เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ride, road, written2:28am
03 ดูคอนเสิร์ต, ตกรถไฟเที่ยวสุดท้าย
  • เราเป็นคนหนึ่งที่ฟังเพลงญี่ปุ่นน้อยมาก โดยเฉพาะ J-Rock ยิ่งไม่สนใจ จนกระทั่งมาเรียนที่ญี่ปุ่น มีเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งเธอเป็นคนเกาหลี เราคุยกันถูกคอมาก ผลัดกันแนะนำเพลงให้ฟัง และวันหนึ่งเธอก็แนะนำให้เรารู้จักกับวงดนตรีที่ชื่อ ONE OK ROCK เราได้ยินชื่อวงนี้มานาน เมื่อก่อนเห็น MV ในช่องรายการเพลงอยู่บ่อยๆ แต่ก็กดเปลี่ยนผ่านไม่ได้สนใจฟัง เราบอกกับเพื่อนกาหลีไปแบบนั้น แต่เธอตอบกลับมาว่า ไม่ๆ แกต้องลองฟังแบบ live พร้อมกับแชร์ลิงค์ Heartache เวอร์ชั่นอคูสติกในคอนเสิร์ต Mighty Long Fall มาให้ เปิดฟังไปได้แค่ครึ่งเพลงเราก็รู้ตัวเลยว่าโดนวงนี้ตกเป็นที่เรียบร้อย

    เหตุการณ์หลังจากนั้นคือตามไปฟังเพลงอัลบั้มก่อนๆ ตามซื้อดีวีดีคอนเสิร์ตมาดู และพอรู้ว่าจะมีคอนเสิร์ตที่ญี่ปุ่นก็รีบชวนเพื่อนไปดูทันที แต่ผลคือ เธอไม่ไป... เธอให้เหตุผลว่าคอนเสิร์ตจัดที่ฮามามะสึ ถ้าจะไปก็ต้องนั่งชินคันเซ็น ค่าใช้จ่ายสูงเกินไป เราจึงนอนคิดอยู่หลายวันและตัดสินใจหาบัตรคอนเสิร์ตและไปดูมันคนเดียวนั่นแหละ!

    คอนเสิร์ตจัดขึ้นที่นางิสะเอ็น ตั้งอยู่ที่เมืองฮามามะสึ จังหวัดชิซุโอกะ เดินออกจากสถานีใกล้ๆ สถานที่จัดคอนเสิร์ตมาก็เจอสตาฟ ชูป้ายบอกทางไปคอนเสิร์ต ทางเข้าคอนเสิร์ตแบ่งออกเป็นโซน รอไม่นานก็ถึงคิว ยื่นบัตรกระดาษให้กับสตาฟและได้ริสแบนด์มาผูกข้อมือแทน เราเดินไปต่อแถวซื้อของหน้าคอนเสิร์ตก่อน ตอนนั้นเวลาประมาณ 11:30 น. แถวขดยาวมาจนเกินครึ่งสนาม รอประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าถึงคิวเข้าไปซื้อ — ตอนนั้นคิดในใจว่าทำไมไม่สั่งในเว็บมาส่งที่ห้องก่อนตั้งแต่แรก แต่ต้องขอบคุณระยะเวลา 2 ชั่วโมงที่ทำให้เราอยากได้เสื้อเพิ่มมาอีก 1 ตัว


    เปลี่ยนเป็นเสื้อคอนเสิร์ตแล้วยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อยเลยเดินดูรอบๆ คอนเสิร์ตครั้งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเทศกาลดนตรีมากกว่า สถานที่จัดงานเป็นลานกว้างโล่งๆ แบ่งเป็นโซนฝากของ โซนอาหาร และโซนเวทีคอนเสิร์ต มีร้านอาหารมาออกบูธรวมถึงมีเบียร์สดขาย — คอนเสิร์ตครั้งนี้มีเบียร์สิงห์เป็นสปอนเซอร์ด้วย เราจึงเห็นบอลลูนเบียร์สิงห์ยักษ์ตรงอยู่กลางสนาม เราชอบรรยากาศของเทศกาลดนตรี ชอบความชิลเดินถือเบียร์เข้าไปจิบในงาน แต่เพราะเดินเข้า-ออกได้ตลอดเลยชวนให้หงุดหงิดนิดหน่อย แต่ถ้าถามว่าสนุกไหมก็ยังเป็นคอนเสิร์ตที่สนุกและคุ้มมากๆ อยู่ดี อาจเพราะทำการบ้านด้วยการดู DVD คอนเสิร์ตเก่าๆ มาเยอะเลยรู้ว่าตรงไหนทำอะไรกันบ้างเลยยิ่งสนุก ได้ฟังเพลงที่อยากฟังหลายเพลง โดยเฉพาะ Kagerou ที่เราทำใจไว้แล้วว่ามันเก่า คนที่เพิ่งมาชอบอย่างเราคงไม่มีโอกาสได้ฟังสดแต่เป็นความโชคดีของเราที่เพลงนี้อยู่ในลิสต์คอนเสิร์ตครั้งนี้ แค่ขึ้นท่อนแรกมาก็ดีใจจนน้ำตาจะไหลแล้ว

