ณ หุบเหวลึกอันเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อันตราย ยังมีเห็ดน้อยซึ่งถูกหล่อเลี้ยงด้วยเลือดเนื้อของมนุษย์ผู้ตาย ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับลักษณะภายนอกของเจ้าของร่างเดิมมาเท่านั้น แต่เขายังรับเอาชื่อที่เหมือนกันมาอีกด้วย...อันเจ๋อ
อันเจ๋อตัดสินใจออกเดินทางไปยังฐานทัพของพวกมนุษย์เพื่อค้นหาสปอร์ของตัวเองซึ่งเคยถูกคนพรากไป แต่ที่นั่น เขาจำต้องพบกับความเสี่ยงที่จะโดนจับได้และถูกฆ่าตาย จากการพยายามอำพรางความเป็นอมนุษย์ของตนภายใต้สายตาของผู้พิพากษา ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบและกำจัดสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เช่นเขา...
เขาเที่ยวเสาะหารอบโลกอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะเห็นสปอร์ที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาในข่าวจนได้
อันเจ๋อเคาะประตูห้องของพันเอกแห่งกองทัพมนุษย์อย่างสิ้นหวัง “สวัสดีครับท่าน ผลการวิจัยของพวกคุณคืบหน้าไปได้ด้วยดีไหม? ผมสามารถรับลูกของผมกลับไปหลังมันเสร็จได้ไหมครับ?”
Disclaimer- รีวิวเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราเท่านั้น อาจมีความอวยและไบแอสประกอบอยู่บ้าง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
- รีวิวมีการสปอย แต่จะไม่พูดถึงปมสำคัญ
- TW/CW: gore, violence, death, sexual assault (non graphic)
- เรื่องย่อและบทพูดในบทความนี้เป็นเราแปลเองทั้งหมด อาจมีจุดผิดพลาดที่เกิดจากหลายปัจจัย ขอความกรุณาไม่นำไปใช้อ้างอิง และถ้ามีจุดไหนพลาดไปขออภัยไว้ ณ ที่นี้ค่ะ
โอเคค่ะ งั้นก็มาเริ่มกันเร้ยยยยย
เรื่องเปิดมาเป็นฉากที่นายเอก อันเจ๋อ ตื่นขึ้นมาในถ้ำพร้อมกับร่างกายแบบมนุษย์...มันจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเลยถ้าไม่ติดว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อันเจ๋อยังเป็นเพียงแค่เห็ดดอกหนึ่ง!
เขามองไล่ตั้งแต่แขนไปจนถึงข้อต่อที่แปลกประหลาดของตัวเอง มองโครงกระดูกของใครบางคนบนพื้นซึ่งตอนนี้มันถูกปกคลุมด้วยดอกเห็ดงอกเงยบานสะพรั่งราวกับดอกไม้ แล้วจึงนึกถึงต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมาได้...
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า เจ้าของโครงกระดูกร่างนี้ยังเป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ ที่ยืนอยู่กลางถ้ำของอันเจ๋อแล้วพูดกับเขาว่า “หมายเลขของฉันคือ 3261170514 ส่วนนี่ก็บัตรประจำตัว พวกเราไม่สามารถกลับไปฐานทัพมนุษย์ได้ถ้าไม่มีสิ่งนี้”
อันเจ๋อในตอนนั้นมองสิ่งมีชีวิตตรงหน้าที่ดูเหมือนกำลังบาดเจ็บสาหัสแล้วถามซื่อๆ “ผมช่วยพาคุณกลับไปได้ไหม?”
มนุษย์ยิ้มออกมาก่อนจะหอบหายใจ “ฉันไม่สามารถกลับไปได้แล้วล่ะ...เจ้าเห็ดน้อย”
“...เธอเกือบจะแตกฉานภาษามนุษย์อยู่แล้วเชียวนะ แต่ว่าก็ไม่แน่หรอก เมื่อเธอกินฉันเข้าไปทั้งตัวหลังจากฉันตาย เธออาจจะได้รับอะไรมากกว่านี้อีกก็ได้...”
นี่คือยุควันสิ้นโลกที่ยีนสามารถถ่ายทอดจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปสู่อีกสิ่งมีชีวิตผ่านทางเลือดเนื้อโดยการกลืนกิน มนุษย์ที่ถูกสิ่งมีชีวิตอื่นทำร้ายหากไม่สาหัสจนตายก็จะติดเชื้อจนกลายพันธุ์ แต่คนคนนั้นกลับพูดถึงเรื่องความเป็นความตายออกมาได้อย่างสบายๆ ในตอนที่เส้นใยของอันเจ๋อถักทอลงบนบาดแผลของเขา...แต่ทั้งที่จุดประสงค์คือการพยายามช่วยไม่ให้คนเสียเลือดจนตาย ส่วนหนึ่งของร่างกายอันเจ๋อกลับดูดกลืนเลือดสดๆ ของอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ
จากนั้นเศษเสี้ยวความรู้และความทรงจำที่กระจัดกระจายของมนุษย์ตรงหน้าก็ค่อยๆ ผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของอันเจ๋อ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาสามารถ ‘พูด’ ได้ รวมถึงมีอวัยวะแปลกๆ อย่างแขนขางอกออกมา และในที่สุดเมื่ออีกฝ่ายตายลงจากบาดแผลสาหัสไร้ทางรักษา เห็ดน้อยอันเจ๋อก็สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
อันเจ๋อเหม่อมองโครงกระดูกบนพื้นอยู่นาน
คำสั่งเสียของคนคนนี้ที่ว่า “อย่าไปที่ฐานทัพมนุษย์ ไม่อย่างนั้นเธอจะตาย” หรือ “มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ฐานทัพได้ เธอหนีรอดจากสายตาของผู้พิพากษาไปไม่ได้หรอก” ยังดังก้องอยู่ภายในใจ แต่สุดท้ายอันเจ๋อที่เพิ่งมีร่างใหม่ก็ยังคงตัดสินใจหันหลังจากไปช้าๆ
เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็จำเป็นต้องไปที่นั่น...ไปค้นหาในที่แห่งนั้นเผื่อว่ามันจะมีสิ่งที่เขากำลังตามหา...
สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา สิ่งที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา—สปอร์ของเขา เมล็ดพันธุ์ของเขา อันเจ๋อไม่รู้ว่าควรอธิบายมันอย่างไร เขารู้แค่ว่าเห็ดทุกดอกจะมีสปอร์เป็นของตัวเอง และการเลี้ยงดูสปอร์จนมันแตกหน่อเป็นต้นใหม่ก็คือภารกิจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขาเหล่าเห็ดทั้งหลาย...
แต่อันเจ๋อกลับทำมันหาย หรือพูดให้ชัดเจนกว่านั้น มันถูกใครบางคน ‘แอบ’ ขโมยไป
QAQ
โศกอนาถกรรมที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของอันเจ๋อเกิดขึ้นในคืนหนึ่งที่ท้องฟ้ามืดสนิทและลมพัดกรรโชกหนัก เขากำลังทอดน่องไปรอบๆ ทุ่งรกร้างที่ตัวเองรักขณะที่ได้ยินเสียงขาดๆ หายๆ ของใครบางคนพูดถึงการเก็บเมล็ดพันธุ์กลับไปเป็นตัวอย่างศึกษา แล้วหลังจากนั้น สปอร์ของเขาก็ถูกมนุษย์ใจร้ายคนนั้น ‘คว้าน’ ออกมา
อันเจ๋อเคร่งเครียดกับเรื่องนี้อยู่นานเพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร จนถึงวันนี้ที่เขาบังเอิญเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ อันเจ๋อจึงค้นพบทางออกในที่สุด...เขาจะต้องใช้ฐานะของคนคนนี้แฝงตัวเข้าไปยังฐานทัพมนุษย์เพื่อตามเอาสปอร์ของตัวเองกลับคืนมา!
แต่ในตอนนั้นเห็ดน้อยอันเจ๋อยังไม่รู้ว่าการออกเดินทางครั้งนี้ของเขาจะเปลี่ยนชีวิตของตัวเขารวมถึงผู้คนมากมายไปตลอดกาล
เห็ดน้อยกำลังค่อยๆ ‘สร้าง’ ร่างมนุษย์ของตัวเอง
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าหลังจากที่อันเจ๋อออกเดินทาง ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าการไปสู่ฐานทัพมนุษย์นั้นมันยากลำบากกว่าที่เขาเคยคิด...
เคราะห์ยังดีที่ระหว่างทาง อันเจ๋อได้เจอเข้ากับทหารรับจ้างที่ออกมาปฏิบัติภารกิจ พวกนั้นปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดว่าควรจะพาอันเจ๋อกลับฐานทัพไปด้วยดีไหม แต่สุดท้ายก็ยอมให้เขาร่วมทางไปเพราะเหตุผลที่ว่า “พวกเราไม่ใช่ผู้พิพากษา เราดูไม่ออกหรอกว่าเขาเป็นมนุษย์ 100% หรือเปล่า”
...อันเจ๋อชะงัก “ผู้พิพากษา...?”
ทหารรับจ้างประหลาดใจจนร้องเสียงดัง “นายไม่รู้จักผู้พิพากษา? นี่นายไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย!”
อีกฝ่ายดูเหมือนกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดขณะค่อยๆ อธิบายให้อันเจ๋อฟัง “...ฐานทัพของพวกเราอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบที่เรียกว่าการพิพากษา มันก่อให้เกิดองค์กรกลาโหมระดับสูงที่เรียกว่าศาลตามมา และสมาชิกทุกคนในนั้นก็จะถูกเรียกว่าผู้พิพากษา” เขาพูดช้าๆ “พวกเขามักจะผลัดเวรกันยืนเฝ้าหน้าประตูฐานทัพ และเพราะมีสิทธิ์ขาดในการสังหาร...การฆ่าคนของพวกเขาจึงไม่นับว่าผิดกฎหมาย”
“พวกเขาสามารถตัดสินว่าทุกคนที่เข้ามาในฐานยังเป็นมนุษย์อยู่หรือติดเชื้อไปแล้วได้เหรอ?” อันเจ๋อถาม
“อืม เพราะนอกจากคนที่ติดเชื้อแล้วมีอาการ มันก็ยังมีพวกที่ไม่แสดงอาการอยู่ด้วยน่ะ...สาเหตุอาจเกิดจากแค่เพราะการกลายพันธุ์ยังไม่เริ่มต้นขึ้น หรือไม่ก็เพราะระดับของการกลายพันธุ์นั้นสูงเกินไปจนพวกมันดูไม่ต่างไปจากมนุษย์ธรรมดา แบบที่คนในฐานเรียกกันว่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์”
อันเจ๋อเบิกตากว้าง
นั่นหมายความว่าตัวเขาเองก็คือ ‘สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์’ ที่ว่านี่ด้วยสิ...
ทหารรับจ้างที่ไม่รู้อะไรยังคงพูดต่อไป “แล้วก็เพราะประชากรในฐานอยู่กันอย่างหนาแน่นมาก การมีสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์หลุดรอดเข้ามาข้างในจะทำให้เกิดการสังหารหมู่รวมถึงการแพร่เชื้อเป็นวงกว้าง ศาลจึงมีหน้าที่ตัดสินว่าคนที่ผ่านประตูมายังเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือมีเชื้อสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ เราเรียกกระบวนการนั้นว่าการพิพากษา”
อันเจ๋อหัวใจเต้นแรง เขาพยายามบังคับตัวเองให้ผ่อนคลายในขณะที่ตั้งคำถาม “...แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกเขาค้นพบสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์?”
