รีวิวเว้ย (309) เรามีโอกาสได้นั่งเงียบ ๆ คนเดียว โดยที่ไม่คิดอะไรในหัวแบบจริง ๆ จัง ๆ หรือที่หลายคนมักเรียกกันว่า นั่งว่าง ๆ โง่ ๆ (การนั่งว่าง ๆ โง่ ๆ นั้นต้องนั่งแบบไม่คิดอะไรเลยด้วยนะ) ครั้งสุกท้ายเมื่อไหร่กัน (?) ยิ่งในสังคมที่เราสามารถสื่อสารกับคนอื่นได้แทบตลอดเวลาเพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วแบตไม่หมด เน็ตไม่ตัด เราก็แทบจะไม่ได้นั่งเงียบ ๆ โดยไม่สื่อสารกับใครอีกเลยในยุคปัจจุบัน จนบางครั้งด้วยการติดต่อสื่อสารและความสามารถในการติดต่อกันได้ตลอดเวลา มันทำให้ "ความเงียบ" หายไปจากใครบางคน อย่างที่ถามเอาไว้ว่าคุณได้นั่งเงียบ ๆ โง่ ๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน ในเมื่อปัจจุบัน เราแทบทุกคนจะต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพลิกดูการแจ้งเตือนแทบจะทุก 1 นาที นั่นอาจจะเรียกได้ว่า ในทศวรรษนี้ "ความเงียบ" คือสิ่งที่สูญหายไปจากช่วงเวลาของประวัติศาสตร์
หนังสือ : เงียบ SILENCE In the Age of Noise
โดย : Erling Kagge แปล วรรธนา วงษ์ฉัตร
จำนวน : 132 หน้า
ราคา : 280 บาท
ด้วยการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของ "คงามเงียบ" ทำให้ในปัจจุบัน ใครหลายคนออกเดินทางตามหา "ความเงียบ" กันอย่างจริงจัง หลายคนออกเดินทางเข้าป่า ขึ้นเขา ดำน้ำลึก ไปทะเล ฯลฯ เพื่อให้ตัวเองได้ละทิ้งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และมุ่งมั่นในการตามหาความเงียบ ที่แอบซ่อนอยู่ในรูปของการพักผ่อนหย่อนใจ
ซึ่งเป็นที่น่าสนใจวาเพราะเหตุใด เราจึงต้องออกเดินทางตามหา "ความเงียบ" ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งที่เราเองสามารถค้นพบความเงียบได้เพียงแค่หยุดสิ่งที่กำลังทำ วางมันลง ปิดมันสักระยะ และปล่อยให้ร่างกายและจิตใจ ได้อยู่เฉย ๆ นิ่ง ๆ แบบเงียบ ๆ โง่ ๆ โดยที่ไม่ต้องคิดอะไร เพราะหลายครั้งคนเราไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ (ธรรมชาติ) เพียงเพื่อจะหลีกเร้นกายให้หายไปจากความวุ่นวายชั่วระยะหนึ่ง อย่างบางคนไปเที่ยวป่าเขา ก็เพื่อให้ 2 ท้าวได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางธรรมชาติ พร้อมกับเปิดหูเพื่อฟังเสียงของมัน บางคนก็เลือกที่จะไปนั่งริ่มทะเล และปล่อยตัวเองไปตามเสียงคลื่น กลิ่นน้ำ ไอแดด และสายลม เพื่อให้สิ่งเหล่านี้มากระทบผิวกาย และนั่งเงียบ ๆ โง่ ๆ อยู่ริ่มทะเล ทั้ง ๆ ที่เราสามารถนั่งเงียบ ๆโง่ ๆ ที่ไหนก็ได้ หากย้อนกลับไปหวนคิดถึงช่วงเวลาที่เราเป็นเด็ก และมีโอกาสได้นั่งมองนกมองไม้ตามชายบันไดทางขึ้นบ้าน
หนังสือ "เงียบ SILENCE In the Age of Noise" ก็ทำหน้าที่ในการตั้งคำถามถึง "ความเงียบ" ที่หายไป และเหตุใดเราจึงต้องออกตามหามั่น ผ่านบทตอนสั้น ๆ ที่ชักชวนให้เราคิดถึงความหมายและข้อดีของคงามเงียบในแต่ละรูปแบบ ผ่านเหตุการณ์ที่ผู้เขียนพบเจอ ผ่านการบอกเล่าประสบการณ์ ตั้งคำถาม และชักชวนให้เราลองกลับมาตามหามันอีกครั้ง เพื่อให้เราได้ทบทวนถึงความเบิกบานของช่วงเวลาในอดีตที่เราผ่านพบกับมัน (ความเงียบ)
นอกจากนี้ "เงียบ SILENCE In the Age of Noise" ยังชักชวนเราให้ตั้งคำถามกับโลกปัจจุบัน ว่าเกิดอะไรขึ้นความเงียบจึงหายตัวไป และมันหายไปไหนกัน และถ้าเราไม่มีวันได้พบมันอีกจะเป็นเช่นไร
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ คุณพอจะคิดคำตอบออกรึยังว่า "เรามีโอกาสได้นั่งเงียบ ๆ คนเดียวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน (?)"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in