รีวิวเว้ย (301) การศึกษาภาคบังคับ ถ้าจำไม่ผิดมันน่าจะเริ้มตั้งแต่ระเตรียมอนุบาลหรืออนุบาลกระทั่งถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบได้กับ 12 ปีในการใช้ชีวิตในห้องเรียนตามการบังคับของผู้มีอำนาจหรือของกระทรวงศึกษาและรัฐบาล แต่ในโลกยุคหลังปี ค.ศ. 2000 การศึกษาในส่วนที่เรียนว่าภาคบังคับที่จบเพียงแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นั้นดูจะไม่เพียงพออีกต่อไป โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เราจะเห็นได้ว่า "ฐานขั้นต่ำ" ของระดับการศึกษานั้นขยายออกไปตลอดเวลา กระทั่งทุกวันนี้ การจบปริญญาตรีก็ดูจะเป็นการศึกษาขั้นต่ำที่อาจจะเทียบเท่าได้กับการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเพียงเท่านั้น อีกปัญหาสำคัญของการศึกษาในไทย คงหนีไม่พ้นเรื่องของการที่ผู้เรียนไม่สามารถเรียนรู่หรือตามหาตัวเองได้พบจากระบบการศึกษาแบบไทย หลายคนไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่าสิ่งที่กำลังเรียนอยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองรักและชอบ หลายคนเรียนจบแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี จึงพยายามที่จะทู่ซี้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นทันที โดยที่ยังไม่ได้ถามตัวเองสักคำ ว่าสิ่งที่เคยทำหรือเคยเรียนผ่านมานั้นมัน "ใช่ตัวเราจริง ๆ" หรือ "สร้างความสุข ความสนุกให้เราจริง ๆ" รึเปล่า (?) กระทั่งมันกลายเป็นปัญหางูกินหาง ที่ดูแล้วอย่างไรก็ไม่สามารถหาทางแก้ไขได้ หากเราไม่เริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ตั้งคำถามกับระบบ ผ่านคำถามสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า "มันใช่จริง ๆ หรอ" เพื่อให้เราได้มีโอกาสย้อนคิดและทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
หนังสือ : 7 เรื่องที่ควรรู้ก่อนเรียนจบมหาวิทยาลัย
โดย : อาจวรงค์ จันทมาศ
จำนวน : 59 หน้า
ราคา : 210 บาท
หนังสือ "7 เรื่องที่ควรรู้ก่อนเรียนจบ" ของพี่ป๋องแป๋ง อาจวรงค์ จันทมาศ เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่ม ที่จะชักชวนพวกเราให้หาคำตอบ และตอบคำถาม เกี่ยวกับเรื่องของการเรียนผ่านตัวตนของเราเอง โดยอาศัยข้อคิดเห็นที่ผ่านการกรั่นกรองด้วยประสบการณ์ชีวิตของคนหนึ่งคน จนตกผลึกเป็นข้อคิดเห็นในเรื่องของชีวิตทั้งสิ้น 7 ข้อ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเรียนมหาวิทยาลัย และชีวิตหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งแต่เกิดจนเรียนจบ เราน่าจะใช้เวลาอย่างน้อย ๆ 1 ใน 3 ของเวลาชีวิตอยู่กับมัน และหลังจากนั้นหากเราเลือกทำงานตามที่เรียนมาและนั่นไม่ใช่ชีวิตของเรา เราอาจจะต้องใช้เวลาชั่วชีวิตไปกับการทำในสิ่งที่เรา "ไม่ได้รัก"
"7 เรื่องที่ควรรู้ก่อนเรียนจบ" จะทำหน้าที่ในการกระตุ้นเตือนให้เราได้มีโอกาสถามตัวเองอีกสักครั้งก่อนเรียนจบมหาวิทยาลัย หรือถ้าใครเจอกับหนังสือเล่มนี่ก่อน-หลัง การเรียนมหาวิทยาลัยไปแล้ว หนังสือเล่มนี้ก็สามารถช่วยให้เราได้มีโอกาสทบทวนถึงสิ่งที่เรา คิด ทำ และคิดที่จะทำ เพื่อให้เราได้ทบทวนและหาเหตุผลอีกครั้งหนึ่ง
หากให้เปรียบหนังสือความยาว 59 หน้าเล่มนี้ เป็นอะไรสักอย่าง คงต้องเปรียบให้หนังสือเล่มนี้เป็นเพื่อนหรือพี่ ที่มีประสบการณ์มาก่อนหน้า และเดินเข้ามาโบกกะบาลเรา เพื่อให้เราได้ใช้ความคิดควบคู่ไปกับการตัดสินใจ หลายครั้งเราเลือกที่จะค้นหาทางเดินด้วยตัวเองโดยไร้ซึ่งแผนที่และเข็มทิศนำทาง แต่ในหลายครั้งก็มีคนพร้อมที่จะแนะนำเส้นทางที่เรากำลังจะก้าวเดินให้กับเรา เพื่อให้เราได้เตรียมตัวเตรยมใจรับกัสิ่งที่กำลังจะปรากฎในหนทางข้างหน้า หลายหนเราละเลยที่จะฟังคำบอกคำหล่าวเหล่านั้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว การหยุดฟังอย่างตั้งใจ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อการเตรียมใจและเตรียมตัว ก็ไม่เสียหายอะไรสักหน่อย อาจจะเสียแค่เวลาเพียงเล็กน้อย ซึ่งนั้นดีกว่าการใช้เวลาชั่วชีวิต หรือใช้ทั้งชีวิตไปกับความอันตรายที่เราสามารถเตรียมรับมือกับมันได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ทำ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in