ช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งหนึ่งในชีวิต ที่อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างช่วงม.3ขึ้นม.4 กลับเป็นครั้งแรกที่ความรู้สึก ‘หนัก’ จากการแบกรับภาระของคำว่าอนาคตได้มาเยือน การเลือกแผนการเรียนสำหรับฉันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพราะยังไงมันก็คงเป็นสายวิทย์อย่างไม่ต้องเอะใจ
ความชอบของฉัน ณ เวลานั้นเป็นเรื่องการเขียน แต่ถ้าให้มองตัวเองในอนาคต ฉันกลับอยากทำงานสายสุขภาพ ฉันไม่เคยตอบตัวเองได้ว่าเพราะอะไร มันมีเพียงแค่เหตุผลที่ดูเป็นรูปธรรมมากพอจะตอบคนอื่น แต่ไม่ใช่เหตุผลที่ฉันใช้ตอบตัวเอง ฉันนิยามตัวเองมาตลอดว่าเป็นคนไม่มีความฝัน การตัดสินใจต่างๆที่เกี่ยวกับการเรียนจึงเกิดขึ้นโดยอ้างอิงจาก ‘ความทนได้’
ฉันถามตัวเองว่า ถ้าต่อจากนี้ชีวิตนี้จะต้องทำงานอะไรสักอย่าง จะต้องแบ่งสัดส่วนเวลาชีวิตให้กับอะไรสักอย่าง ฉันจะยอมทนมันไปกับอาชีพแบบไหน? น่าแปลกที่ไม่ว่าอย่างไรการตัดสินใจของฉันยังคงหนักแน่นและไม่แปรเปลี่ยน ฉันเลือกมันแล้ว ว่างานที่ฉันจะทนได้แม้ว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน คงจะเป็นงานสายสุขภาพ หนึ่งในเหตุผลที่ฉันให้กับตัวเองคือ ฉันจะได้ช่วยเหลือคน
หรือนี่คือความฝันของฉัน?
ฉันมีสิ่งหนึ่งที่ยึดมั่นภายในใจคือ อาชีพการงานนั้นไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการทำมาหากินแต่ยังเป็นเครื่องมือในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม คนเราต่างก็มีความรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคมด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้วลีที่ว่า ‘เราทุกคนล้วนมีคุณค่าเป็นของตัวเอง’จะเป็นเรื่องที่ฉันเห็นด้วย แต่เมื่อไหร่กันล่ะที่ตัวเราเองจะรู้สึกถึงคุณค่านั้น เมื่อไหร่การที่คุณค่าในใจของเราจะถูกเติมเต็มและเป็นที่ยอมรับในสายตาผู้อื่นด้วย การเลือกเส้นทางอาชีพของฉันจึงไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ความฝัน แต่ขึ้นอยู่กับตัวตนที่ฉันและสังคมตามหา
แต่สุดท้ายตัวตนที่ฉันตามหากลับตื่นขึ้นมาจากภายในใจ
ฉันยังคงมองว่าตัวเองเป็นคนไร้ความฝัน ฉันไม่ได้ฝันอยากจะเป็นอะไรสักอย่าง แต่ฉันต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อชีวิตในวินาทีต่อไป ฉันไม่กลัวความตายเพราะเราไม่มีทางขาดทุนเพียงเพราะไม่ได้ใช้ชีวิตยาวนานเท่าคนอื่น การไม่ได้ทำในสิ่งที่เคยคิดไว้ ไม่เคยเป็นความล้มเหลวเพราะฉันไม่เคยคิดสิ่งใดไว้ในหัวเผื่อจะทำ มันยากกับการตอบว่า ฉันอยากเป็นอะไรในอนาคต เพราะอนาคตเป็นสิ่งน่าพิศวง เราไม่เคยไปถึงแต่เราหนีมันไม่พ้น วันพรุ่งนี้ที่เราวิตกกังวลกลับกลายมาเป็นปัจจุบัน