ปีศาจรีวิว
เกริ่นก่อนว่า เราเริ่มสนใจอ่านงานวรรณกรรมของไทยในยุคราว ๆ พ
หลังอ่านจบ
ชอบชอบมาก ๆ
สนุกหลากหลายอารมณ์ ความเข้าใจ และในที่สุดก็ได้เป็นไปอย่างอิสระสู่โลกใหม่ที่ธรรมดาสามัญเสมือนกับยามอรุณเบิกฟ้า
วิธีเล่าแสดงเรื่องที่ถูกให้คุณค่าที่ต่างกันออกไประหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ในยุคสมัยนี้ซึ่งน่าสนใจหากมองในมุมของคนที่เกิดและโตในศตวรรษที่
ส่วนที่ชอบมากคือไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะได้สัมผัสเรื่องราวความเป็นมาของชาวชนบทในประเทศไทยตั้งแต่ตั้งรกรากจนถึงวันที่สังคมเปลี่ยนแปลงทำให้ได้เห็นการต่อสู้อันไม่เป็นธรรม ลามไปถึงระบบราชกาลที่ยังคงล้าหลัง และก็นับเป็นส่วนหนึ่งที่เล่าออกมาได้อย่างแนบเนียนไปกับเรื่องราวหลักทำให้สะท้อนเห็นปัจจุบัน ทำให้ได้รับรู้อดีตทีไม่เคยรู้ เบื้องหลังเหตุการณ์ใหญ่ ๆในประวัติศาสตร์ ตีแผ่ในแง่มุมที่ไม่เคยได้อ่านหรือรับรู้จากไหนเอามาให้เราได้เรียนรู้ความหดหู่ อดสู และโกรธแค้น ของคนธรรมดาในยุคสมัยนั้นที่ต้องเดินหน้าผ่านความเปลี่ยนแปลงอันโหดร้ายไปด้วยตนเองโดยมีแต่คนที่ตกที่นั่งเดียวกันเท่านั้นที่จะเข้าใจและสมัครใจพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถหนังสือเล่มนี้บรรจุการต่อสู้รูปแบบหนึ่งแห่งยุคสมัยไว้ และในปัจจุบันก็ยังคงดำเนินอยู่
มีหลายตัวละครมีหลากหลายมุมมองความคิดอย่างที่บอกว่าชนชั้นทำให้รสนิยมของคนต่างกัน ซึ่งตัวละครเหล่านี้ก็ถูกเล่าออกมาโดยยึดโยงถึงกันผ่านโครงสร้างทางสังคมที่ตกทอดมาจากอดีตและเหล่าคนรุ่นใหม่ยังถูกบีบบังคับให้ต้องอาศัยอยู่ต่อไปในขณะที่ความคิดเทคโนโลยีความรู้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ พร้อมกับปัญหาอื่นๆ ที่ค่อยๆถาโถมเข้ามาเหมือนกับโดมิโน่ที่ล้มต่อกันเป็นทอด
*
ตัวละครและสารในเรื่องที่สะกิดใจ
โดยรวม
วิธีเล่าแสดงเรื่องที่ถูกให้คุณค่าที่ต่างกันออกไประหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ในยุคสมัยนี้ซึ่งน่าสนใจหากมองในมุมของคนที่เกิดและโตในศตวรรษที่
“ท่านคิดจะทำลายปีศาจตัวนี้ในคืนวันนี้ต่อหน้าสมาคมชั้นสูงเช่นนี้แต่ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เพราะเขาอยู่ยงคงกระพันยิ่งกว่าอาคิลลิสหรือซิกฟริดเพราะเขาอยู่ในเกราะกำบังแห่งกาลเวลา” หน้า 306
และวันนี้มันก็เป็นอย่างนั้น
มีหลายประโยคหลายจังหวะของรัชนีมากที่รู้สึกว่า เห้ย มันรีเลทกับยุคสมัยนี้มากๆ มันก็ยังมีอยู่ขนาดผ่านมาตั้งเป็นสิบหรือยี่สิบปีแล้วอย่างการที่เราจะไม่มีวันได้เป็นอิสระจากครอบครัวตราบใดที่เรายังขอเงินเขา ต้องให้เขาเลี้ยงดูอยู่ในปัจจุบันเด็กหลาย ๆ คนก็ยังต้องถูกพ่อแม่บงการชีวิต โดยมีเงื่อนไขเงื่อนตาย
อาจไม่ถึงขั้นเรียกว่า timeless แต่ก็ถือว่าเด็กหลายคนในยุคนี้กับรัชนีนั้น ยังคงมีจุดซ้อนทับเป็นจิตสำนึกร่วมที่ต้องเผชิญและต้องต่อสู้ในเรื่องทำนองเดียวกันอยู่