    อีกเพลงประทับใจมากคือ the same as... เราชอบเวอร์ชั่น studio jam session ที่เป็นอคูสติกมาก แต่รู้สึกว่าเมื่อก่อนทากะจะเน้นร้องหนักๆ แม้แต่เพลงที่จังหวะซอฟต์ๆ แต่ปัจจุบันสามารถคอนโทรลเสียงและเลือกเทคนิคและเนื้อเสียงให้ขับกับดนตรีได้ดีกว่า the same as... เวอร์ชั่นอคูสติกในครั้งนี้จึงสมบูรณ์แบบ(สำหรับเรา)

    พอพาตัวเองเข้ามายืนในคอนเสิร์ตแล้วรู้สึกสนุกกว่าตอนดู DVD คอนเสิร์ต และสนุกกว่าที่จินตการเอาไว้หลายเท่า แม้ว่าคอนเสิร์ตจะสเกลใหญ่มากแต่ศิลปินก็ยังเอนเตอร์เทนคนดูได้อย่างทั่วถึง เราคิดและรู้สึกมาตลอดว่าการไปดูคอนเสิร์ตคือ 1. การไปฟังดนตรีแบบสดๆ 2. การไปให้กำลังใจและส่งพลังให้ศิลปิน แต่หลังจากคอนเสิร์ตครั้งนี้จบเราก็เพิ่มเข้ามาอีก 1 ข้อ คือ 3. การมารับพลังจากศิลปิน


    คอนเสิร์ตเลิกตามกำหนดการคือเวลา 18:00 น. มีเสียงประกาศปล่อยออกทีละโซน เพราะคอนเสิร์ตครั้งนี้มีผู้ชมถึง 55,000 คน กว่าจะระบายคนออกจนถึงโซนเราก็ประมาณเกือบ 2 ทุ่ม เดินออกมาถึงหน้าคอนเสิร์ตจะมีเสียงประกาศว่าขึ้นแท็กซี่ไปทางไหน ขึ้นรถไฟไปทางไหน ทางไปสถานีรถไฟเป็นถนนเล็กๆ เดินได้แค่สองแถวตอน เดินไปถึงสถานีรถไฟตอนประมาณ 3 ทุ่ม ได้ขึ้นรถไฟก็ตอนใกล้จะ 4 ทุ่มแล้ว ชินคันเซ็นเที่ยวสุดท้ายที่ออกจากสถานีฮามามะสึไปโอซาก้าคือ 22:10 น. พอถึงสถานี Hamamatsu รีบวิ่งเปลี่ยนสายไปยังชินคันเซ็น ช่องขายตั๋วปิดการขายตั๋วสำหรับไปโอซาก้าแล้วเราจึงเลยไปคุยกับนายสถานี เขาบอกว่าให้วิ่งขึ้นไปบนชานชาลาตอนนี้เลยพร้อมยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ มาให้หนึ่งแผ่น เราก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไป เห็นรถไฟขบวนหนึ่งจอดอยู่ เสียงสัญญาณก่อนปิดประตูดังขึ้น ตอนที่เท้าแตะบันไดขั้นบนสุดบานประตูก็ปิดสนิท และรถไฟขบวนนั้นก็เคลื่อนตัวออกไป

    เราเดินกลับลงมาข้างล่าง ถามนายสถานีว่านอกจากชินคันเซ็นแล้วจะไปโอซาก้าด้วยวิธีไหนได้บ้าง แต่เขาตอบกลับมาว่าไม่รู้ เราเปิด google map หาโรงแรมและโทรไปสอบถามแต่โรงแรมใกล้ๆ กับสถานีเต็มหมดแล้ว — ไม่แปลกใจเลยเพราะยังมีคอนเสิร์ตพรุ่งนี้อีกวัน คนส่วนใหญ่จึงเลือกพักที่พักใกล้ๆ กับสถานีนี้ เราหาอินเตอร์เน็ตคาเฟ่เป็นอันดับต่อมา มี 2 ที่ใกล้ๆ กับสถานี เราจึงวางใจและเดินไปแฟมมิลี่มาร์ทเพื่อซื้อของกินและเดินกลับมานั่งกินด้านหน้าสถานี ก่อนสถานีจะปิดเราเริ่มเห็นคนใส่เสื้อคอนเสิร์ตเดินมานั่งหน้าสถานีกันหลายกลายกลุ่ม รวมๆ แล้วนับได้ 16 คน และบางคนก็เริ่มเอนตัวลงนอน พวกเขาคงเจอชะตากรรมเดียวกัน ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบๆ เที่ยงคืน อีก 5 ชั่วโมงกว่าสถานีก็จะเปิดบริการอีกครั้ง เราเลยเปลี่ยนใจไม่ใช้บริการอินเตอร์เนตคาเฟ่แต่นั่งหน้าสถานีเหมือนกับคนอื่นๆ แทน