ฉันไม่เคยหาคำตอบให้กับอนาคตของตัวเอง แต่กลับต้องหามันให้เจอ เพราะการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เราจะหาเจอได้อย่างไร อนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ตัวตนที่ตื่นขึ้นมาเป็นตัวตนที่ช่วยย้ำว่า ฉันไม่ต้องตามหาหรอก ไม่ว่าจะตัวเองหรือความฝัน มันไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรซ่อนอยู่เลยสักนิด เราไม่ต้องตั้งเป้าหมาย เราไม่ต้องวาดฝัน เราไม่จำเป็นต้องตอบคำถามจากอนาคต แค่ลองฟังเสียงจากตัวเอง เสียงที่คอยบอกคำตอบในใจของเรามาตลอด เสียงที่เชื่อถือได้ที่สุด
ฉันตัดสินใจไม่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะฉันไม่รู้จะเข้าไปทำไม เข้าไปเรียนอะไร เข้าไปเพื่ออะไร ฉันเลิกมองภาพตัวเองในอนาคต ฉันเปลี่ยนมุมมองของการทำงาน ตัดสินใจเรียนรู้เสียงของตัวเองที่ถูกเพิกเฉยจากตัวเอง ฉันนอน กิน เล่น ทำตัวเรื่อยเปื่อย ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบใดต่อสังคม ไม่ได้ถูกยอมรับ ไม่ได้ถูกเห็นค่า ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เคยเข้าใจ ฉันไม่เคยตอบคำถามได้เลยว่าต่อไปจะทำอะไร จะต้องเดินไปทางไหนทุกครั้งที่มีคนตั้งคำถาม ฉันทั้งรู้สึกอึดอัดและเข้าใจไปพร้อมกันที่ผู้คนใกล้ชิดหลายคนไม่สามารถทนเก็บความสงสัยไว้ได้ แต่คำว่า ‘ไม่รู้’ ก็คงเป็นคำตอบของฉันเสมอมา
หลังจากการตัดสินใจครั้งใหญ่นี้ ฉันค้นพบแล้วว่า การเป็นคนไร้ฝัน เป็นเรื่องที่ทั่วไปซะยิ่งกว่าทั่วไป มันจะมีสักกี่คนที่สามารถตอบคำถามจากอนาคตได้ อยากรวยหรอ? อยากไปเที่ยวรอบโลกมั้ย? อยากนอนเลี้ยงแมวเฉยๆ? อยากเปิดกิจการเป็นของตัวเอง? คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่เราพบเจอได้ตามบทความให้กำลังใจ หนังสือพัฒนาตน สื่อออนไลน์ทุกแขนง หรือวงบทสนทนาของกลุ่มเพื่อน เราเจอคนเหล่านี้ในทุกๆที่ คงจะไม่ปฏิเสธว่าฉันเองเคยอิจฉาแทบไม่ไหวที่คนเหล่านี้สามารถหาเข็มทิศนำทางชีวิตได้ แม้จะเป็นภาพฝันเล็กๆน้อยๆ แต่พวกเขาตอบคำถามจากอนาคตได้ คำถามที่ฉันไม่เคยตอบได้เลย
ในขณะเดียวกันคนไร้ฝันอย่างฉันล่ะเจอได้ที่ไหน?
แน่นอนว่า เจอได้ทุกที่ที่กล่าวมาเช่นเดียวกับคนมีฝัน พวกเราทุกคนล้วนใช้ชีวิตปะปนกันไปอยู่ในทุกๆที่ ความหลากหลากของพวกเราอยู่ในทุกที่ไม่เว้นแม้แต่ในตัวเราเอง ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราไม่ได้ต้องการความร่ำรวยทั้งที่ยังใช้ชีวิตเส็งเคร็งในโลกที่เอื้อต่อคนรวย ไม่แปลกเลยที่เรานึกภาพตัวเองในวันแต่งงานไม่ออก ไม่แปลกที่เราตอบไม่ได้ว่าฉันอยากเป็นอะไร อยากอยู่ที่ไหน กับใคร มีคนตอบได้ก็ต้องมีคนตอบไม่ได้เป็นธรรมดา เพียงแต่ว่าในโลกที่สับสนวุ่นวายนี้ อาจจะยากขึ้นมาอีกนิดสำหรับคนไร้ฝันอย่างเราๆ