มีบ้างที่ล้าสมัยไปแล้ว เช่น การยึดถือในหลักคุณงามความดีของตัวละครในเรื่องอย่างรัชนี หรือ จิตติน ทั้งความดีในแง่ของคุณธรรมในใจของคนหรือการเป็นผู้หญิงที่รักนวลสงวนตัวไม่แสดงออกว่าต้องการความรักจากชาย และยึดถือเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตไม่ว่าจะหาคนรัก ทำงาน ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิต แต่ในยุคสมัยนี้ การเป็นคนมีคุณงามความดียังดีไม่เท่ากับการเคารพสิทธิ์ เคารพกฎหมายซึ่งนั่นไม่นับว่าจำเป็นต้องเป็นคนดีแต่เป็นเพียงเรื่องที่พึงกระทำตามข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันในสังคมไม่จำเป็นต้องมีใครถูกคาดหวังให้ต้องดีเลิศ เพียงแค่ต้องมีความรับผิดชอบ และความสามารถที่จะตอบสนองอะไรอย่างบางให้ใครสักคนในแง่ใดแง่หนึ่งโดยไม่เดือดร้อนใครได้ก็เพียงพออย่างที่มีวลีนึงที่เกิดขึ้นมาว่า ‘เราไม่ต้องการคนดี แต่เราต้องการระบบที่ดี’
และถึงในเรื่องจะมีตัวละครที่ยังยึดถือในคุณงานความดี ก็ยังมีสาย ตัวละครที่ความคิดไม่ได้เก่าไปตามกาลเวลา อย่างที่สายได้กล่าวไว้ในหน้า
ความดีเป็นสิ่งผันแปร และคนเราตีความความดีไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการให้ค่ากับคุณงานความดีไม่มีประสิทธิภาพอีกต่อไปแล้ว ยิ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีความเปลี่ยนแปลงและคุณค่าที่ผู้คนยึดถือเปลี่ยนมือไปที่สิ่งต่างๆ อยู่ตลอด
ท่านเจ้าคุณ
“เสรีภาพจะมีอยู่ที่ไหนก็ช่างแต่ไม่ใช่ภายในบ้านนี้ ยายเล็กเป็นลูกเจ้าคุณ…ไม่ใช่ผู้หญิงริมถนนสำหรับคนที่ต้องการจะลอกคราบตัวเองเพื่อเป็นผู้ดีกับเขาบ้างนั้นไม่มีหวังว่ามันจะเป็นไปได้”
- หน้า 302
การได้เห็นตัวละครนี้เหมือนเห็นภาพสะท้อนของคนบางคนในสังคมที่เกิดและโตมาก่อนมีความเชื่อฝังอยู่ในหัวเขา เป็นความเชื่อของยุคสมัยสมัยของเขาและยึดว่ามันเป็นความจริงแท้ของโลก โดยไม่ได้คิดเจียมตัวเลยว่าเวลาชีวิตที่ตัวเองได้เกิดและใช้อยู่จนได้ชื่อว่าแก่มานี่มันยังน้อยกว่าเวลาที่เศษฝุ่นบนดินจะแหลกสลายเสียอีกและภาพที่เห็นเมื่อสายต้องพูดคุยตอบโต้กับเขา รวมถึงคนที่อยู่ในโลกใบเดียวกับเขาราวกับว่าสายกำลังพูดอยู่กับกำแพง ที่ไม่หือ ไม่อือ ใช้กันคนละภาษากับสาย เมื่อฟังไปก็รังแต่จะฟังไม่ออกแปลออกมาให้เกิดความเข้าใจไม่ได้ เหมือนกับภาษาและกาลเวลาของพวกเขาได้หยุดนิ่งไปแล้วและคอยเอาแต่รั้งให้คนในโลกใหม่ต้องหยุดตามอย่างน่าสิ้นหวัง
“ด้วยคำถามว่า ทำไม คำเดียวเราอาจจะพลิกโลกทั้งโลก”
- หน้า 259
หนังสือเรื่องนี้ไม่ได้มีจุดจบ เพราะเรื่องราวการเป็นอิสระการเริ่มต้นในโลกใหม่ และการต่อสู้กับผู้คนจากโลกเก่าของทั้งรัชนีและสายเป็นเพียงอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่ยังดำเนินมาจนถึงปัจจุบันและไม่ได้มีจุดจบเหมือนกับที่เรื่องราวได้ทิ้งข้อสงสัยให้คนอ่านต่อไปว่า แล้วสาย สีมาและพี่น้องชาวนาของเขา