“นายคิดว่าไงล่ะ?” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “ก็ยิงมันทิ้งตรงนั้นเลยไง”
“พวกเขายอมฆ่าคนตายโดยผิดพลาดดีกว่าปล่อยให้ปลาซักตัวหลุดรอดแหไป ไม่มีสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตนไหนสามารถเข้าไปในฐานทัพได้โดยที่ไม่ถูกค้นพบหรอก”
ซ้ายนายเอก อันเจ๋อ (เห็ด!)
ขวาพระเอก ลู่เฟิง (ผู้พิพากษา QAQ)
ข้อมูลที่ได้รับรู้มาใหม่ทำให้ ‘สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์’ อันเจ๋อต้องเคร่งเครียดอย่างหนัก โดยเฉพาะในตอนที่วันรุ่งขึ้นพวกเขาก็จะเดินทางไปถึงฐานทัพมรณะนั่นแล้ว...
อ้นเจ๋อรู้ดีว่าถ้าตัวเขาตัดใจหนีกลับเข้าป่าไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เขาก็จะสามารถรอดชีวิตไปได้โดยที่ไม่ต้องเผชิญการพิพากษาหรือความเสี่ยงที่จะถูกยิงทิ้งต่อหน้า...เสียแต่ว่าสำหรับบรรดาเห็ดทั้งหลาย สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตก็คือสปอร์ของพวกเขา
...ดังนั้นอันเจ๋อจึงจำเป็นต้องเดินต่อไปข้างหน้า
ต้องเดินต่อไปข้างหน้าแม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่จะถูกฆ่าตาย เดินต่อไปข้างหน้าจนมาถึงประตูทางเข้าฐานทัพพร้อมกับทหารรับจ้างมากมาย เดินต่อไปข้างหน้าแล้วหยุดอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในเครื่องแบบสีดำที่มีปืนคนละหลายกระบอกอยู่ในอ้อมแขน ยังไม่นับรวมปืนใหญ่ข้างหลังนั่นที่สามารถจินตนาการได้เลยว่ามันจะระเบิดร่างของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่บังอาจบุกรุกเข้ามาด้วยวิธีไหน
แล้วหลังจากนั้น...อันเจ๋อก็ได้รู้ความหมายที่แท้จริงของการพิพากษา
เสียงปืนดังก้อง ผู้คนล้มตาย ไม่มีใครเอ่ยปากคัดค้านหรือแม้แต่จะสนใจราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา หรือนี่ก็คือ ‘สิทธิ์ขาดในการสังหาร’ ที่เขาเคยได้ฟังมาเกี่ยวกับผู้พิพากษา...สิทธิ์ขาดในการสังหารที่ทำให้การฆ่าคนของพวกเขาไม่ผิดกฎหมาย
อันเจ๋อเคลื่อนสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะสบเข้ากับดวงตาสีเขียวเย็นชาของใครบางคนที่เป็นประกายกล้าภายใต้หมวกเครื่องแบบ
คนคนนั้นยืนอยู่ในจุดอับสายตาที่ยากจะสังเกตเห็น แต่ในขณะเพื่อนร่วมอาชีพของเขากำลังตรวจตราคนมาใหม่ด้วยท่าทางเคร่งเครียดจริงจัง สิ่งที่เขาทำกลับเป็นการยืนพิงผนังพร้อมกับเช็ดกระบอกปืนอย่างไม่รีบร้อนด้วยใบหน้าก้มต่ำลง...
อันเจ๋อคงจะไม่ได้สนใจคนคนนี้เลยถ้าเครื่องแบบของเขาไม่ได้ประดับด้วยพู่ห้อยสีเงินที่ดูประณีตกว่าคนอื่นอยู่สักหน่อย...แล้วในตอนที่อันเจ๋อได้รู้ว่าที่แท้คนตรงหน้าก็คือพันเอกลู่เฟิง ผู้นำของเหล่าผู้พิพากษา ก็เป็นตอนที่อีกฝ่ายค่อยๆ เบนปลายกระบอกปืนมาทางเขาแล้ว
หัวใจของอันเจ๋อเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงในวินาทีที่เขารู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะตาย
...หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า
ลู่เฟิงค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาอันเจ๋อช้าๆ ก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบไม่ต่างจากแววตา
“นายตามฉันมานี่”
ก็เป็นการพบกันครั้งแรกของพระเอกกับนายเอกค่ะ ... 5555555 สุดปังมั้ยล่ะ เจอปุ๊บก็เอาปืนจ่อหัวกันปั๊บ สมกับเป็นพันเอกที่ดุที่สุดในสามโลกแปดบ้าน ชั้นจะคอยดูว่าแกจะร้ายกับน้องเห็ดของชั้นไปได้อีกนานแค่ไหน! (*ตะโกนด้วยฟิลเตอร์มัมหมี*)
แต่ถึงจะเปิดตัวมาแบบน่ากลัวสุดอะไรสุด จุดประสงค์ของพันเอกในครั้งนี้ก็ไม่ใช่การพาน้องไปฆ่าไปแกงอะไรหรอกค่ะ เขาแค่จะพาอันเจ๋อไปเข้ารับการตรวจสอบยีน (เป็นขั้นตอนหลังจากที่ผู้พิพากษาสังเกตลักษณะภายนอกแล้วไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์หรือเปล่า)...แล้วเพราะข้อจำกัดของการตรวจนี้คือมันตรวจได้แค่ว่า dna เป้าหมายมีเบสเป็นพืชหรือสัตว์ แต่น้องเป็นเห็ดอะ เห็ดมันอยู่ใน kingdom ฟังไจ (555555) สุดท้ายก็เลยรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์
...ถึงลู่เฟิงจะยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ “ครั้งแรกที่ฉันเห็นนาย สัญชาตญาณของฉันมันบอกว่านายไม่ใช่มนุษย์”
ถ้ายังอยู่กับคนคนนี้ต่อไปอันเจ๋อคงได้เป็นโรคหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเข้าซักวัน...สามวินาทีเต็มๆ กว่าที่เขาจะเค้นออกมาได้ว่า “แล้ว...ครั้งที่สองล่ะครับ?”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบคำถามนั้น “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันลงทะเบียนขอรับการตรวจสอบยีน” พันเอกพูดเสียงเย็นขณะที่ยื่นใบรายงานผลที่แสดงค่า ‘ปกติ’ ของเขามาให้ “ทางที่ดี...นายเป็นมนุษย์จะดีกว่า”
อันเจ๋อน้ำตาตกใน เขากลัวผู้ชายคนนี้เหลือเกิน เมื่อครู่ระหว่างการตรวจเขาก็นั่งหันหลังให้อีกฝ่ายตลอด (ความคิดน้อง : ตาของคนคนนี้เย็นชาเกินไป เห็ดแบบพวกเรากลัวอากาศหนาว = หันหลังใส่) เขามองลู่เฟิงหันหลังเดินจากไป แล้วแอบคาดหวังในใจว่าตัวเองคงจะไม่ได้เจออีกฝ่ายอีก
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างไม่เป็นไปตามแผนเอาซะเลย...