การหยุดพักจากระบบการศึกษาในขณะที่คนอื่นยังคงเดินต่อไป ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับความโดดเดี่ยวเป็นครั้งคราว ในเวลาที่เราอยากระบายสิ่งตกค้างมันยากที่จะหาเพื่อนผู้ยืนอยู่ในจุดเดียวกัน จังหวะชีวิตที่ไม่ตรงกันกับคนรอบข้างก็ทำให้ฉันเหงาขึ้นมาบ้าง แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่เคยเสียใจที่ได้ ‘หยุด’ และอยากขอบคุณความกล้าของตัวเองที่จะ ‘หยุด’ ผลลัพธ์ที่ได้แน่นอนว่าคงไม่ใช่ใบปริญญาหรือเงินจากการทำงาน แต่คงเป็นคำขอบคุณที่ฉันกล้าจะพูดมันกับตัวเอง
การหยุดสามารถพาเราย้อนเวลาไปได้
ทำไมฉันถึงไม่เคยมองว่าสิ่งใดในชีวิตคือความฝันเลยนะ ทำไมแค่สิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างได้อยู่กับคนที่รักถึงไม่เป็นความฝันของฉัน ทำไมคำถามง่ายๆอย่างโตขึ้นอยากเป็นอะไรถึงยังเป็นปริศนาของฉันมาตลอด ฉันเองก็ได้ลองทบทวนดูระหว่างที่พักจากการศึกษาและทำให้ได้รู้ว่า เราไม่ได้พิจารณาตัวเองเป็นฟันเฟืองของทุนนิยม ฉันคงไม่ชอบระบบทุนนิยมเอามากๆแบบไม่ทันได้รู้ตัว ความฝันเป็นเพียงแค่กุศโลบายสำหรับระบบ เพื่อการผลิตแรงงานจากรุ่นสู่รุ่น ผู้คนเลยมองว่าการวาดฝันเป็นเรื่องจำเป็นและยิ่งใหญ่ซะเหลือเกิน ที่ไหนได้มันไม่ได้มีคุณค่าต่างไปจากการไร้ฝัน เรายังเป็นคนเท่าเดิมที่มีคุณค่าแม้จะเป็นคุณค่าที่ตีเป็นตัวเลขไม่ได้ตามกลไกแรงงาน
ฉันไม่ใฝ่หาพื้นที่ที่สังคมยอมรับผ่านการทำงานหรือการเลือกเรียนอีกต่อไป ฉันไม่สงสัยและไม่ตั้งแง่กับตัวตนของตัวเอง ฉันซื่อสัตย์และเชื่อใจตัวเอง การตัดสินใจเข้าเรียนในโอกาสภาคหน้าจะไม่ได้เกิดจาก ‘ความทนได้’ แต่จะมาจากเจตจำนงที่ฉันรับฟังเสียงของตัวเอง ฉันจะไม่กังวลว่าเราจะกลายเป็นผู้โดดเดี่ยว ในเมื่อเส้นทางของทุกคนล้วนทับซ้อนกันไปมาโดยไม่ทันสังเกตอยู่วันยังค่ำ
ครั้งหนึ่งฉันได้แสดงความเห็นต่องานเขียนบทความสั้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์ว่ามันช่างสะท้อนความอ้างว้างในใจฉันได้ดีเสียเหลือเกิน ในใจคิดแค่ว่าอยากขอบคุณเจ้าของงานที่ตัดสินใจเผยแพร่งานเขียนดีๆแบบนี้ มันปลอบประโลมเราได้อย่างดี แต่ใครจะนึกกันว่าสิ่งที่นักเขียนท่านนี้ตอบกลับจะทำให้เรายิ้มได้ทุกครั้งที่ได้ย้อนมาอ่าน
‘ถ้าชีวิตมีแค่ปลายทางก็คงเบื่อแย่ แวะข้างทางบ้างก็ได้ ถ้าเดินเขาแล้วเอาแต่คิดถึงยอดคงเป็นลมไปก่อน’
ทุกคนที่ผ่านเข้ามา ถึงนี่จะเป็นไดอารี่สั้นๆของเรา แต่ถ้ามันเป็นเหมือนกับการบังเอิญเจอเพื่อนที่จุดพักรถ เราก็ขอให้ทุกคนมีพลังเดินต่อไปบนทางเส้นนี้ที่คุณกำลังพยายามอยู่ แล้วเราอาจจะเจอกันที่จุดพักข้างหน้าอีกก็ได้
ขอให้ทุกคนมีวันที่ดี
ไมอาน่า.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in