จะสามารถต่อสู้กับความอยุติธรรมที่เหล่าคนมีเงินพยายามกอบโกยผลประโยชน์จากที่ดินถิ่นเดิมของพวกเขาจนสำเร็จได้ไหมส่วนตัวขอเดาว่าเพราะแม้แต่ผู้เขียนเองก็คงไม่รู้ว่ามันจะจบลงอย่างไร เพราะนี่เป็นเรื่องจริงแท้ในสังคมที่หากจบแบบหน้าเศร้าชาวนาก็คงต้องพ่ายแพ้ และกลายเป็นแค่ผู้เช่าในแผ่นดินเกิดของตัวเองเรื่องนี้ไม่ได้บอกข้อสรุปเอาไว้ เพียงแต่ทิ้งเจตนารมที่แน่วแน่และไม่มีวันสั่นคลอนไว้กับตัวละครสายสีมา จะเรียกได้ว่าเพื่อเป็นสิ่งยึดมั่นหนึ่งที่จะให้ความหวังว่าเหล่าชาวนานั้นยังมีหนทางเรียกคืนชีวิตผืนดิน ของพวกเขากลับคืนมา
ช่วงวิเคราะห์ตามประสาพวกร้อนวิชา;D
ระหว่างที่อ่านรู้สึกว่าเรื่องมีจุดพีคในความรู้สึกเราบ่อยมากๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เล่าถึงเรื่องของ อ้วน ตอนกลับไปที่บ้านชนบทและตอนที่สายตัดสินใจให้ความช่วยเหลือกับชาวนาที่มีข้อพิพาทเรื่องที่ดินและทำให้ชาวนาเหล่านั้นมีความหวังขึ้นมาคิดว่าส่วนพวกนั้นก็คงถือว่าเป็น climax
เป็นบทสุดท้ายของเรื่อง
ในช่วงที่สายได้เดินออกมาจากงานเลี้ยงของท่านเจ้าคุณหลังจากได้กล่าวความคิดและเจตจำนงค์ของเขาให้คนที่อยู่ในงานเลี้ยงได้ทราบแล้ว เขาเดินกลับมาเจอกับรัชนีที่หน้าบ้านของตัวเอง คิดว่าในตอนนั้นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตตัวละครหลักของเรื่องอย่างรัชนีและรองลงมาคือสายรัชนีถึงจุดพลิกผันสูงสุดเพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นเธอได้เลือกจะเดินออกมาและตัดขาดกับครอบครัวของตัวเองเพื่อเป็นอิสระได้แสดงให้เห็นว่าเธอเลือกจะอยู่ในโลกใหม่กับสาย และทั้งคู่ก็ได้แสดงความรักต่อกันอย่างคนรักอย่างตรงไปตรงมา
ตรงนี้ยังคิดอยู่ว่า climax ควรจะเป็นตอนที่สายพูดในงานเลี้ยงหรือตอนที่สายพบรัชนีที่หน้าบ้านแต่ได้ข้อสรุปว่าเป็นทั้งสองจุด จุดหนึ่งแรกที่สายยยืนพูดนั้นเป็นช่วงเวลา climaxในเรื่องนี้ของสายที่เขาได้มีความกล้าประกาศความคิดและอิสรภาพต่อโลกเก่าออกมาอย่างมั่นคงครบถ้วนส่วนอีกครั้งที่เขากลับมาพบรัชนีอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง เป็นจุด climax
และพอมานั่งคิดดี ๆ มันก็เหมือนกับเป็นการที่เราได้มีหวัง และยังคงอยากจะเดินหน้าต่อไปเอาใจช่วยไม่ใช่แค่กับรัชนีและสาย มันรวมถึงปัจจุบันเวลานี้เพราะแม้เรื่องราวจะยังไม่ได้จบ แต่เราก็ยังมีหวังและเด็ดขาด การที่เนื้อเรื่องไม่ได้เล่าให้ฟังว่าในตอนนั้นรัชนีคิดยังไงและต้องทะเลาะกับที่บ้านขนาดไหน ก่อนจะมายืนตรงนี้ มันอาจเหมือนกับตอนกระโดดร่มที่ก่อนโดดเรากลัวตาย ขาสั่นจนยืนแทบไม่ไหว แต่เมื่อตัดสินใจกระโดดออกมาแล้วระหว่างและก่อนนั้นมันจะผ่านพ้นไปรวดเร็วและผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเราได้เอาชนะความกลัวสุดชีวิตตรงนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
จบจริง ๆ มีส่วนที่ประทับใจอีกเยอะแยะ ถ้ามีแรงอาจจะมาเขียนรีวิว วิเคราะห์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in