“เคยได้ยินคำว่าความลับไม่มีในโลกไหม”
เสื้อโค้ทของเขาพริ้วไปกับลม เขาไม่แม้แต่หันมาสบตา มือเรียวเล็กจ่ออาวุธไปที่ใครสักคนที่ผมไม่รู้จักแต่น่าจะเคยเดินผ่านในงานสังคมของพ่อ
..เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ก่อนทุกอย่างจะกลายเป็นความสงัดเงียบ
“…ไม่เคย”
ศพถูกลากด้วยมือข้างเดียว รอยเลือดไหลเวิ้งตามทาง คล้ายกับว่าผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นกำลังพยายามทิ้งหลักฐานว่าครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยมีชีวิตอยู่
“ตอนที่ฉันเป็นมนุษย์ นั่นเป็นประโยคยอดฮิตเลยล่ะ” เขาว่าก่อนจะใช้เท้าถีบร่างท้วมไร้ลมหายใจให้ดิ่งสู่แม่น้ำลึก เกิดเป็นคลื่นระรอกเล็ก แล้วผืนน้ำสีดำก็สงบนิ่ง เหมือนกับแววตาของเขาที่ไม่มีความลังเลในการกระทำหรือความวูบไหวใด ๆ ปรากฏ
เขา…เป็นแบบนั้นเสมอ
“ฉันเชื่อว่ามันมีอยู่จริง เชื่อ เชื่อสุดใจ จนกระทั่งตื่นมาอีกครั้ง แล้วได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ที่พวกแกเขียนขึ้น”
เขาเด็ดเดี่ยว มั่นคง และโกรธกรานตลอดเวลา
ดวงตาคู่นั้นสะท้อนภาพผมชั่ววินาทีก่อนปลายกระบอกปืนจะเปลี่ยนเป้าหมาย
เขาจ่อมันมาที่ตาข้างขวาของผม
เจ็บ
เพราะเขากดมันแนบกับเนื้อไม่ยั้งแรงราวกับว่าจะควักมันออกมาโดยไม่ต้องลั่นไก
เขาทำได้แน่ ฆ่าผม แล้วโยนลงน้ำเหมือนศพที่แล้ว
เขาทำมันได้แน่ …โดยไร้ซึ่งความกังวลใจ
“มาทำสัญญากันไหม ข้อแลกเปลี่ยนที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน ทั้งฉันและนาย”
“…. ”
“เรามาทำให้ความลับไม่มีอยู่จริงกันเถอะเจสัน”
“…”
“ใส่ความอาฆาตเข้าไปในกระสุน จรดกระบอกปืนไปที่พวกโสโครก แล้วก็…”
“ ปั้ง”
“…ฆ่าแม่งให้หมด”
“…”
“แต่ฉันทำคนเดียวไม่ได้หรอก มันยากมาก การปล่อยให้พวกสวะตายโดยที่พวกมันไม่ต้องสัมผัสความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดน่ะ ยากมากเลย ฉันทรมานทุกครั้งที่เห็นพวกมันตายไปเงียบ ๆ ”
เขาน้ำตาไหล ประกายจากหยดน้ำสะท้อนกับแสงจันทร์
ผมมองภาพตรงหน้าอย่างหลงไหล เหมือนเวลาถูกหยุดแค่เพราะเขาปรายหางตามองมา
เขา..สวยมากเวลาเศร้า
“โอลิเวอร์”
ผมไม่มั่นใจว่านั่นใช่ชื่อของเขาไหม แต่เขาบอกให้ผมเรียกอย่างนั้น
“พ่อแกก็ด้วยเจสัน รู้ใช่ไหมล่ะ ว่าฉันก็จะฆ่ามัน”
“รู้”
“ฉันจะ…”
“ผมตกลง”
“…”
เขาตกใจ ดวงตาคู่ที่ผมหลงไหลกำลังสับสนก่อนมันจะเผยความปิติอย่างเก็บไว้ไม่อยู่
ปั้ง!