ชีวิตประจำวันในฐานทัพมนุษย์ของอันเจ๋อไม่ได้ราบเรียบอย่างที่คิดหรือยากลำบากเป็นพิเศษก็จริง แต่นอกจากเขาจะชอบบังเอิญเจอพันเอกตามสถานที่ต่างๆ อยู่บ่อยๆ แล้ว (ส่วนใหญ่มักจะจบลงด้วยการที่เขารีบหันหลังหนีและโดนอีกฝ่ายแกล้ง) การสืบหาสปอร์ที่หายไปของอันเจ๋อยังได้ผลลัพธ์ออกมาว่าที่แท้คนที่ ‘ขโมย’ มันไปก็คือลู่เฟิงนี่เอง!
ทั้งกระสุนที่พบใน ‘ที่เกิดเหตุ’ ที่เขาเพิ่งได้รู้ว่ามันเป็นสมบัติเฉพาะสำหรับพวกผู้พิพากษา ทั้งการแอบดูบันทึกคู่มือประจำตัวของลู่เฟิงที่เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ‘วันที่ 14 เดือน 2 ระหว่างการเดินทางกลับจากทุ่งรกร้าง : เก็บตัวอย่างฟังไจผิดปกติได้ (สปอร์)’
!!!!!!!!!?????
แล้วยังมีอีกหน้าในบันทึกที่เขียนขึ้นในวันที่อีกฝ่ายเจอกับเขาครั้งแรกว่า...
‘วันที่ 11 เดือน 5 : พบบุคคลต้องสงสัย หมายเลขประจำตัว 3261170514 (ระดับความอันตรายต่ำมาก)’
อันเจ๋อ “......”
นี่มันหมายความว่าอะไร QAQ
ลู่เฟิง...ฆาตกรใจโฉดลู่เฟิงที่คว้านเอาสปอร์ของเห็ด ‘ระดับความอันตรายต่ำมาก’ อย่างเขาไป...อันเจ๋อกวาดสายตาตามบันทึกเพื่อจะหาว่าตอนนี้สปอร์ของเขาถูกลู่เฟิงเอาไปไว้ที่ไหน เขาต้องเร่งมือตามหามันกลับมาก่อนจะรีบหนีไป จากนั้นเขากับพันเอกเลือดเย็นคนนี้ก็จะไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก...
...ว่าแต่พันเอกคนนั้น...เลือดเย็นจริงๆ น่ะเหรอ?
อันเจ๋อครุ่นคิด...มีครั้งหนึ่งหน้าประตูเมืองในวันที่สัตว์กลายพันธุ์บุกรุกเข้าฐานทัพและเขาหนีรอดมาได้ ผู้พิพากษาใต้อาญัติของลู่เฟิงเคยถามเขาว่า “คุณรู้จักพันเอกได้ยังไง?”
ในตอนนั้นอันเจ๋อนึกย้อนกลับไป “ที่หน้าประตูฐานทัพ...เขาสงสัยว่าผมไม่ใช่มนุษย์เลยพาผมไปเข้ารับการตรวจสอบยีน แล้วผมก็ผ่านมาได้”
“แล้วต่อมา เขายังเคยมาจับกุมผม”
“...แล้วในตอนที่ผมรู้สึกกลัวความหนาวในสำนักงานประจำเมืองอยู่หน่อยๆ เขาก็ให้ผมยืมใช้ห้องของเขาคืนหนึ่ง” อันเจ๋อยกนิ้วนับ “แล้วผมกับเพื่อนก็ติดอยู่ในห้องพักระหว่างการโจมตีของพวกสัตว์กลายพันธุ์ ผมไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเลยโทรหาเขา แล้วเขาก็ช่วยให้ผมได้มาอยู่ที่นี่...”
แต่อันที่จริงมันยังมีหลายอย่างที่อันเจ๋อไม่ได้บอกอีกฝ่ายไป...
อย่างเช่นในตอนนั้นที่เขาติดอยู่ในห้องระหว่างที่ฐานทัพถูกพวกสัตว์กลายพันธุ์โจมตีใส่ จริงๆ แล้วอันเจ๋อไม่ได้ตั้งความหวังขณะที่ต่อสายหาพันเอกที่กำลังยุ่งอยู่ แต่สิ่งเดียวที่ลู่เฟิงพูดกับเขากลับเป็นคำว่า “รอ” ก่อนจะรีบเดินทางมาหา
เขาไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าคนคนนี้ยกห้องนอนให้เขาง่ายขนาดไหนในตอนที่เขาบอกว่าหนาว ไม่ได้บอกว่าคนคนนี้แบกเขาขึ้นขี่หลังโดยไม่พูดอะไรในตอนที่เขาวิ่งหนีอันตรายไม่ทัน รวมถึงรอยยิ้มบางๆ ในดวงตาสีเขียวที่มักจะดูเย็นชาอยู่เสมอคู่นั้น...