    ความโชคดีอีกอย่างของเราคือก่อนออกจากห้องเปลี่ยนใจหยิบพาวเวอร์แบงค์มาเผื่อไว้อีกหนึ่งอันทำให้มีแบตเล่นโทรศัพท์ตลอดทั้งคืน — หรือถ้ามองกลับกันอาจจะเป็นความโชคร้ายที่เปลี่ยนใจหยิบมาด้วยเลยต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ ประมาณตี 1 มีคุณตำรวจสองนายเดินมาบริเวณหน้าสถานี เดินวนอยู่ 1 รอบก่อนจะถามคนที่นั่งอยู่แถวนั้นทีละคนจนวนมาถึงเรา เขาถามว่าทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ เราเลยอธิบายไปเขาไป เขาถามกลับมาว่า "ที่นั่งอยู่ตรงนี้ตกีถไฟเหมือนกันหมดเลยเหรอ" เราตอบกลับไปว่าก็คงใช่ จากนั้นคุณตำรวจนายหนึ่งก็ขอดูบัตรประชาชน เราจึงบอกไปว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่นและยื่น resident card ให้แทน ชวนคุยอีกนิดหน่อยเช่น "มาจากไทยเหรอ" "มาทำอะไร" บอกให้ระวังตัว ระวังโจรขโมยของ แล้วก็ขอตัวไปคุยกับคนอื่นๆ ต่อ

    ประมาณตี 5 ฟ้าก็เริ่มสว่าง นั่งรอจนถึง 6 โมงเราก็เดินไปซื้อตั๋วรถไฟ รถไฟเที่ยวแรกที่ไปโอซาก้าเวลาประมาณ 7 โมง เรายืนพิงเสาในสถานีรอ อยู่ดีๆ ก็มีคุณลุงมายืนพิงเสาข้างๆ เราทั้งทีตอนนั้นมีเสาต้นอื่นที่ว่างอีกตั้งมากมาย เดินย้ายไปพิงอีกเสาแทนแต่เขาก็ยังตามมา เราเริ่มรู้สึกว่ามันแปลกๆ เลยเดินออกจากสถานีหันหลังกลับไปมองเห็นเขายืนอยู่ข้างหลังเราในระยะประชิดมาก เราเดินกลับเข้ามาในสถานี มองหาเจ้าหน้าที่ในสถานีแต่ก็ไม่เจอ สักพักก็เห็นตำรวจสองนาย — คนละคนกับเมื่อคืน เดินเข้ามาในสถานี มองซ้าย-ขวาเหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่ สักพักเขาก็แยกกันเดิน เรามองหาคุณลุงคนั้น เห็นเขามองตำรวจก่อนจะเดินออกไปด้านนอกสถานี เราชั่งใจว่าจะเดินไปบอกหรือไม่ดีเพราะอีกไม่นานรถไฟก็จะมาแล้ว ระหว่างที่กำลังคิดก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปหาคุณตำรวจ พูดคุยสองสามประโยคแล้วก็ชี้นิ้วมาทางเราจากนั้นเขาก็ชี้ไปทางคุณลุงคนนั้น เราเห็นคุณตำรวจนายหนึ่งวอหาอีกคนและเดินเข้าไปคุยกับคุณลุงคนนั้น เราสังเกตการณ์อยู่สักพัก พอเห็นว่าคุณตำรวจไม่ได้เดินมาคุยกับเราก็สอดตั๋วเข้าเครื่องรับตั๋วเดินขึ้นไปรอรถไฟที่ชาานชาลา

    หมด 1 วันกับอีก 1 คืนที่เกิดเรื่องราวมากกว่า 1 สัปดาห์ พอมองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าเป็น 1 วันที่บันเทิงดี

    ปล. ถ้าใครมีเหตุจำเป็นทำให้ตกรถไฟ หาที่พักไม่ได้ หน้าสถานีมืดและไม่มีคน เราแนะนำให้ลองหาอินเตอร์เนตคาเฟ่ใน google map ดู เพราะอินเตอร์เนตคาเฟ่เปิด 24 ชม. มีห้องแบบส่วนตัวให้เลือก บางที่ก็มีห้องอาบน้ำ มีเครื่องดื่มเติมได้ไม่อั้น มีมุมหนังสือการ์ตูนให้อ่าน ใช้ passport ในการสมัครสมาชิก จากนั้นก็เลือกแบบห้องที่เราต้องการ และจำนวนชั่วโมงที่จะใช้บริการ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in