“อ้ากก!”
ผมทรุดตัวลงกับพื้นถนน กลิ่นคาวเลือดจากไหล่จะตีเข้าจมูก
“ดีมากเจสัน”
“อะ..”
“เอามือกดแผลไว้ล่ะ เจ็บมากใช่ไหม แต่ไม่ตายหรอก” เขาหมุนกระปอกปืนเข้าท้องตัวเอง ผมคิดว่าผมเดาได้ แต่ก็ช้าเกินไปที่จะห้ามเขา
ปัง!
“โอลิเวอร์!”
“เรามาเริ่มกันเลยดีไหม”
“โอลิเวอร์เลือดคุณ…”
“ลุกขึ้นแล้วมีชีวิตรอดไปบอกพ่อแกซะ คนที่พยายามฆ่าแกกับฉัน …ชื่อของมันคือโอลิเวียร์ บัตเลอร์”
ผมเจอเขาครั้งแรกตอนออกไปทัศนศึกษาที่โซนF14
ที่นั่นไม่ต่างจากเมืองที่ผมอยู่เท่าไหร่ เหลื่อมล้ำเล็กน้อยตรงความเจริญและความเป็นอยู่ของพวกLC
LC เป็นคำแสลงที่วัยรุ่นสมัยนี้ใช้เรียกพวกพาหะ เพราะพวกเขาจะมีรอยที่แก้มข้างซ้าย เพื่อบอกว่าในอดีตพวกเขาคือหายนะ
ร้อยกว่าปีที่แล้วเกิดpestilenceครั้งใหญ่ แม้ว่าจะเป็นยุคที่เทคโนโลยีและความล้ำสมัยทางการแพทย์รุ่งเรืองที่สุดก็รับมือกับมันไม่ได้ โรคร้ายลุกลามจากเมืองเล็กๆ ก่อนจะกระจายไปทั่วโลก จำนวนคนเสียชีวิตมหาศาลจนนับไม่ได้ ความสูญเสียและโศกเศร้าบั่นทอนจิตใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่
ผู้คนใช้เวลาอยู่ใต้ความหวาดกลัวกว่าสิบปีจนวิทยาศาสตร์การแพทย์จะพัฒนาจนแข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับมัน
เพราะแบบนั้นการเปลี่ยนระบอบการปกครองและการใช้ชีวิตของผู้คนที่ยังเหลือรอดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อก่อนผู้คนจะมีสัญชาติ และอาศัยอยู่ตามประเทศ สามารถเดินทางไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันได้ มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการอยากรู้อยากเห็นและนั่นทำให้การสูญเสียเป็นวงกว้างและคร่าชีวิตผู้คนอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
โศกนาญกรรมที่ประวัติศาสตร์โลกจารึกไว้ว่าจะไม่มีวันทำให้มันเกิดขึ้นอีก
แต่กว่าจะมีทุกวันนี้ได้แผ่นดินที่มนุษย์อาศัยอยู่ได้ก็หายไปหลายส่วน เหลือแค่บางทวีป และแต่ละประเทศถูกปิด ไม่มีการบินข้ามประเทศอย่างเสรี ไม่มีการแลกเปลี่ยนความรู้ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตอย่างอิสระอย่างเช่นในอดีตอีกต่อไป และทุกคนก็ยอมรับสิ่งเหล่านั้นเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสงบ
ข้อมูลการปิดตายพื้นที่ไม่ได้ถูกเผยแพร่อย่างถูกกฎหมาย แต่คนระดับผมก็พอจะได้เห็นผ่านตามาบ้าง
โรคร้ายไม่ได้พรากแค่ชีวิต แต่มันพรากความเท่าเทียมไปตลอดกาล
