั่นได้ไหมนะสงสัยจัง”
เสียงหัวเราะหวานสดใสดังขึ้นมาพร้อมคำตอบ“ฉันไม่ยอมให้สุดที่รักของฉันด้อยไปกว่าใครๆ ทั้งนั้นหรอก เสียหน้าแย่เลย”
ประโยคสุดท้ายถูกกระซิบอยู่ข้างหูพร้อมเสียงปลอบอ่อนโยน
“อย่ากังวลไป แม้เราอยู่ห่างไกลเพียงไรแต่ฉันเก็บข้อมูลรายละเอียดของทุกสถานที่ที่เราเคยไปด้วยกันไว้อย่างครบถ้วนเราจะย้อนกลับไปยังที่ที่ต้องการได้ทุกเมื่อ ทุกแห่ง ตามที่คุณต้องการได้เสมออย่าห่วงเลยค่ะ หลับตาลงสิคะเราจะได้เตรียมการ เพื่อออกเดินทางทริปนี้ของเรากันต่อไป”
เสียงนั้นไพเราะหวานนุ่ม เขาหลับตาลง รู้สึกถึงริมฝีปากนุ่มอบอุ่นที่ประทับแนบแน่นกับริมฝีปากของเขาความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง...
พนักงานสอบสวนหนุ่มพับเก็บแพดขนาดกะทัดรัดที่ใช้บันทึกข้อมูลในมือลงเงยหน้าขึ้นยิ้มกับหนุ่มร่างใหญ่อารมณ์ดีที่อยู่เบื้องหน้า
“ก็สรุปว่า ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ คงเป็นการเสียชีวิตตามธรรมชาติปกติ”
ชายหนุ่มฝืนยิ้มแววตาเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน มองผ่านไปยังทิวทัศน์งดงามไกลๆ พึมพำคำพูดออกมา
“คุณท่านคงไปมีความสุขอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้ว”
“นับว่าท่านเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายมีความสุขคนหนึ่งเลยทีเดียวนะครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดพลางกวาดสายตาไปโดยรอบ
“ครับคุณท่านอยู่คนเดียวอย่างสันโดษได้โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน...ที่สุดยอดและผมชอบมาก...คือพวกอุปกรณ์เครื่องเสียง ออดิโอ วิดีโอของแกนั่นแหละครับมันสุดยอดไฮเทค ให้ภาพประดุจของจริง เสียงไพเราะวิเศษสุดยอดทั้งที่วางอยู่ในห้องโล่งกว้างธรรมดาอย่างนี้นี่แหละต้องถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ล้ำยุคสมัยมาก”
ผู้มาเยือนยิ้ม“แสดงว่าคุณต้องเป็นคนที่สนใจในเรื่องพวกนี้อยู่บ้างน่ะซี”
“ครับก็พอสมควรอยู่”
“ผมยอมรับว่าเครื่องพวกนี้ดูไฮเทคอย่างคุณว่าแต่ไม่มีตราหรือยี่ห้อ แล้วสัญลักษณ์ทั้งที่เครื่องกับรีโมทรูปทรงประหลาดนี่ก็ดูไม่คุ้นตาเอาเลย”พูดพลางขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วถามต่อ
“ปกติแกคงไม่ได้เดินทางไปไหนบ่อยนักสินะ”
“เอ้อ...ไม่นะครับ แทบนับครั้งได้เลย เกือบสิบปีมานี่น่ะ”
“อ้าว แล้วไม่เคยป่วยไข้อะไรบ้างเลยรึไงครับ”
“ไม่ครับ...แต่ตอนย้ายมาใหม่ๆ แกป่วยหนักมากเกือบตายแล้วจู่ๆ ก็หายดี หลังจากนั้นก็ไม่เคยเป็นอะไรอีกเลย”
เขาผงกศีรษะรับ หันมาถามต่อ“คุณเป็นคนจัดการดูแลเรื่องราวภายนอกให้เขามาตลอดอย่างนั้นสิ”
“ครับ...ผมกับน้องสาวช่วยดูแลงานให้แกต่อจากคุณพ่อผมน้องดูแลงานบ้าน ผมจัดการเรื่องนอกบ้านกับการติดต่ออื่นๆ ทั้งหมด”
เจ้าหน้าที่หนุ่มเหลียวหน้ามองพลางขยับตัวยืนขึ้น
“แพทย์ตรวจเบื้องต้นเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวคงเคลื่อนย้ายไปดำเนินการโดยละเอียดต่อ”
“อ้อ ครับ เดี๋ยวผมจะจัดเตรียมเอกสารต่างๆ ของคุณท่านเข้าไปดำเนินการที่ในเมืองให้เรียบร้อยต่อไป”
ไม่กี่ชั่วโมงถัดมาเมื่อรวบรวมเอกสารที่จำเป็นจนครบถ้วน ชายหนุ่มก็เดินกลับออกมาเตรียมเดินทางเข้าในเมืองกวาดตามองตามความเคยชิน
พลันหยุดชะงัก...เบิกตาอย่างงุนงง
อุปกรณ์ไฮเทคตามที่เขาเรียก อันตรธานไปไม่ปรากฏอยู่ตรงที่เคยตั้ง
มือลูบคลำจุดที่เคยวาง สัมผัสได้ถึงความสะอาดเรียบร้อยไม่มีร่องรอยการวางหรือฝุ่นละอองใดๆเมื่อตอนที่เขาเดินเข้ามามันยังคงวางอยู่เป็นปกติ ในเวลาไม่เกินสิบนาที อุปกรณ์ที่ต้องใช้คนแข็งแรงไม่ต่ำกว่าห้าหกคนจึงจะขนไปได้กลับสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งหมด
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างครุ่นคิดเมื่อตอนที่เขาเห็นอุปกรณ์แปลกๆ เหล่านี้เป็นครั้งแรกนั้น มันก็ปรากฏขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์วางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คุณท่านเพียงยิ้มอยู่ในหน้า บอกกับเขาเพียงสั้นๆว่า “เพื่อนสนิท” จัดมาให้ เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากคราวที่ท่านป่วยหนักแล้วจู่ๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง
เขาเงยหน้าตาเป็นประกาย ยิ้มพรายกับตัวเอง
“เป็นไปได้ไหมว่า...พอคุณท่านไม่อยู่แล้ว เพื่อนสนิทของท่านก็กลับมารับเอาของคืนไป...แบบเดียวกันกับตอนที่นำมาให้อย่างนั้นเลย”
เขาสั่นหัวเบาๆ เอามือเสยผม ขมวดคิ้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in