อันเจ๋อนับมันทั้งหมดจนครบก่อนจะเริ่มสงสัย “ปกติพันเอกเขาชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่บ่อยๆ หรือเปล่า?”
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ลู่เฟิงก็เป็นคนดีเอามากๆ เลยไม่ใช่เหรอ?
แต่อันเจ๋อก็รู้ว่ามีผู้คนเกลียดชังลู่เฟิงมากมายรวมถึงประท้วงการดำรงอยู่ของผู้พิพากษา พวกเขาเหล่านั้นบ้างก็ว่า ‘พวกเราอาสาที่จะจ่ายค่าตรวจสอบยีนเอง!’ ‘ผู้พิพากษาคือผู้ก่อบาปกรรมของมวลมนุษยชาติ!’ หรือไม่ก็ ‘ล้มเลิกกระบวนการศาล คืนความยุติธรรมให้แก่ผู้บริสุทธิ์!’
มันอาจเกิดขึ้นเพราะลู่เฟิงสังหารคนมากกว่าผู้พิพากษาทั่วไปและไม่เคยให้คำอธิบายกับญาติหรือคนที่เกี่ยวข้องกับผู้ตาย...อีกทั้งกระบวนการตรวจสอบยีนก็ยังสิ้นเปลืองเวลารวมถึงทรัพยากรมากเกินไป ทำให้วิธีที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดที่ถูกนำมาใช้ก็ยังคงเป็นการพิพากษา
อันเจ๋อเห็นผู้คนมากมายล้มตายจากปากกระบอกปืนของลู่เฟิงพร้อมกับคำสาปแช่ง ส่วนคนที่ยังเหลืออยู่ก็สะสมความคั่งแค้นเอาไว้เพื่อรอวันที่ผู้พิพากษาที่พวกเขาคิดว่าเลือดเย็นคนนี้ล้มลง
เห็ดน้อยได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมายเกิดขึ้นในโลกมนุษย์
เขาเห็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์นอกกำแพงค่อยๆ แข็งแกร่ง เห็นฐานทัพของพวกมนุษย์ค่อยๆ ล่มสลาย เห็นผู้คนมากมายค่อยๆ ลุกขึ้นมาต่อต้านการกระทำของผู้พิพากษารวมถึงตัวของลู่เฟิงเอง
แล้วตัวของอันเจ๋อคิดยังไง?
คำตอบก็คือเขาไม่รู้...ที่ไม่รู้ก็เพราะเขาไม่ได้คิดอะไร
หลายคนมักบอกว่าอันเจ๋อชอบทำเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง และตัวเขาก็เป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งที่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น...เขาแค่ ‘เห็น’ มันเกิดขึ้น ไม่ได้เผชิญหน้ากับมัน
...ซึ่งตัวของอันเจ๋อเองก็คิดไม่ต่างกัน
เพราะนี่คือโลกของพวกมนุษย์ โลกของสิ่งมีชีวิตแสนซับซ้อนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา อันเจ๋อเป็นแค่เห็ดน้อยในหุบเหวลึกที่บังเอิญได้ออกมาสู่โลกกว้างใหญ่ เขาเคยตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากที่เขาเอาสปอร์ของตัวเองคืนมาได้ เขาจะกลับไป ณ ที่ที่ตัวเองเคยอยู่อาศัย เอนตัวลงนอนข้างๆ โครงกระดูกของมนุษย์ที่ทำให้เขาได้มีร่างนี้ และใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะเห็ดดอกหนึ่งไปจนตาย
แต่ถ้าอย่างนั้น ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าแผ่นหลังของคนคนนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ประท้วงช่างดูโดดเดี่ยวจนน่าสงสาร...ช่างโดดเดี่ยวจนน่าเศร้าจนอันเจ๋ออดไม่ได้ที่จะต้องไล่ตาม...
มันอาจเป็นเพราะจู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่าถ้าเขาจากไปตอนนี้ ชั่วชีวิตของเขาก็คงไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้อีก...แต่อันเจ๋อไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
เพราะอะไร มันเป็นเพราะอะไรกันนะ?
แผ่นหลังอันโดดเดี่ยวของลู่เฟิงตอนปะทะกับกลุ่มผู้ประท้วง
มนุษย์ยังจะฝืนชะตาลิขิตแล้วต่อกรกับธรรมชาติไปได้อีกนานเท่าไหร่?
ในตอนที่สนามแม่เหล็กโลกอันตรธานหาย พวกเขาสร้างสนามแม่เหล็กเทียมไว้ ณ สองซีกโลก ก่อกำเนิดแสงออโรร่าที่เป็นสัญญาณว่ามนุษย์ยังไม่สิ้นความหวังในการรอดชีวิต แต่จะทำอย่างไรถ้าสุดท้ายสนามแม่เหล็กเทียมก็มาสูญสลายไปอีก?
แสงออโรร่าที่หายไปบอกให้รู้ถึงหายนะที่แท้จริงที่กำลังจะมาเยือน อาหารและน้ำถูกจำกัด การติดต่อสื่อสารล้มเหลว หรือแม้แต่แสงอาทิตย์ที่เต็มไปด้วยรังสีคอสมิกสำหรับมนุษย์ในตอนนี้แล้วก็ยังเป็นอันตราย...
