ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนครับว่าการที่ผมมาเขียนกระทู้นี้ไม่ได้เป็นการบอกว่า เด็กที่เกิดในยุค90
ต้องท้าวความไปถึงข้อเท็จจริงของการเปลี่ยนผ่านสู่สมัยใหม่ซึ่งหลายครั้งในงานเขียนหลายต่อหลายชิ้น การจบลงของสงครามโลกครั้งที่2
พ่อแม่ของเด็กยุค 90คือคนกลุ่มนี้นั่นเองคือผลผลิตของคนที่ผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง(ไทยเองแม้ไม่ได้สัมผัสกับสงครามโลกแบบเต็มรูปแบบแต่ก็ได้รับผลกระทบจากการขับเคี่ยวกันระหว่างสองขั้วอำนาจการเป็นเป้าหมายของการทิ้งระเบิด ภาวะขาดแคลนอาหารและทรัพยากร)สิ่งเหล่านี้นี่เองแม้หลงเหลือเป็นเพียงประสบการณ์แต่มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผ่านมายัง เหล่า Baby Boomers
จากความคิดเห็นของผมเอง ผมมองว่า Baby Boomers เป็นเจเนอเรชั่นที่ "รอดพ้น"จากความโหดร้ายของสงคราม พ่อแม่ของเจเนอเรชั่นนี้ (คือรุ่นปู่ย่าตายายของเรา)ให้ความสำคัญกับการมีชีวิตรอดจากการขาดแคลนอาหาร และเงิน
Baby Boomers เกิดมาท่ามกลางการมีพี่น้องที่เสียชีวิตเพราะโรคระบาดผมมองว่าพวกเขาอาจจะรู้สึกว่า เขาโชคดีที่ได้มีชีวิตรอด
อีกประการหนึ่ง เมื่อสงครามโลกจบลงเศรษฐกิจก็ได้รับการฟื้นฟู มีทุนต่างชาติเข้ามาในเมืองไทย
จะเห็นได้ว่าหลายๆบริษัทยักษ์ใหญ่ก็ก่อตั้งในยุคนี้ผมมองว่า Baby Boomers แม้จะเกิดมาในสภาวะยากลำบากมีข้อจำกัดหลายๆด้าน แต่ก็เป็นยุคที่เปี่ยมไปด้วยความหวังซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อจิตใจมนุษย์ในการมีชีวิตอยู่ พวกเขาหวังว่าชีวิตจะดีขึ้นเรื่อยๆเศรษฐกิจที่ขยาย สอดรับกับการเปิดประเทศของยักษ์ใหญ่อย่างจีนในช่วงที่พวกเขาเป็นเด็ก ยิ่งเป็นการเปิดกว้างโอกาสในการค้าของคนในยุคนี้
ผมขอถือวิสาสะสรุปว่า Baby Boomers แม้จะเกิดมาในช่วงที่สังคมยังบกพร่องข้าวยังกินอิ่มบ้าง ไม่อิ่มบ้าง ของเล่นมีชิ้นสองชิ้นบ้างแต่ก็เป็นเจเนอเรชั่นที่มองว่า ตนเอง "โชคดี" แค่ไหนแล้วที่มีชีวิตอยู่อีกทั้งก็ยังมองเห็นเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นฟู มองเห็นผู้คนมากมายประสบความสำเร็จการเปิดประเทศของจีน และยุคของทุนญี่ปุ่นที่เข้ามาในประเทศไทย พวกเขามี"ความหวัง" ว่าชีวิตในอนาคตเขาต้องดีขึ้น ถ้าพวกเขาไม่ย่อท้ออนาคตของเขามัน Promising
Baby Boomers เริ่มตั้งตัวได้ในยุค 90
ผม และ "พวกเรา" คือผลผลิตแห่งยุค90
พวกเราเกิดมาท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีจากโทรศัพท์กระดูกหมามาสู่สมาร์ทโฟน
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งใหม่สิ่งเดียวที่เด็กยุค90
บริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้มีสงครามหรือโรคระบาดให้ต้องลุ้นว่าเราจะตายเมื่อไร
เด็กรุ่นนี้ไม่ได้เห็นตัวอย่างของการตายของพี่น้องหรือเพื่อนรุ่นเดียวกันจากโรคระบาด
ไม่มีปัจจัยของการขาดแคลนเงิน หรือ อาหารพวกเขาก็ท้องอิ่มได้ทุกวันโดยไม่ต้องทำอะไร
พ่อแม่ประคบประหงม อยากได้อะไรก็ต้องได้
แต่นั่นก็เป็นเหมือนแพคเกจที่มาพร้อมกับ"ความคาดหวัง" ที่สูงลิ่ว
จากข้อเท็จจริงที่เด็กยุค90
Baby Boomers เป็นเจเนอเรชั่นที่ผ่านความไม่พร้อมและปัจจัยภายนอกต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียน
ที่บ้านเงินไม่พอต้องออกมาทำงานเสริมบ้างต้องช่วยงานที่บ้านบ้าง
การเรียนของพวกเขามีอุปสรรคทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ
เมื่อมีลูก Baby Boomers ก็มองว่าเมื่อลูกๆของเขาไม่มีอุปสรรคจากปัจจัยภายนอกอะไรเลย ก็ควรที่จะทำหน้าที่"เพียงประการเดียว" ของพวกเขาให้ดี และคำว่าดีคือดีกว่าที่พวกเขาทำ(เพราะพวกเขาทำมันทั้งๆที่มีอุปสรรค)
นี่เป็นผลที่โรงเรียนกวดวิชาบูมมากในยุคของพวกเรา
เกิด Mindset และค่านิยมต่างๆต้องเป็นหมอนะ ต้องเป็นวิศวะนะ ต่อไปต้องเข้ามหาลัยxxxนะ
ในขณะที่เด็กยุค90เกิดมาพร้อมความเพียบพร้อมทางกายภาพแต่ถูกกดดันในจิตใจ
คนทุกคนไม่ได้เก่งไปซะทุกอย่างเราถูกประเมินค่าด้วยการเรียน ได้วิทย์คะแนนเท่าไร ได้เลขคะแนนเท่าไร
ต่อไปต้องเป็นหมอนะ ต่อไปต้องเป็นวิศวะนะ
ไม่ว่าคุณจะทำดีสักแค่ไหนจะมีคนทำได้ดีกว่าคุณเสมอ และคนที่ทำได้ดีที่สุดเท่านั้นควรจะได้รับคำชม
พวกเราเติบโตมาในยุคแห่งการเปรียบเทียบทั้งกับเพื่อนๆ ญาติๆ ด้วยความสามารถทางการเรียน(ซึ่งไม่ใช่ทุกอย่างในโลกแห่งความเป็นจริง)
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้คำจำกัดความของคำว่า"คุณค่า"ของเด็กในยุคนี้เปลี่ยนไปคุณค่าของพวกเขาคือสิ่งที่สามารถแสดงเป็นตัวเลขได้
และแตกต่างกับคนในยุคก่อนๆ เขาไม่ได้รู้สึกถึง"ความโชคดี"ของการมีชีวิตอยู่ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนได้มาอย่างง่ายๆและไม่ต้องทำอะไร
แต่กลับโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาเกิดมาแล้ว"มีอะไร" ในเชิงวัตถุมากกว่า
นอกจากความคาดหวังของพ่อแม่ในการเรียนแล้วเด็กยุค90ขาด"ความหวัง"ว่าชีวิตของเขาต้องดีขึ้นวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียในปี 2540ทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยและหลายๆประเทศถดถอย สิ่งที่เคยได้ เคยมี กลับไม่มีซึ่งแตกต่างกับยุคของพ่อแม่พวกเขา ที่มีความหวังว่าชีวิตจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ
และนั่นก็สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ที่ทุกคนจะแสดงด้านดีๆของตัวเองในโลกโซเชียล ทำให้พวกเขามองว่าชีวิตของเขาแย่ ไม่มีความหวัง และน่าหดหู่
สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดของการวัดคุณค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวเลขคือ ยอดไลค์ พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อจะได้ยอดไลค์มากๆซึ่งเป็นเสมือนมาตรวัดคุณค่าของคนหนึ่งคน
ในวันนี้ เด็กยุค90คือ น้องใหม่ในที่ทำงาน คือ เด็กที่กำลังศึกษาต่อในต่างประเทศภายใต้ฉากหน้าว่ามีชีวิตที่มีความสุขในเฟสบุ๊คและอินสตาแกรม พวกเขาเหงาและโดดเดี่ยวยิ่งกว่าใครๆ
เขาเจอกับโจทย์เดิมๆเช่นการแข่งขันกันในที่ทำงาน ในการเรียน การเซตความฝันไว้สูงแต่ก็ยังทำไม่ได้สักที ทำแล้วก็ล้มเหลว ลุกขึ้นใหม่ เพื่อจะล้มเหลวอีกครั้ง
ภายใต้ความเพียบพร้อมของรูปโปรไฟล์เฟสบุ๊คที่เป็นรูปตอนไปเที่ยวยุโรป แต่พวกเขากลับไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตนมี
เขาไม่ได้พอใจการมีชีวิตอยู่เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนมี และได้มาง่าย
แต่เขามองว่า การมีชีวิตอยู่นั้น เป็นชีวิตที่"มี" อะไร "ได้"อะไรและสิ่งที่"ได้"ที่"มี"คือสิ่งที่วัดคุณค่า ถ้าไม่"ได้" ไม่"มี" คุณค่านั้นก็ไม่มีอยู่
พวกเขาไม่ได้ appreciate สิ่งที่ตนมีเท่าใดนักเนื่องจากเป็นคนตั้งความหวังไว้สูง เมื่อทำได้อย่างหนึ่ง ก็จะบอกว่อีกอย่างที่สูงกว่านั้น ฉันยังทำไม่ได้
ในขณะที่พวกเขาถีบตัวเองไปข้างหน้าขึ้นเรื่อยๆก็เหมือนกับหมาไล่ฟัดหางตัวเองไม่มีวันสิ้นสุด
แต่สิ่งที่ได้มากลับเป็นความ"ผิดหวัง" ว่าฉันยังทำได้ไม่ดีพอ ฉันควรทำดีกว่านี้
และนี่คือโจทย์ของเด็กยุค90
อยากให้เข้าใจพวกเรากันด้วยนะครับ
พวกเราไม่ใช่คนที่โชคดีขนาดนั้น
และความอุ่นใจ สบายใจ ในการทำอะไรเป็นสิ่งที่พวกเราให้ความสำคัญมาก
ไม่ต้องการการบังคับ แม้จะแลกมาด้วยเงิน
และคำชมเล็กๆน้อยๆ มีความหมายกับพวกเรามากครับ
บางครั้งเราอาจพยายามที่จะวางมันลง แต่ก็ไม่ได้วางได้ทุกครั้ง มันอยู่ที่ว่าเวลานั้นใจเราจะเปิดรับอะไรเข้ามาก่อนกันระหว่างความกดดันกับความสุข-(ขนาดจะเปิดใจรับอะไรมาก่อน เรายังเลือกเองไม่ได้เลย) ก็เลยเหมือนจะเข้าใจว่า เฮ้ย โลกมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นหรอกนะ ไม่ว่าจะเกิดในยุคสมัยไหน โลกก็เหี้ยของมันแบบนั้น ไม่มีอะไรได้ดั่งใจ และบางครั้งเราก็ไม่ได้ดั่งใจในตัวเองด้วย สิ่งเดียวที่เราพอจะทำได้ก็คือทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มที่ที่สุด แล้วเราก็เชื่อว่าคุณน่าจะทำดีมากแล้วนะทุกวันนี้ ? ถือเป็นคำชมเล็กๆจาก random internet person แล้วกันค่ะ