“พอเห็นพวกนี้เยอะๆ ก็อยากคลื่นไส้ชะมัด”
บิล เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกชายคนเล็กของนายกกระทรวงคมนาคม ก็คงเป็นแค่ไอ้เฮงซวยคนหนึ่ง ผมเกลียดมัน เหมือนกับที่เกลียดแมลงสาบ
“ ..ทำอะไรอยู่เจสัน กลับกันได้แล้ว”
ไม่สิ อันที่จริงผมชอบแมลงสาบมากกว่ามันนิดหน่อย
ผลประโยชน์เป็นสิ่งสำคัญ ในตอนนี้มันอาจจะเป็นแค่ไอ้เฮงซวย แต่ในอนาคตบิลอาจจะเป็นไอ้เฮงซวยที่ได้นั่งบนเก้าอี้รัฐมนตรี และผมยอมให้ตำแหน่งเพื่อนสนิทรัฐมนตรีบิล คาร์เตอร์ไปอยู่ในมือคนอื่นไม่ได้
“ อืม”
ขยี้มวนบุหรี่ลงกับฝาถังขยะก่อนจะก้าวขาออกจากตรอกแคบๆ ในเมืองที่เต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์ของระบบชนชั้น
“นั่นราตัสนี่..เอาอีกแล้วสิน่า”
บิลกลั้วหัวเราะ มองตามสายตาเขาไปก็ไม่แปลกใจนัก ราตัสเล่นกับพวกเบบี้แอลซีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คนธรรมดากำลังชื่นชมความใจดีของเธอ เสียงสรรเสิญความงดงามของราตัสคงดังกระหึ่มในใจของพวกเขา
เป็นเอ็กตร้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา
ก็ตามนั้นล่ะ นั่นคือสิ่งที่เธออยากให้ทุกคนเห็น
“เธอชอบแกไม่ใช่หรอเจสัน”
“ไม่รู้สิ”
“อย่าแม้แต่จะคิดจะคบกับเธอเชียว ฉันคงมีเพื่อนเป็นคู่รักนักบุญไม่ไหว”
ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเชื่อว่าบิลมองราตัสไม่ออกแต่ผมก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรหลังจบประโยค เขาก้มลงใช้แผ่นฆ่าเชื่อเช็ดเท้า มือ แล้วก้าวขาขึ้นรถสีดำเงาป้ายทะเบียนA1-xx “ขึ้นมาได้แล้วเจสัน ฉันอยากอาบน้ำเต็มทน”
“พ่อฉันให้คนมารับ”
แน่นอนว่าผมโกหก
“โอเค เจอกันที่แนนซี”
“อืม”
ราตัสยังคงสนุกสนานกับความโอบอ้อมอารีที่สร้างขึ้นมา หัวเราะหน้าระรื่นไปกับพวกพาหะ แตะและสัมผัสพวกเขาราวกับว่าไม่รังเกียจ
โกหกทั้งนั้น
แม้จะรู้ว่าตัวเองไม่มีวันได้รับไวรัสจากพวกเขา เพราะเม็ดเงินมหาศาลที่พ่อกับแม่ของเธอเสียไปเพื่อเซรุ่มanti-virusสีฟ้าในหลอดตั้งแต่แรกเกิด แต่เธอก็ยังพกแผ่นฆ่าเชื้อแล้วพร่ำบอกคนอื่นว่าถึงจะเป็นพาหะแต่พวกเขาก็ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์
น่าตลกสิ้นดี ท้ายที่สุดเธอเองนั่นแหละที่มองว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์
ไอ้ประเทศที่แบ่งคนออกเป็นสามสี่ห้าชนชั้นแล้วพร่ำถามถึงความเท่าเทียมแบบนี้น่ะ
น่าขยะแขยงกว่าเชื่อโรคอีก