บรรดาผู้นำฐานทัพประชุมกันก่อนจะลงความเห็นว่าปัญหาเกิดจากสนามแม่เหล็กเทียมอีกขั้วในซีกโลกอีกฝั่งถูกทำลาย และถ้ายังไม่อยากตาย พวกเขาก็จำเป็นต้องส่งคนไปช่วยอีกฝ่ายซ่อมแซมมันกลับมา
...อันเจ๋อรู้ว่าลู่เฟิงต้องออกเดินทางไกล
ต้องออกเดินทางไกลเพราะเป็นคนเดียวที่เสนอตัวไป ต้องออกเดินทางไกลเพื่อเผชิญอันตรายสาหัสโดยที่ยังไม่ทันได้บอกลา ต้องออกเดินทางไปในทันทีหลังจากมองมาที่เขาอยู่นานแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “บางทีฉันอาจจะไม่ได้กลับมาอีก...นายดูแลตัวเองให้ดี”
อันเจ๋อรับคำเสียงแผ่ว เขามองแผ่นหลังของลู่เฟิงที่ค่อยๆ ไกลออกไปแล้วไม่อาจคิดให้กระจ่าง เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนคนนี้ถึงต้องก้าวไปยืนข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา และไม่เข้าใจยิ่งกว่าว่าทำไมคนคนนี้ถึงพร้อมจะสละชีวิตของตัวเองได้โดยไร้ซึ่งความลังเล
ไฟฟ้าที่หายไปส่งผลให้ความแข็งแกร่งและการป้องกันของฐานทัพอ่อนกำลังลงชั่วคราว...นี่เป็นโอกาสอันดีที่สุดสำหรับอันเจ๋อที่จะแอบเข้าไปในตึกวิจัยเพื่อเอาสปอร์ของตัวเองกลับคืนมารวมถึงหลบหนีไป แต่วินาทีที่เขาทำสำเร็จจนได้...ทำไมเขาถึงลังเลที่จะหันหลังใส่โลกมนุษย์อันแสนสับสนวุ่นวายนี้
อาจเพราะเขารู้ว่าเมื่อแสงออโรร่ากลับปรากฏบนฟากฟ้า พันเอกจะกลับมา
อันเจ๋อรู้ดีว่าถ้าตัวเองยังอยู่ในฐานทัพต่อไป เขาจะมีความเสี่ยงที่จะถูกจับได้และโดนฆ่าตายสูงมากๆ...แต่ก็ไม่เป็นไร
เขาขออยู่ต่อแค่อีกสักนิด...แค่อีกสักนิดให้มีโอกาสได้เห็นคนคนนั้นกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้นก็พอ
เห็ดน้อยเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยประเด็นหนักๆ แบบที่ไม่สมกับชื่อเรื่องเลยค่ะ *ร้องไห้*
ตั้งแต่การพยายามดิ้นรนอย่างหนักที่จะรอดชีวิตรวมถึงดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปของมนุษย์ที่เกือบจะเป็นความเห็นแก่ตัว ไปจนถึงประเด็นอื่นๆ อีกมากมายที่เราไม่ได้พูดถึงเพราะจะเป็นการสปอย...แล้วก็ยังมีการพิพากษา ซึ่งเป็นหนึ่งประเด็นใหญ่ที่ถูกขยี้ซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่ต้นจนจบ
เรื่องตั้งคำถามกับการดำรงอยู่ของผู้พิพากษารวมถึงการกระทำของพระเอกอยู่ตลอดเวลา คือมันจะเขียนให้เราเห็นสลับไปมาว่าในมุมหนึ่ง ในยุควันสิ้นโลกที่มนุษย์เหลือกันอยู่แค่นั้น มันก็จำเป็นต้องมีผู้พิพากษาเพื่อป้องกันไม่ให้ทุกคนติดเชื้อไปกันหมด ถึงจะยิงพลาดไปบ้างก็ถือว่าเป็นการสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ไรงี้...กับอีกมุมที่ผู้คนไม่พอใจกันเพราะคิดว่าการกระทำที่สามารถยิงใครก็ได้ที่ ‘แค่’ สงสัยว่าติดเชื้อนั้นมันไร้มนุษยธรรมเกินพอดี
แต่มนุษยธรรมในสถานการณ์แบบนั้นมันยังจำเป็นอยู่มั้ย? แล้วการสังหารผู้บริสุทธิ์บางคนด้วยความผิดพลาดเพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องจริงๆ หรือเปล่า?
เราก็จะค่อยๆ ได้รับรู้คำตอบของคำถามทั้งหมดไปพร้อมๆ กับอันเจ๋อในช่วงเวลาหลังจากนั้น ในตอนที่เรื่องเริ่มพาเราไปมองทุกอย่างผ่านเลนส์ตาของพระเอกบ้าง...
.
ลู่เฟิงถูกขนานนามว่าเลือดเย็น ซากศพของคนที่เขาเคยสังหารกองสูงกว่าเพื่อนร่วมอาชีพทุกคนที่ผ่านมารวมกัน...
ทั้งตำแหน่งผู้พิพากษาที่ไม่ว่าใครก็นั่งได้ไม่กี่ปีก่อนจะกลายเป็นบ้านั้น ลู่เฟิงยืนหยัดรักษามันมาถึงเจ็ดปี
ผู้คนหากไม่กลัวเขาจนไม่กล้าเข้าใกล้ก็เกลียดเขาจนอยากเห็นเขาตาย ลู่เฟิงคิดว่าตัวเองชินกับมันเสียแล้ว...จนกระทั่งเขาได้พบกับอันเจ๋อ
อันเจ๋อที่ถึงแม้สัญชาตญาณจะบอกกับเขาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์แต่ก็ดูออกจะทึ่มเกินไป อันเจ๋อที่เห็นเขาเมื่อไหร่ก็มักจะหันหลังวิ่งหนีใส่โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันตลกขนาดไหน อันเจ๋อที่ชอบมองมายังเขาด้วยแววตาหลากหลาย แต่ไม่ว่าจะหวาดกลัวหรือเศร้าสร้อยเสียใจ...ก็ช่างแตกต่างกับคนอื่นเพราะมันไร้ซึ่งความเกลียดชัง
อันเจ๋ออาจจะสงสัยว่าทำไมเขาถึงรีบไปช่วยอีกฝ่ายทันทีที่ได้รับการติดต่อในวันนั้น...เขาชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่บ่อยๆ หรือเปล่า? คือสิ่งที่อีกฝ่ายเคยสงสัย
แต่ไม่...ไม่ใช่...ใครจะรู้ว่าที่จริงมันตรงข้ามกัน...นั่นเป็นเพราะว่านอกจากอันเจ๋อแล้วมันไม่เคยมีใครขอความช่วยเหลือจากเขามาก่อนเลยต่างหาก
ทั้งที่จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือการช่วยเหลือทุกๆ คน แต่สุดท้ายทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้...
ผนังกำแพงห้องของลู่เฟิงมีประโยคที่เขาเขียนเตือนตัวเองไว้ ‘ผลประโยชน์ของมวลมนุษย์ชาติอยู่เหนือสิ่งอื่นใด’
ผลการทดสอบจำแนกสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ของเขาคือ 100% เพราะนอกจากการใช้ลักษณะของเนื้อหนัง รูปร่าง สีหน้า รวมถึงการเคลื่ิอนไหวของเป้าหมายในการวิเคราะห์เหมือนผู้พิพากษาทั่วไป เขายังมีสัญชาตญาณพิเศษที่ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์และยินดีจะใช้มันเพื่อผลประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ...แต่น่าเสียดายที่ผู้คนส่วนมากมักจะคิดว่ามันช่างเป็นเรื่องเหลวไหลและยิ่งต่อต้านเขา
การเสียสละและเจตนาดีนำเขาสู่การเป็นผู้พิพากษาก่อนจะแลกมาด้วยความเกลียดชังของผู้คนมากมาย...นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ลู่เฟิงไม่เคยบอกเหตุผลใครหลังการพิพากษา ทั้งที่เขารู้ว่าตัวเองไม่เคยยิงผู้บริสุทธิ์ด้วยความผิดพลาดอย่างที่พวกเขาเข้าใจ
‘ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อมวลมนุษยชาติ และจะตัดสินทุกคนอย่างยุติธรรม’ ลู่เฟิงเคยสาบาน...
แต่ตัวของเขาเองกลับหลงทางเพราะไม่มีใครสามารถตัดสินเขาได้เลย
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอาจเกิดขึ้นในวันนั้นที่เขาไปยังหุบเหวลึกแล้วเก็บสปอร์ของเห็ดแปลกประหลาดดอกหนึ่งมาได้...สปอร์นี้ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งที่เป็นทางออกของปัญหาของมนุษยชาติ มันชอบเขามากและคอยเข้ามาคลอเคลียเขาตลอดเวลา โดยมักจะมีสายตาของใครบางคนมองตามด้วยความไม่พอใจ
...ถึงตอนนั้นเขาจะยังไม่รู้ว่าเพราะอะไรอันเจ๋อถึงได้มีท่าทีอย่างนั้น แต่มันก็ดูทึ่มเป็นบ้า...ทึ่มในแบบที่ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ก็คงเป็นได้แค่พวกระดับต่ำเท่านั้น
แต่ลู่เฟิงก็ค้นพบความสบายใจที่ไม่เคยรู้สึกเมื่อได้อยู่ใกล้คนคนนี้ คนที่ในแววตาไม่เคยปรากฏความเคียดแค้นหรือชิงชัง...รวมถึงความรู้สึกบางอย่างที่ยังไม่ชัดเจนนี้นั้น...ลู่เฟิงควรจะนิยามมันว่าอะไร?
เมื่อสนามแม่เหล็กเทียมสูญสลาย อุดมการณ์และคำปฏิญาณของลู่เฟิงส่งให้เขาออกเดินทางไกล
แต่ไม่นานเท่าไหร่เขาก็ได้กลับมา...พร้อมกับการค้นพบความจริงที่ว่าความหวั่นไหวครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตของเขามันเป็นไปไม่ได้
มนุษย์กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ยังไม่เท่าผู้พิพากษาที่มีหน้าที่ฆ่ากับตัวอย่างการวิจัย...อันเจ๋อที่ขโมยสปอร์ของตัวเองสำเร็จถูกตั้งข้อหาเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อันตรายและถูกจับทรมานจนต้องหลบหนีไป แต่ในตอนที่ความหวังริบหรี่และโลกกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ฐานทัพอารยธรรมสุดท้ายของมนุษย์เริ่มพังทลาย เศษเสี้ยวความหวังที่จะรอดชีวิตค่อยๆ สูญสลาย พวกเขาไม่อาจพูดถึงสิ่งอื่นใด
...และยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรัก
ลู่เฟิงถือปืนออกตามหาอันเจ๋อ
ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้กลับไปฉายซ้ำในฉากเดียวกับที่พวกเขาพบกันครั้งแรกในวันนั้น อันเจ๋อกับลู่เฟิงเผชิญหน้าแบบที่กระบอกปืนของฝ่ายหนึ่งถูกยกขึ้นก่อนที่จะขยับเข้าใกล้กัน...แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ลู่เฟิงค่อยๆ ลดปืนของตัวเองลง
“พวกเขาแค้นฉัน โกรธเคืองฉัน แต่ทำไมนายถึงอภัยให้ฉันได้ตลอดเลย” เสียงของเขาสั่นขณะถามคำถามที่ตลอดมารู้สึกสงสัย
หรือความจริงเขาอาจจะเหงาและโดดเดี่ยวมาตลอดโดยที่เขาไม่เคยรู้สึกตัวก็ได้...