“เอ็กตร้ามาทำอะไรที่นี่กันนะ”
“หุบปากเจซ”
เธอมีรอยด่างที่ข้างแก้มซ้าย แต่เธอมองผมเหมือนเป็นสิ่งปฏิกุลไร้ค่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
“มาอีกแล้วหรอเจสัน ถ้าพ่อแกรู้พวกฉันจะอยู่กันยังไงล่ะวะ”
“ก็หาที่ใหม่ซะสิ ผมไม่ได้บอกให้เขามาบุกรังคุณสักหน่อย”
มาร์ตินทำท่าจะทุบลงมาแต่ผมคว้าแขนเขาไว้แล้วโยนออกไปก่อนผ่ามือใหญ่ ๆ จะสั่นคลอนหัวบนบ่าผมจริง ๆ
อัตคัตคือชื่อของที่นี่
อัตคัต (อัต-ตะ-คัด) ลักษณะคล้าย ๆ ผับ แต่กลิ่นอับของดินกับเหล้ารสชาติไม่ได้เรื่องนี่ทำให้มาตราฐานคลับที่ทุกคนนึกถึงตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาเรียกมันว่ามุมอัตคัตของเมือง
แม้แต่พวกแอลซีเองก็ยังมีหลายเกรด พวกที่ไม่หวาดกลัวในอำนาจของเอ็กตร้าหรือคิดว่าตัวเองไม่ได้ด้อยค่าไปกว่านอมอลจะมารวมตัวกันที่นี่
ในซอยเล็กๆกับชั้นใต้ดินที่เหมือนมีโลกอีกใบ เป็นที่เดียวที่ผมเห็นความทัดเทียมอย่างแท้จริง
ทุกคนปฏิบัติต่อกันและกันราวกว่ารอยที่หน้าและคำว่าตัวพาหะไม่เคยมีอยู่
แน่นอนว่ามีเอ็กตร้าที่ละทางโบกแบบผมอยู่หลายคน
แต่เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อผลประโยชน์หรอก ของแบบนั้นแค่คิดถึงมันก็อยากจะสำรอกอาหารกลางวันออกมาแล้ว
เจซกอดคอแล้วลากผมไปนั่งที่เคาท์เตอร์ เธอชงเหล้ารสชาติเดิมๆมาให้ก่อนจะทำท่ากวักมือเรียกผมเข้าไปกระซิบ
“ฉันเจอนอมอลแปลกๆด้วยล่ะ”
“นอมอลที่มาที่นี่ก็แปลกกันหมด”
“เขาซัดพาหะจนหมอบ แล้วก็ลากคอลงมาที่ร้าน บอกว่าพาหะตัวนั้นจะขโมยกระเป๋า”
“ลีโอขี้ขโมยหรอ นอมอลซ้อมเขา? เป็นไปได้ยังไง”
“นั่นน่ะสิ ปกตินอมอลแค่เฉียดพวกเรายังต้องพ่นยาฆ่าเชื้อ ไม่เท่านั้นนะ เด็กคนนั้นยังนั่งกินเหล้าที่บาร์ต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เลือดลีโอเดอะทีฟอยู่เต็มตัวเขา”
“เอ็กตร้าหรือเปล่า”
“ฟัค! ไอ้บ้านี่ ก็ฉันบอกว่าเป็นนอมอลไงล่ะ”
“พูดถึงฉันอยู่รึเปล่า”
ครั้งแรกที่เราได้สบตากัน สิ่งที่คนพูดถึงเขาเพราะความประหลาดดูไม่น่าเชื่อทันที เพราะตาสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างผอมบางและขาวซีด เขาตัวเล็กกว่าผมเล็กน้อย แต่ลีโอเดอะทีฟเป็นฮิวก์บอย และไม่ได้อ่อนแอจนโดนเด็กหนุ่มผอมโซแบบนี้กระทืบจมได้
“…”
“โอลิเวอร์ ..เรียกฉันว่าโอลิเวอร์”
โอลิเวอร์
เขาบอกให้ผมเรียกแบบนั้น
เรา double check ตรงนี้ให้นิดนึงนะคับ
- แน่นอนว่ามีเอ็กตร้าที่ละทาง"โลก"แบบผมอยู่หลายคน