...อันเจ๋ออยากอธิบายให้อีกฝ่ายฟังหากแต่เขาไม่สามารถทำได้ เขาไม่ได้มีไอคิวสูงเหมือนพวกมนุษย์รวมถึงยังไม่ค่อยเข้าใจภาษาที่พวกเขาพูดคุยกันเท่าไหร่... “เพราะผมรู้จักคุณ” เขาพูดออกมาในตอนสุดท้าย
เพราะผมรู้ว่าคุณเป็นคนดี...
ลู่เฟิงดูเหมือนกำลังจะแตกสลายลงในตอนนั้น “นายไม่ได้เป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ นายจะมารู้จักฉันเรื่องอะไร?”
อันเจ๋อเองก็ไม่รู้...
แต่ความรู้สึกปลอดภัยในตอนที่เขาอยู่ใกล้ลู่เฟิงเป็นของจริง ความเห็นใจสงสารที่เขามีให้ลู่เฟิงเป็นของจริง ความใจสลายตอนที่ลู่เฟิงเอาปืนจ่อเขาก็เป็นของจริง นั่นเป็นครั้งแรกที่อันเจ๋อร้องไห้...ดังนั้นความรู้สึกนั้นที่เขายังไม่เข้าใจ...ที่มีให้ลู่เฟิงก็คงเป็นของจริงเช่นเดียวกัน
มนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แสนซับซ้อนแตกต่างจากเห็ดอย่างเขามากมายนัก อันเจ๋อมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสายตาของคนนอกมาโดยตลอด เขาไม่เคยสัมผัสถึงอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้อย่างชัดเจนขนาดนี้มาก่อนเลย...จนกระทั่งในวินาทีนั้น
วินาทีที่ลู่เฟิงจูบเขา
Little Mushroom หรือเห็ดน้อยเป็นเรื่องที่เราสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าเนื้อหา...หนักมากค่ะ 5555555
จะว่ายังไงดีล่ะ คือมันก็สไตล์นิยายวิทยาศาสตร์รางวัลนั่นแหละ แฝงด้วยประเด็นหลายอย่างให้เราได้กลับมาขบคิด รวมถึงสิ่งที่พูดถึงในเรื่องก็จะถูกอ้างอิงด้วยหลักการและทฤษฎีต่างๆ มากมาย (ที่ค่อนข้างเข้าใจง่ายเพราะนักเขียนใช้ตัวดำเนินเรื่องเป็นเห็ดไม่รู้ประสา ดังนั้นสิ่งที่น้องพูดหรือคนอื่นพูดกับน้องเลยจะถูกย่อยให้ง่ายขึ้นโดยอัตโนมัติ 1 ระดับ ซึ่งเป็นส่วนที่เจ๋งมากกกในเรื่องนี้)
แล้วก็เป็นนิยายวันสิ้นโลกที่เขียนออกมาได้...หดหู่สิ้นหวังเป็นอันดับต้นๆ ที่เราเคยอ่านมาเลยค่ะ U__U
คือมันเป็นวันสิ้นโลกในแบบที่ไม่มีภารกิจอะไรที่เมื่อทำสำเร็จแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความหวัง มนุษย์เหลือกันอยู่กระจุกนึงแต่พวกสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั่วโลกแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อะไรแบบนั้น มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความตายที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา หนักหนาสาหัสชนิดที่ว่าตอนอ่านห้าบทสุดท้ายยังคิดอยู่ในใจว่านี่จะจบแล้วเหร้อ ทำไมมันดูไม่มีทางจะจบดีได้เลยเนี่ยยย 5555555
แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เราขอยืนยันอีกเสียงว่ามันจบดีแฮปปี้เอนด์ ถึงระหว่างทาง (ยันบทสุดท้าย) มันจะค่อนข้างลากเลือดไป (ไม่) หน่อย ก็ตาม orz
♡ ♡ ♡
ส่วนที่เบรคความจริงจังสมองแตกได้ก็คือความสัมพันธ์ของพระนายในเรื่องค่ะ มันตลกปนน่าร้ากกกกแบบที่เราอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มตลอดเวลา คือเคมีของคู่นี้มันเป็นประมาณพระเอกสุดเย็นชา x นายเอกที่กลัวอยู่ตลอดว่าอยู่ๆ เขาจะหยิบปืนขึ้นมายิงตัวเองทิ้ง
55555555555
แล้วเมื่อคนคนหนึ่งที่ทั้งเหงาและโดดเดี่ยวมาตลอดจากการโดนผู้คนที่เขาต้องการปกป้องเกลียดชัง ได้มาเจอกับเห็ดน้อยที่ไม่รู้ประสาในโลกมนุษย์ ก็ทำให้ในหลายๆ ครั้ง การกระทำที่ใกล้เคียงคำว่าอ่อนโยนของอันเจ๋อได้เข้าไปสร้างความหวั่นไหวในใจลู่เฟิงโดยที่น้องไม่รู้ตัว...จนมันพัฒนากลายเป็นความรักในท้ายที่สุดนั่นแหละ
Little Mushroom เป็นเรื่องที่พล็อตใหญ่สเกลอลังแต่เขียนออกมาอยู่ในนิยายความยาวประมาณสองเล่มจบได้อย่างกำลังพอดี เห็ดน้อยได้เรียนรู้ถึงความสวยงามของความเป็นมนุษย์ไปจนถึงการมีความรักจากโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ ซึ่งมันจะนำไปสู่การตัดสินใจบางอย่างของเขาที่จะเปลี่ยนชีวิตของผู้คนมากมายในบทสรุปของการต่อสู้ครั้งสุดท้าย...
มีใครบางคนเคยพูดไว้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มหัศจรรย์
แต่ก็มีใครคนนั้นที่โกรธแค้นแล้วบอกว่าอารยธรรมของมนุษย์มันก็ช่างไร้ค่าพอๆ กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของพวกเขานั่นแหละ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in